ไม่มีแม้แต่คำลา (100%)
ตอน ม.5 เทอม 2 ก่อนสอบปลายภาค
ช่วงเที่ยงคิริมาก็รีบวิ่งขึ้นบันไดดาดฟ้าด้วยท่าทางร้อนรนกระวนกระวายใจ หลังจากได้ยินเสียงซุบซิบว่าแม่ของพงษ์สวัสดิ์มาหาที่โรงเรียน เขาพูดคุยกับแม่ไม่กี่คำ ก่อนจะวิ่งร้องไห้ขึ้นไปบนดาดฟ้า คราแรกที่ได้ยินนั้นบอกตามตรงว่าคิริมาไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำ คนหยิ่งทระนงอย่างเขาเนี่ยนะจะร้องไห้ให้คนอื่นเห็น แต่ความเป็นห่วงที่มีไม่น้อยนั้นก็ทำให้เธอทนไม่ไหวจำต้องเอ่ยปากถามไถ่อีกสามหนุ่มที่เหลือ ซึ่งก็ได้คำตอบว่าตอนนี้ที่บ้านของพงษ์สวัสดิ์กำลังแย่ แม่กับพ่อกำลังจะแยกทางกัน ได้ฟังเพียงเท่านั้นเธอก็รีบวางช้อนส้อม แล้วลุกขึ้นวิ่งไปยังดาดฟ้า
เจ้าของสีหน้ากระวนกระวายใจซอยเท้าก้าวพ้นประตูดาดฟ้า ขณะสอดส่ายสายตาหาเขา ทว่าเท้าบอบบางกลับชะงักกึกในวินาทีที่เหลือบไปเห็นว่าใต้ต้นไม้ที่ถูกจัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ มีคนสองคนกำลังนั่งกอดกันอยู่ ฝ่ายชายคือคนที่เธอกำลังตามหาด้วยความเป็นห่วง ส่วนฝ่ายหญิงที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นก็ทำให้คิริมาแทบผงะ
“เธอมาทำอะไรที่นี่ ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่เป็นที่ต้องห้าม” น้ำเสียงและแววตาที่ไม่เป็นมิตรของเพื่อนร่วมห้องซึ่งเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ตอนต้นเทอมทำให้คิริมาจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะมองเลยผ่านเหมือนเป็นอากาศธาตุ แล้วเดินไปหยุดลงตรงหน้าคนที่เพิ่งผละห่างจากร่างบางของนักเรียนใหม่
“เอ่อ…ป๋า…ฉันมาชวนไปกินข้าว” คิริมาเอ่ยเสียงหวิวๆ แววตาแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้ทว่าเย็นชาและว่างเปล่าจนน่าใจหายคู่นั้นทำให้เธอแทบพูดไม่ออก
“เธอไปเถอะ ฉันไม่หิว” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยเสียงราบเรียบติดจะสั่นเครือ แล้วเมินหน้าเปื้อนคราบน้ำตาหนี และท่าทางไม่แยแสนั้นก็ทำให้คนที่รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางนึกน้อยใจ
“แต่นี่มันเที่ยงแล้วนะ ไปกินหน่อยเถอะ” นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เธอยอมอ้อนวอนเขาเพราะนึกเป็นห่วง แต่ท่าทางกระวนกระวายกลับไม่อาจเข้าถึงจิตใจของอีกฝ่ายได้
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่หิว” เสียงของเขาเริ่มแข็งกร้าวขึ้น นัยน์ตาเย็นชาหันมาจ้องเธอคล้ายรำคาญ ทำให้คนมองแทบถอดใจ แต่บอกตัวเองว่าเขาก็แค่กำลังอยู่ในภาวะอารมณ์เศร้าเสียใจอย่าไปถือสาเขาเลย
“ไม่หิวก็ต้องกินนะ ฉันได้ยินว่าแม่นายมา…” คิริมายังคงรบเร้า ท้ายประโยคตั้งใจว่าจะเอ่ยถามถึงเรื่องแม่ของเขาด้วยความเป็นห่วง ทว่ากลับต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนตวาดลั่น
“หุบปาก!”
เขาแสดงความกราดเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยเห็นออกมา แต่ถึงกระนั้นคิริมาก็ยังไม่ยอมหันหลังแล้วเดินจากไปง่ายๆ นัยน์ตาแดงๆ คู่นั้นมันทำให้เธอมิอาจเพิกเฉยได้
“แต่แม่ของนาย…”
“ไปซะคิริมา! อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน!”
ครั้นเห็นเธอเอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเขาก็ลุกพรวดพราดขึ้น แล้วเป็นฝ่ายดึงแขนคนที่มองหน้าเธออย่างเยาะหยันออกไปจากดาดฟ้าเสียเอง เพราะพงษ์สวัสดิ์ไม่อยากให้คิริมาเห็นน้ำตา ไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขาก็มีมุมอ่อนแออย่างน่าบัดซบ และที่สำคัญคือเขาไม่อยากจะได้ยินอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับแม่ตัวเอง พงษ์สวัสดิ์เลือกที่จะทิ้งให้คนที่ถูกขับไล่ยืนเม้มปากน้ำตาคลอ หัวใจดวงน้อยปวดแปลบอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกที่ซุกซ่อนอยู่ในอกมันฟ้องว่าเธอเสียใจที่เขาเห็นคนอื่นดีกว่า เธอเจ็บปวดที่โดนขับไล่ และเธอก็คงแอบมีใจให้เขาอย่างไม่น่าให้อภัย
จากนั้นคิริมาก็ทรุดกายลงนั่งอย่างหมดแรง น้ำตาไหลเป็นทาง เธอนึกว่าเธอจะสำคัญกับเขาบ้าง เธอคิดว่าเวลามีปัญหาเขาจะนึกถึงเธอ แต่เปล่าเลย เขามีคนของเขาอยู่แล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เธอ และคงไม่มีวันเป็นเธอ
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว คิริมาก็เดินลงมาจากดาดฟ้า หมายจะไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ทว่ายังก้าวไม่ถึงไหนพิริยาก็เดินมาดักหน้าไว้เสียก่อน
“ไงล่ะ แฟนเขากลับมาตัวเองก็กลายเป็นหมาหัวเน่า จะบอกอะไรให้นะคนนี้น่ะเป็นรักแรกของป๋า เขารักมาก ยัยแว่นเชยๆ อย่างเธอเทียบไม่ติดหรอก”
วาจาเย้ยหยันทำให้คิริมากำหมัดแน่น หัวตาร้อนผ่าวกับความจริงที่ได้รับรู้ ทว่ายังคงเชิดหน้าเดินไปข้างหน้าคล้ายไม่แยแส แต่แล้วก็ต้องกระตุกเฮือกเมื่อโดนอีกฝ่ายกระชากผมจนแทบหงายหลัง
“ปล่อยผมฉันเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” เธอเค้นเสียงแข็งกระด้างลอดไรฟัน ทว่าแทนที่อีกฝ่ายจะสะทกสะท้านกลับตอบโต้ด้วยวาจาแสนจะท้าทายปนถือดี
“น้ำหน้าอย่างแกจะทำอะไรฉันได้”
“ก็ทำอย่างนี้ไงล่ะ” ขาดคำคิริมาก็พลิกตัวมาบิดแขนเรียวแรงๆ จนอีกฝ่ายทำหน้าเหยเก ปล่อยมือจากกระจุกผมดำขลับทันควัน แล้วก็ต้องอุทานลั่นเมื่อโดนผลักจนเสียหลักล้มกระแทกพื้น
จากนั้นคิริมาก็ตั้งท่าจะเดินหนีไปจากตรงนั้น เพราะไม่อยากทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โตจนรู้ไปถึงหูอาจารย์ หากว่าถ้อยคำบาดหูจะไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“ช่วยด้วย! นังลูกฆาตกรมันจะฆ่าฉัน!”
น้ำคำที่จงใจยั่วทำให้คิริมาสติขาดผึง เธอหันขวับกลับไปหาอีกฝ่าย แล้วผลักร่างบางที่กำลังจะลุกขึ้นให้ลงไปกองกับพื้น ท่ามกลางความตกตะลึงของนักเรียนที่วิ่งมามุงดู
“เอาเลยพิมมี่จัดการมันเลย” เพื่อนของพิริยาที่เพิ่งมาถึงกระโจนเข้าล็อกแขนของคิริมาเอาไว้ แล้วเอ่ยยุยงด้วยท่าทางคึกคะนอง ทว่ายังไม่ทันที่พิริยาจะได้ง้างฝ่ามือตบเธอก็ตัดสินใจโขกหัวเข้ากับหน้าผากอีกฝ่ายสุดแรง เรียกเสียงกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บระคนคับข้องใจเหลือคณา
“กรี๊ด!!!...นังบ้า! ฉันจะฆ่าแก!”
“งั้นมาดูกัน ว่าใครจะฆ่าใครกันแน่”
ขาดคำคิริมาก็ฟึดแขนออกจากการถูกล็อกเอาไว้ มองหน้าคนที่คิดจะเข้ามายุ่งอย่างเอาเรื่อง จากนั้นก็ขึ้นคร่อมพิริยาแล้วง้างฝ่ามือตบหน้าแบบไม่ยั้ง ส่งผลให้อีกฝ่ายกรีดร้องลั่นประหนึ่งคนบ้า เพราะทั้งเสียหน้า เจ็บตัว และเจ็บใจ ที่ตนตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ คิริมาทำให้สาวป็อปของโรงเรียนหน้าหันไปหลายที เลือดกำเดาไหล มุมปากแตกยับ ก่อนจะซัดหมัดหนักๆ เข้าใส่สันจมูกโด่งจนเลือดพุ่ง ท่ามกลางเสียงฮือฮาและตกตะลึงของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ เพราะไม่คาดคิดว่าคนที่ถูกไล่ต้อนจนมุมอย่างคิริมาจะสู้ยิบตาและบ้าเลือดได้มากถึงเพียงนี้
วินาทีถัดมาเด็กนักเรียนที่กำลังมุงดูเหตุการณ์สุดระทึกก็พากันแตกฮือ รีบหนีขึ้นห้องเรียนแทบไม่ทัน เมื่ออาจารย์ฝ่ายปกครองเดินมาถึง พร้อมเสียงตวาดลั่น
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันใดนั้นคนที่กำลังจะง้างฝ่ามือแลกตบกันก็ชะงักกึกไปชั่วขณะ คิริมาลุกขึ้นจากตัวของคู่อริ ไม่นานพิริยาก็ลุกขึ้นมาด้วยท่าทางทุลักทุเล แล้วคนที่หน้าบวมเป่งและเลือดซึมมุมปากก็ชิงร้องไห้กระซิกเรียกคะแนนสงสาร แถมยังฟ้องครูและใส่ร้ายว่าคิริมาเป็นคนหาเรื่องก่อน
“ทั้งสองคนตามครูไปที่ห้องฝ่ายปกครองเดี๋ยวนี้” อาจารย์หัวหน้าฝ่ายปกครองเอ่ยเสียงเข้มๆ ก่อนจะก้าวฉับๆ นำหน้า โดยมีคู่กรณีทั้งสองเดินตามไป
จากนั้นครูก็สอบสวนเรื่องราว โดยเรียกนักเรียนที่เห็นเหตุการณ์มาซักถามเพิ่มเติม ซึ่งทุกคนล้วนปรักปรำว่าคิริมาเป็นคนหาเรื่องก่อน ที่สุดครูก็ตัดสินว่าเธอเป็นคนผิด
“ขอโทษพิริยาซะ เรื่องจะได้จบๆ” วาจาที่หลุดออกมาจากปากอาจารย์ทำให้คิริมาถึงกับนิ่งอึ้ง ครั้นเหลือบไปเห็นแววตาเย้ยหยันปนสะใจของพิริยาเธอก็กำหมัดแน่น
“หนูไม่ผิด หนูไม่ขอโทษ” เธอเอ่ยเสียงเรียบๆ ไม่มีแววกริ่งเกรงต่อสายตาดุๆ ปนตำหนิของอาจารย์ฝ่ายปกครองทั้งสองท่านที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ถ้าเธอยังก้าวร้าวและไม่รู้จักสำนึกผิดแบบนี้ เธออาจจะถูกไล่ออก” หนึ่งในสองเอ่ยเป็นเชิงกดดันแกมบีบบังคับ เพราะเกรงใจแม่ของพิริยาซึ่งเป็นผู้อุปการะคุณรายใหญ่ของโรงเรียน
“ไม่ต้องไล่หนูออกหรอกค่ะ เพราะหนูจะลาออกเอง”
คิริมาเชิดหน้าประกาศกร้าวอย่างหมดสิ้นความอดทน นี่เป็นสิ่งที่เธอคิดเสมอมาตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่นี่ แต่ที่ดันทุรังอยู่จนถึงทุกวันนี้เพราะไม่อยากเป็นคนขี้แพ้ที่คอยแต่จะวิ่งหนีปัญหา และอีกอย่างก็คือระยะหลังๆ มานี้เธอมีพงษ์สวัสดิ์คอยเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้าง แต่วันนี้มันกลับต่างออกไป ความรู้สึกอุ่นใจแม้ไม่มีเพื่อน ความรู้สึกว่าเรียนที่นี่ก็ดีไม่น้อย มันไม่หลงเหลืออีกแล้ว ทุกอย่างมันหายไปตั้งแต่พงษ์สวัสดิ์ตวาดไล่ มันทำให้เธอรู้สึกไร้ค่า รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทาง และคงถึงเวลาที่เธอจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้เสียที
หลังออกมาจากห้องฝ่ายปกครอง คิริมาก็เดินไปเก็บกระเป๋าท่ามกลางสายตาที่มองเธอเหมือนตัวประหลาดของเพื่อนร่วมชั้น บางคนมองด้วยความหวาดกลัวเพราะไม่คิดว่าคนเงียบๆ อย่างเธอจะกล้าใช้ความรุนแรงทำร้ายพิริยาจนหน้าเกือบเสียโฉม แต่เธอไม่สนคนพวกนั้น ไม่แคร์ว่าใครจะมองว่าเธอเป็นคนยังไง สายตาเศร้าหมองหันไปมองโต๊ะตัวข้างๆ ของเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวเช่นศุภชัยซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายจนต้องลาออกจากโรงเรียน ยื่นมือสั่นเทาไปลูบตัวหนังสือที่เขียนชื่อของทั้งคู่ไว้ข้างกันเบาๆ รอยจางๆ ของปากกาแต่ยังเด่นชัดในความรู้สึกทำให้เธออดใจหายไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินออกจากห้องเรียน
จากนั้นคิริมาก็เดินขึ้นไปยังดาดฟ้า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะไปเหยียบที่นั่น ถึงแม้จะน้อยใจให้พงษ์สวัสดิ์แต่เธอก็ยังอยากเห็นหน้าเขาและกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากก้าวขาพ้นธรณีประตูดาดฟ้าคิริมาก็ทำหน้าไม่สบายใจเมื่อเห็นพงษ์สวัสดิ์นั่งซบหน้าลงกับเข่า ก่อนจะเดินไปนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยเรียก
“ป๋า…”
คนถูกเรียกผงกศีรษะขึ้นมาด้วยท่าทางเนือยๆ เมินหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาหนี ทำให้คิริมาต้องดึงมือเขามากุมไว้ บีบอย่างให้กำลังใจ แล้วเอ่ยถาม
“นายโอเคหรือเปล่า”
“ฉันโอเค ไม่ได้เป็นอะไร” เจ้าของใบหน้านิ่งๆ เอ่ยเสียงเรียบ ไหวไหล่กว้างเบาๆ ทว่าแววตาคู่นั้นกลับอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดเสียใจอย่างมากมายมหาศาล
“แล้วตอนเที่ยงได้กินข้าวบ้างไหม”
“กินแล้ว”
“นายมีอะไรอยากจะเล่าให้ฉันฟังไหม แบบว่าปรึกษาก็ได้” เธอเอ่ยอย่างพยายามจะชวนคุย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เปิดโอกาสให้เสียเลย
“ไม่มี”
“เอ่อ…ฉันได้ยินว่าแม่นายมาหา” คิริมาหาจังหวะเอ่ยอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าคำพูดของตนจะไปสะกิดแผลใจของอีกฝ่ายเข้า แต่ก็อยากให้เขาระบายอะไรออกมาบ้าง
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มาหา แต่เขามาลา เขากำลังจะไปจากฉันกับพ่อ” วาจาที่หลุดออกมากจากปากหยักทำให้คนฟังถึงกับนิ่งงัน กะพริบตาอย่างเรียกสติ
“ไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยนายก็ยังมีพ่อ” คิริมาเอ่ยเบาๆ อย่างไม่รู้ว่าจะปลอบด้วยถ้อยคำไหน แล้วก็ต้องตะลึงงันเมื่ออีกฝ่ายหันขวับมาจ้องหน้าตาขวาง
“เธอพูดบ้าๆ แบบนี้ได้ยังไง แม่ของฉันจะทิ้งฉันไปทั้งคนนะโว้ย!” เขาตะคอกลั่นด้วยแรงอารมณ์กราดเกรี้ยว ก่อนจะบิดปากทำเสียงเยาะหยัน
“อ้อ…ฉันลืมไป ว่าเธอไม่มีแม่”
วาจาแสนบาดใจทำให้คิริมาตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ มองหน้าอีกฝ่ายคล้ายคนไม่รู้จัก แววตาอัดแน่นไปด้วยการตัดพ้อต่อว่าระคนผิดหวังเสียใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือที่กุมมือใหญ่ประหนึ่งปล่อยสายใยอันเปราะบางที่เพิ่งถักทอได้ไม่นานให้ขาดสะบั้น แล้วลุกขึ้นถอยห่าง
เธอนึกว่าเขาจะเป็นคนที่เข้าใจเธอมากที่สุด เธอนึกว่าเขาจะมองเธอเป็นคนสำคัญ เป็นพี่ เป็นเพื่อน แต่เปล่าเลย เธอไม่ได้เป็นอะไรสำหรับเขาสักอย่าง พงษ์สวัสดิ์ไม่เข้าใจอะไรในตัวเธอเลย เขาไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ และก็เพิ่งได้รู้ซึ้งว่าเธอเองก็ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเช่นกัน
“ฉันมีแม่ แต่แม่ของฉันตายแล้ว” เธอเอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น ก่อนจะหันหลังวิ่งร้องไห้จากไป กว่าพงษ์สวัสดิ์จะรู้ตัวว่าตนทำอะไรลงไปคิริมาก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว
คิริมาวิ่งร้องไห้ออกจากตัวอาคารมาตามทางเดิน มุ่งตรงไปยังหน้าโรงเรียนด้วยสภาพไม่ต่างอะไรจากเด็กหลงทาง ส่วนในหัวสมองก็เอาแต่คิดว่า
ไม่มีใครรักเธอเลย
เธอมันไร้ค่า
เธอควรตายดีไหม
ไม่หรอก! ไม่! เธอยังอยากทำตามฝันตัวเองอยู่
ทว่าคนที่เดินด้วยท่าทางไร้สติกลับไม่รู้ว่ากำลังมีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งทะยานเข้าหาด้วยความเร็วสุดขั้ว ชั่วเสี้ยววินาทีเธอก็เบิกตาโพลง ขาตายอยู่กับที่ ทำได้เพียงยกมือขึ้นป้องหน้า ก่อนจะรับรู้ว่าร่างกายถูกความเจ็บปวดจู่โจมอย่างมหาศาล ท่ามกลางเสียงกรีดร้องลั่นระงมของผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ทุกอย่างเหมือนหยุดลงตรงนั้น เธอเบ้หน้าด้วยความทรมาน มันเหมือนร่างกายจะแหลกละเอียดเสียให้ได้ ก่อนที่หูจะแว่วได้ยินเสียงใครบางคน
“พี่ครีม! พี่ครีมได้ยินไหม! ตอบเมศหน่อย!”
ปรเมศที่บังเอิญมาทันได้เห็นเหตุการณ์เข้าพอดีถลาวิ่งฝ่าวงล้อมมากุมมือคนเจ็บเอาไว้ แล้วละล่ำละลักถามไถ่ด้วยน้ำเสียงร้อนรน สีหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“มะ…เมศ…เมศเหรอ” คนบาดเจ็บสาหัสและเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดพยายามปรือตาขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก แล้วเอ่ยเสียงแผ่วหวิวราวกระซิบ
“ใช่ครับ พี่ครีมจำเมศได้ด้วยดีใจจัง” เจ้าของมืออุ่นที่กุมมือเธออยู่ไม่ห่างเอ่ยเสียงสั่นๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านั้น อย่างน้อยเขาก็ต้องชวนเธอคุยให้รู้สติเข้าไว้
“ดะ…ได้โปรด พะ…พาพี่ไปจากตรงนี้”
เธอขยับริมฝีปากหนักอึ้งเอ่ยวิงวอนอีกฝ่ายปนสะอื้นฮัก น้ำตาเจ้ากรรมไหลทะลัก จนปรเมศทำอะไรไม่ถูก ส่วนพงษ์สวัสดิ์ที่มองดูเหตุการณ์อยู่วงนอกเพราะถูกรปภ.กันไว้ก็แทบจะเป็นบ้าตาย เขาพยายามฝ่าวงล้อมเข้าไปหาคนเจ็บหลายต่อหลายครั้ง แต่ถูกล็อกตัวเอาไว้
“ได้ครับ พี่ครีมทำใจดีๆ ไว้นะ รถของโรงพยาบาลกำลังจะมา” ปรเมศละล่ำละลักรับคำ แล้วเอ่ยปลอบประโลมอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก เพราะสภาพของเธอมันดูแย่มากจนน่าใจหาย
“ปวดหัวจัง…ปวดเหมือนหัวจะแตก” เธอขยับปากรำพันแผ่วเบา เบ้หน้าขณะที่พยายามจะยกมือสั่นเทาไปกุมหัวตัวเอง ทว่าที่สุดก็ต้องยอมแพ้ลดมือลงวางแหมะกับพื้น
“พี่ครีมอดทนหน่อยนะ อดทนอีกนิด”
“พะ…พี่รู้สึก มะ…เหมือนจะ…หายใจไม่ออก…”
คนที่นอนราบอยู่กับพื้นในสภาพสะบักสะบอมเอ่ยเสียงขาดเป็นห้วงๆ ขณะพยายามปรือตาสองสามครั้ง จากนั้นก็กระตุกเฮือก แล้วกระอักเลือดออกมาท่ามกลางความตกใจจนหน้าซีดตัวสั่นของผู้เห็นเหตุการณ์ เสี้ยววินาทีถัดมารถพยาบาลฉุกเฉินก็เปิดสัญญาณขอทางมาแต่ไกล
“ถ้าพี่เป็นอะไรไป ช่วยเอาพี่ไปไว้กับแม่ ทะ…ที่วัดที่เราเจอกัน…”
คิริมากลั้นใจเอ่ยประโยคยาวๆ คล้ายสั่งเสียทำเอาคนฟังน้ำตาแตก ถึงจะไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พี่น้อง แต่เขากลับรู้สึกผูกพันกับเธอประหนึ่งพี่น้องที่คลานตามกันมา
“ไม่เอา! อย่าเป็นอะไรนะ! พี่ครีมต้องอยู่เป็นพี่สาวเมศรู้ไหม เมศจะให้แม่ไปขอ…ไปขอมาเป็นพี่สาวเมศ” ปรเมศเอ่ยเสียงสะท้าน พยายามยื้อสติของคนที่กำลังจะไม่รับรู้อะไร
อึดใจต่อมาเขาก็ต้องค่อยๆ ปล่อยมือคนเจ็บ แล้วถอยห่างให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างสะดวก ในขณะที่ร่างแทบไร้สติกำลังถูกเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายขึ้นรถพยาบาลฉุกเฉินหูของคิริมาก็ได้ยินเสียงของใครบางคน เสียงของคนที่เธอไม่อยากจะได้ยินแม้แต่ชื่อ และถ้าเลือกได้เธอจะขอลืมเขาไปชั่วชีวิต
“ครีม! ครีม! เธออย่าเป็นอะไรนะ! ฉันขอโทษ! ฉันขอโทษได้ยินไหม!”
พงษ์สวัสดิ์ส่งเสียงตะโกนลั่นด้วยท่าทางร้อนรนกระวนกระวาย เขาตั้งใจจะขัดขืนการล็อกตัวเอาไว้ แต่ไม่เป็นผล ที่สุดก็ทำได้เพียงมองดูเจ้าหน้าที่นำร่างที่โชกไปด้วยเลือดขึ้นรถพยาบาลฉุกเฉินแล้ววิ่งจากไป ท่ามกลางความรู้สึกผิด เสียใจ และเจ็บปวดอย่างมากมายมหาศาล แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาโคตรเจ็บใจให้ตัวเองที่พาลพาโลเอาอารมณ์ร้ายๆ ไปลงที่เธอ ทั้งที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ทั้งที่เธอเป็นห่วงเขา แต่เขากลับทำร้ายเธอด้วยวาจาร้ายกาจจนเป็นสาเหตุให้เธอเจ็บปางตาย หากเธอเป็นอะไรไปเขาจะไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต