อีกมุมของคนฟอร์มจัด (60%)
ผู้ที่จำนนด้วยหลักฐานจนไม่กล้าวู่วามทำอะไรรุนแรงกัดฟันเค้นเสียงขุ่นคลั่ก ก่อนจะตวัดสายตาชิงชังมองหน้าคิริมาเขม็ง แต่แล้วพิริยาก็เป็นคนผลักเธอลงไปกระแทกพื้นแรงๆ
“ถ้าไม่อยากถูกไล่ออกก็อย่าสะเออะมาอวดดีกับลูกฉันอีก” ผู้หญิงวัยกลางคนที่เป็นเมียน้อยของพ่อเชิดหน้าเอ่ยข่มขู่เสียงแข็งๆ ก่อนจะพาลูกสาวเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะเยาะหยัน
คิริมากัดปากจนแทบห้อเลือดด้วยความเจ็บใจ เสียงหัวเราะเยาะที่ยังแว่วอยู่ในหูทำให้เธอต้องบอกตัวเองให้เข้มแข็งเข้าไว้ บอกตัวเองว่าโดนแกล้งแค่นี้ไม่ตายหรอก ก่อนจะลุกขึ้นด้วยท่าทางทุลักทุเล เนื้อตัวเปียกโชก จากที่คิดจะวิ่งหลบฝน คนที่เหมือนเด็กหลงทางก็ทำเพียงเดินเอื่อยๆ ฝ่าสายฝนที่ยังคงเทลงมาไม่สร่างซา
ครั้นเหลือบไปเห็นว่ามีแม่ของนักเรียนคนหนึ่งเดินแกมวิ่งถือร่มมารับลูกสาวที่เพิ่งวิ่งฝ่าสายฝนแซงหน้าเธอไป คิริมาก็มองภาพตรงหน้าด้วยความอิจฉาสุดหัวใจ พอมองข้างกายตัวเองกลับไม่มีใครเลยสักคน สาวน้อยก็ถึงกับน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว จากที่เอากระเป๋ามาบังหัวจากสายฝนเธอก็ลดมันลง แล้วเงยหน้าปะทะเม็ดฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย แล้วร้องไห้แข่งกับเสียงฝนอย่างน้อยใจในโชคชะตา
แต่แล้วอยู่ๆ ฝนที่ตกกระทบร่างบางก็หายไป เท้าทั้งสองข้างของเธอหยุดชะงัก คิ้วโก่งได้รูปย่นเข้าหากันด้วยความแปลกใจ เบนสายตามองขึ้นไปอีกนิดก็ปรากฏว่ามีใครบางคนมากางร่มให้เธอ ครั้นหันข้างมามองเจ้าของร่มก็ต้องทำตาโต เสียงอุทานหลุดออกมาจากกลีบปากสั่นระริก
“นาย!”
“เป็นบ้าหรือไงถึงเดินตากฝนอยู่ได้!” น้ำคำดุๆ ที่ตวาดใส่ทำให้เธอชะงัก อยากจะตะโกนใส่หน้าเขานักว่าเธอไม่ได้เป็นบ้า แต่เธอลืมเอาร่มมา และที่สำคัญคือเธอไม่มีพ่อแม่มารับเหมือนอย่างใครเขา ทว่ากลับทำเพียงผลักไสคนที่อุตส่าห์ถือร่มลงจากรถมาหาออกห่าง แล้วตัวเองก็เดินตากฝนร้องไห้จากไปแบบไม่เหลียวหลัง ก่อนที่เขาจะก้าวพรวดพราดตามมากระชากแขนเรียวเอาไว้ พร้อมกางร่มให้อีกครา
“อย่ามายุ่งกับฉัน!” เธอเอ่ยเสียงแข็งๆ ขณะพยายามบิดข้อมือเล็กให้หลุดจากอุ้งมือใหญ่ ทว่ายิ่งเธอทำท่าขัดขืนดื้อด้านเขายิ่งกำมือเธอแน่นกว่าเดิม
“นี่! ไม่หยิ่งสักเรื่องจะได้ไหม หนาวจนปากสั่นตัวซีดยังจะมาทำปากดีอวดเก่งไม่เข้าเรื่องอีก…มานี่”
เขากดเสียงต่ำด้วยความระอากับความไว้ตัวและเย่อหยิ่งของอีกฝ่าย ก่อนจะลากเธอให้ก้าวตามไป คิริมาขืนตัวต้านแรงเอาไว้ บิดข้อมือจนหลุด แล้วเอ่ยออกมา
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับฉัน นายก็เกลียดฉันเหมือนคนอื่นๆ ไม่ใช่หรือไง ฉะนั้นนายควรจะหัวเราะเยาะฉันแล้วเดินจากไป หรือไม่ก็แกล้งฉันเหมือนที่คนอื่นทำ ฮึก…ทำเหมือนฉันไม่มีชีวิตจิตใจ” ท้ายประโยคคิริมาสะอื้นฮักปนตัดพ้อ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาพร้อมน้ำตาไหลพราก
“ยัยแว่นบ้า! ฉันไม่ได้ระยำขนาดนั้นเว้ย!” พงษ์สวัสดิ์ตะเบ็งเสียงแข่งกับสายฝนอย่างเหลืออดกับความจองหองของคนที่เหมือนตัวคนเดียว
ครั้นเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตัดพ้อเขาก็ทำท่าจะดึงเธอเข้ามาซบอก แต่กลับต้องยกมือค้างกลางอากาศ แล้วทำเป็นลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อกระดาก กระทั่งทนฟังเสียงสะอื้นไห้ปานจะขาดใจไม่ไหว เอื้อมมือไปแตะไหล่สะท้านอย่างเก้ๆ กังๆ ที่สุดก็ตัดสินใจตวัดร่างบางเข้ามากอด เลื่อนมือที่แตะอยู่ตรงเอวอ้อนแอ้นมากดศีรษะน้อยให้ดวงหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาซบลงตรงอกตัวเอง คราแรกนั้นคิริมาทำหน้าตื่นๆ และดิ้นรนต่อต้านการกระทำอันแสนอุ่นซ่านอย่างบ้าคลั่ง แต่เขาหายอมไม่ ยิ่งยัยแว่นออกท่าพยศเขาก็ยิ่งจับหัวเธอกดกับอกตัวเอง ที่สุดเธอก็ยอมจำนน หลุดสะอื้นฮัก แล้วปล่อยโฮออกมาเสียงดังลั่นอย่างสุดกลั้น
“ครีม”
ผ่านไปสักพักพงษ์สวัสดิ์ก็เอ่ยเรียกคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องแต่อย่างใด ยิ่งเธอร้องเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะเป็นบ้า และทำอะไรไม่ถูก
“ฮึก…อะไร” เธอผงกหัวขึ้นจากอกกว้าง แล้วมองเขาตาแดงๆ พร้อมเอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น ขณะที่หยาดน้ำใสๆ ยังคงไหลพรากออกมาจากนัยน์ตาหม่นเศร้าไม่ขาดสาย
“พอหรือยัง” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยถามชิดหน้าผากมนของคนที่ตนอุทิศอกซับหยาดน้ำตาให้เมื่อครู่
“พออะไร”
“ร้องไห้พอหรือยัง”
“ยัง” คิริมาเอ่ยทั้งน้ำตา
ว่าแล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมาอีกระลอก ทำเอาคนไม่เคยรับมือกับน้ำตาถึงกับกลอกตาขึ้นฟ้า ก่อนจะกดท้ายทอยสลวยรั้งใบหน้าเลอะหยาดน้ำตามาซบอกตัวเองอีกครา
“ปล่อยฉันนะ! นายจะทำบ้าอะไร!”
ครั้งนี้เธอเอ่ยประท้วงด้วยท่าทางตื่นๆ เพราะสติเริ่มมีกว่าในคราแรก ขณะขืนกายเอาไว้ เขาทำอะไรที่ไม่สมควรทำในโรงเรียน ถึงแม้จะไม่ส่อไปในทางชู้สาวก็เถอะแต่ถ้าใครมาเห็นเข้ามันคงไม่ดีแน่ โล่งใจหน่อยก็ตรงที่ตอนนี้นักเรียนกลับบ้านจนเกือบหมดแล้ว ส่วนคนที่เดินผ่านไปมาก็กางร่มวิ่งฝ่าสายฝนด้วยท่าทางเร่งรีบ บวกกับร่มที่เขาถืออยู่ก็คันใหญ่จนสามารถบดบังทั้งคู่จากสายตาสอดรู้สอดเห็น ฉะนั้นจึงไม่มีใครสนเขาและเธอ
“ปล่อย” คิริมาเอ่ยเสียงสั่นๆ น้ำตาไหลไม่หยุดหย่อน แรงน้อยนิดยังคงพยายามหาทางให้ตัวเองหลุดไปจากการกระทำอันน่ากระดากอาย เพราะกลัวว่าหากนานกว่านี้จะมีคนมาเห็นเข้า
“ทีเมื่อกี้ก็ทำแบบนี้ไม่เห็นโวยวาย” แทนที่จะทำตามความต้องการของเธอเขากลับเลิกคิ้วทำหน้าตาย แถมยังถือวิสาสะรั้งเอวบางเข้าหา แล้วลอยหน้ายั่วน้อยๆ
“ปล่อย” คิริมายังคงทำเสียงอู้อี้ประท้วงด้วยถ้อยคำเดิม เห็นเขาทำอย่างนั้นก็ยิ่งตีโพยตีพายไปว่าอีกฝ่ายกลั่นแกล้ง แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมาอีกระลอก
“ถ้าอยากให้ปล่อยก็หยุดร้องไห้ ฉันปลอบใครไม่เป็น” เขาเอ่ยเสียงแข็งๆ ทำหน้ายุ่งปนกระวนกระวายอย่างพิลึกเพราะจนปัญญาไม่รู้ว่าจะต้องปลอบให้อีกฝ่ายหยุดร้องได้อย่างไร
“นายไม่เป็นฉัน นายไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าฉันรู้สึกยังไง” คิริมาเอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น
“เออ…ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ เอาตามที่เธอสบายใจเลย แต่หยุดร้องไห้ได้ไหมวะ” เขาเอ่ยอย่างจนใจ ยอมหมดทุกอย่างเพราะไม่ชอบน้ำตาผู้หญิงเป็นทุนเดิม แต่ก่อนเขามองว่ามันน่ารำคาญเหลือจะทน แต่พอเห็นคิริมาร้องไห้เขากลับรู้สึกทุรนทุรายไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“นะ…หยุดร้องไห้เถอะนะ ถ้าเธอเสียใจเพราะโดนยัยหมาบ้าพิมมี่แกล้งฉันจะไปเอาคืนให้ ขอเพียงเธอบอกฉันจะไปจัดการให้” เขาเอ่ยอาสาแข็งขัน
ก่อนจะทำให้คนที่ร้องไห้จนตัวโยนถึงกับกลั้นก้อนสะอื้นในฉับพลัน ด้วยการดึงชายเสื้อแจ็กเกตสุดแนวของตัวเองขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ การกระทำที่ดูไม่อ่อนโยน แถมยังเต็มไปด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น ดูดิบๆ ห่ามๆ แต่กระนั้นหัวใจคนถูกกระทำกลับเต้นไม่เป็นส่ำ
นาทีนั้นคิริมายืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป สมองคล้ายไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ส่วนหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อถูกอีกฝ่ายขยับเข้ามาโอบไหล่บอบบาง ส่วนมืออีกข้างก็ยังถือร่มเพื่อบดบังสายฝนที่ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย แล้วพาเธอเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทว่ามั่นคง
“นายจะพาฉันไปไหน” เสียงสะท้านหลุดออกมาจากปากอิ่ม ขณะที่เจ้าตัวพยายามขืนกายเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่มีหรือจะต้านแรงฉุดรั้งของคนเอาแต่ใจได้ไหว
“ไม่พาไปฆ่าก็แล้วกันล่ะน่า เดินตามมาดีๆ”
“อย่ามาสั่ง!” วาจาอวดดีที่หลุดออกมาจากปากคนจองหองที่ไม่ดูสภาพตัวเองว่าย่ำแย่ขนาดไหนทำให้เขาหยุดเดิน แล้วหันไปมองหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าดื้อนักจะ ‘อุ้ม’ เอาสิ…ถ้าเธอไม่อยากตกเป็นข่าวให้คนเอาไปเม้าท์กันทั้งโรงเรียนในวันพรุ่งนี้” คราวนี้คนไม่เคยถูกขัดใจไม่แค่เอ่ยข่มขู่เฉยๆ แต่ยังเลิกคิ้วท้าทายด้วยท่าทางยียวน เห็นอีกฝ่ายทำท่าฮึดฮัด แต่ก็ยอมที่จะเดินตามมาดีๆ มุมปากหยักลึกก็กระตุกเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ
เขาบังคับเธอให้เดินกางร่มมาด้วยกันจนมาถึงรถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ริมถนนไม่ไกลมากนัก ก่อนจะเอ่ยสั่งคนที่เปียกโชกไปทั้งตัวด้วยเสียงแข็งๆ
“ขึ้นไป”
แทนที่จะทำตามคำสั่งของคนที่ชอบมายุ่งกับเธอ คิริมากลับเชิดหน้าทำท่านิ่งๆ ซึ่งการท้าทายด้วยการดื้อเงียบก็ทำให้พงษ์สวัสดิ์กลอกตาขึ้นฟ้า ก่อนจะส่งร่มให้คนของพ่อที่ก้าวลงมาจากตำแหน่งข้างคนขับ แล้วจัดการยัดร่างบางเข้าไปในรถท่ามกลางเสียงประท้วงดังลั่น
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”
เขาเอ่ยอย่างผู้กำชัย เห็นแม่คนอวดดีกำลังกระเถิบไปตามความยาวของเบาะรถเพื่อหวังจะเปิดประตูอีกด้านแล้วหนีไป เขาก็กระโจนขึ้นไปคว้าข้อมือเธอเอาไว้ แล้วสั่งให้คนขับออกรถทันที
“นายจะพาฉันไปไหน” ครั้นหนีลงจากรถไม่ได้คิริมาก็หันไปถามคนที่กอดอกนั่งทำหน้านิ่งอยู่ใกล้ๆ ด้วยท่าทีแตกตื่น รู้สึกกระวนกระวายใจที่ตกอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดเช่นนี้
“ไปส่ง” พงษ์สวัสดิ์เอ่ยตอบสั้นๆ ทว่าได้ใจความ ก่อนจะหันไปหาคนขับรถที่พ่วงด้วยตำแหน่งบอดี้การ์ดประจำตัว แล้วออกคำสั่งเสียงเรียบ
“ภพไปส่งยัยนี่ที่คอนโดตองเก้าด้วยนะ”
หลังจากนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็เอ่ยสั่งให้ชัยซึ่งนั่งข้างคนขับโทรศัพท์ไปบอกพ่อของตนว่าจะกลับบ้านช้านิดหน่อย แล้วหันไปคว้าผ้าขนหนูที่ลูกน้องส่งมาให้
“ทำไมนายถึงรู้ว่าฉันพักที่ไหน”
“ก็ฉันฉลาดไงเลยรู้” เขาเอ่ยรวนหน้าตาย จนเธอต้องย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้ และท่าทางมีชีวิตชีวาแถมยังดูเป็นหญิงไม่เย็นชาทำให้มุมปากหยักยกยิ้ม
“เอ้า…นี่ผ้า เช็ดผมให้แห้งซะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
เขาเอ่ยพลางยัดผ้าขนหนูใส่มือเธอ คิริมามองอย่างอึ้งๆ พร้อมกันนั้นก็มีคำถามผุดขึ้นในหัวว่า เจ้าของหน้าหล่อใสออร่าที่นั่งจ้องเธออยู่ใช่คนเดียวกับที่แกล้งเธอหรือ เพราะไม่คิดว่าเขาจะดีกับเธอขนาดนี้ ความอบอุ่นแปลกๆ ที่วาบขึ้นมาในอกทำให้เธอนั่งนิ่งเหมือนคนไร้สติ
เห็นว่าอีกฝ่ายยังถือผ้าขนหนูค้างเติ่งเขาก็ฉวยมันมา แล้วลงมือเช็ดผมให้เธอเสียเอง การเอาใจใส่ที่ถึงจะไม่อ่อนโยนแต่ก็ทำให้คนถูกดูแลถึงกับตัวแข็งทื่อ หัวใจเจ้ากรรมเต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะละล่ำละลักบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสะท้าน พร้อมทำท่าจะยื้อแย่งผ้าขนหนูจากมือเขา
“เดี๋ยวฉันเช็ดเองก็ได้”
“นั่งนิ่งๆ เถอะน่า เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
ปากเอ่ยสั่งเสียงดุๆ ส่วนมือก็ยังคงสาละวนกับการเช็ดผมให้เธอ ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ต้องนิ่งค้างเมื่อเผลอสบตากัน เขารีบยัดผ้าขนหนูใส่มือเธอในสภาพโหนกแก้มขึ้นสี แล้วขยับไปนั่งกอดอกทำหน้านิ่ง ส่วนคิริมาก็หน้าร้อนวูบ รีบหลุบตาลง แล้วเช็ดผมตัวเองด้วยท่าทางเงอะๆ งะๆ กระทั่งมันเริ่มแห้ง เธอถึงได้ยื่นผ้าขนหนูคืนให้เขา
แอร์รถยนต์ที่ค่อนข้างเย็นทำให้คนที่เพิ่งตากฝนมาถึงกับสั่นสะท้าน ยกแขนขึ้นกอดตัวเองเอาไว้ แต่กระนั้นก็ยังไม่วายปากสั่น เขาเหลือบตามองเป็นระยะ ที่สุดก็ทนไม่ไหว ถอดเสื้อแจ็กเกตออก ทว่าแทนที่จะเอาให้ดีๆ กลับโยนเสื้อไปคลุมหัวเธอเหมือนเจตนาจะหาเรื่องเสียมากกว่า
“นายทำบ้าอะไรเนี่ย!”
คิริมาโวยลั่น ดึงเสื้อที่คลุมอยู่ตรงศีรษะของตัวเองออก แล้วมองหน้าเขาอย่างเคืองๆ ทว่าแทนที่จะสะทกสะท้านคนช่างก่อกวนกลับทำเพียงไหวไหล่ ก่อนที่เธอจะโยนเสื้อคืนให้บ้าง
“เอาเสื้อฉันไปคลุมจะได้คลายหนาว”