บทที่ 7 รักคือการให้อภัย [2/2]
กันตรวีมีชนักติดหลังใจเต้นไม่เป็นจังหวะยามได้ยินพัทธนันท์เรียกชื่อดลภา ในที่สุดเธอก็จำปลายสายได้
“อ๋อพี่เดียร์คนรู้จักพี่กันต์” คนฟังสะอึกนี่เธอเป็นแค่คนรู้จักสำหรับกันตรวีไปแล้วเหรอ “พี่กันต์คะ โทรศัพท์”
กันตรวีลุกขึ้นมารับโทรศัพท์มาคุยต่อ
“ว่าไงเดียร์” เขาพยายามคุยให้ปกติที่สุดแค่เสียงเบากว่าปกติ
“เอ่อ…กันต์” เป็นดลภาที่พูดไม่ออก กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธเธออยู่ “เรื่องที่เราโทรศัพท์วันนั้นอะ ขอโทษนะ เราแค่เห็นว่ามีคนโทรเข้าพอดี”
คนสอดรู้โกหกความผิดตัวเอง กันตรวีที่มีเรื่องให้คิดมากมายก็ไม่ใส่ใจแล้ว เขาจึงตอบรับให้มันจบๆ
“ไม่เป็นไรช่างมันเถอะ” ดลภายกยิ้มใจที่อีกฝ่ายไม่โกรธ “มีแค่นี้ใช่ไหม”
“เดี๋ยวก่อน” เธอรั้งเขา “เราจะเอารถไปซ่อมอะ ไปได้วันไหนบ้างเหรอ”
“พรุ่งนี้ถ้าว่างก็เข้ามาก็ได้”
“โอเค ขอบคุณนะ”
กันตรวีกดวางสายอย่างไม่รอ กลับมานั่งกินข้าวต่อโดยไม่สนใจสายตาอยากรู้ของพัทธนันท์ที่มองมา
ช่วงสายของอีกวัน ดลภามาตามนัด เธอเดินเข้าไปหากันตรวีที่กำลังยืนคุยกับลูกน้อง
“กันต์” ดลภาเรียกอีกฝ่ายเมื่อเห็นลูกน้องเดินออกไป กันตรวีหันกลับมามองตามเสียงเรียก “เราเอารถมาซ่อมตามที่นัดไว้”
“เอาใบรายการมาหรือเปล่า”
“ให้กันต์ไว้ครั้งที่มาตอนเดือนก่อน เรายังไม่ได้เอากลับไป”
กันตรวีพยักหน้าเดินกลับไปที่ออฟฟิศ เมื่อรู้สึกอีกฝ่ายเดินตามก็ชะงักเท้าไว้แล้วกันมามอง
“เราไปนั่งข้างในด้วยสิ ตรงนี้มันร้อน” ดลภายิ้มแหย่กลัวว่าเขายังโกรธเรื่องวันนั้นอยู่
เขาพยักหน้าอีกหนแล้วเดินนำเธอเข้าไปในออฟฟิศ ครานี้ในห้องไม่ได้มีเพียงพัทธนันท์เหมือนทุกครั้งแต่มีเตยที่นั่งทำงานอยู่ด้วย
“กำลังจะขยายร้านทำห้องรับรองลูกค้าแยกนะเตย” กันตรวีเอ่ยบอกกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่มีสมาธิทำงาน
“ค่ะเฮีย” เตยส่งยิ้มให้สาวสวยที่เข้ามากับเจ้านาย ครั้นกันตรวีเดินออกไปทิ้งให้สามสาวอยู่กันเพียงลำพัง?
“พี่ซื้ออันนี้มาฝากจ๊ะ” ดลภายื่นของที่ถือติดมือส่งให้พัทธนันท์ เธอรับมาอย่างงงๆ
“ขอบคุณค่ะพี่เดียร์” พัทธนันท์เปิดถุงดูของในมันคือแอปเปิลเขียว “เดี๋ยวพร้อมไปของทานเล่นมาให้ค่ะ”
ดลภาส่งยิ้มให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไป เรื่องที่พัทธนันท์สูญเสียลูกน้อย
เป็นที่รู้กันทั่วในกลุ่มเพื่อน เธอเองทันทีที่ทราบข่าวจากพลพลก็ตกใจเหมือนกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นวันที่กันตรวีมาหาเพื่อนๆ เธอรู้อยู่แก่ใจว่าจงใจให้เพื่อนคนอื่นๆ ชวนเขา แต่กันตรวีก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพัทธนันท์ป่วย มันชัดเจนว่ากันตรวียังเป็นเหมือนเดิม
ความผิดชอบชั่วดียังอยู่ในจิตใต้สำนึก มาวันนี้เธอกับสงสารพัทธนันท์เสียเอง
พัทธนันท์เปิดโทรศัพท์เลื่อนดูเสื้อผ้าที่สนใจ แล้วถามความเห็นจากเตยที่ตอนนี้สนิทกันราวรู้จักกันเป็นสิบปี
“เตยว่าชุดนี้เป็นนี้เป็นไง เหมาะกับพี่ไหม”
เตยมองหน้าจอโทรศัพท์อีกฝ่ายแล้วพยักหน้า “เหมาะมากค่ะพี่พร้อม ชุดขาวพลิ้วๆ ใส่ไปทะเลน่าจะสวย”
“ชุดนี้ล่ะ” พัทธนันท์เลื่อนหน้าจอให้ดูอีกชุด คราวนี้เป็นชุดสีชมพูสดใส
“เหมาะค่ะ พี่พร้อมขาวใส่อะไรก็สวย”
พัทธนันท์อมยิ้มให้กับคำชม “เตยตัวเล็กเหมือนพี่เลย เอาไว้พี่เก็บเสื้อผ้าที่ไม่ค่อยใส่แล้วมาให้ สะดวกรับไหม”
อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “สะดวกค่ะ”
“เอาไว้ว่างๆ พี่จะเก็บให้ คงตอนกลับจากทะเล”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เตยยกมือไหว้ดีใจที่เจอเจ้านายใจดี พัทธนันท์เป็นกันเองกับทุกคน ไม่ถือตัว แถมชอบทำอาหารอร่อยๆ มาเผื่อพนักงานด้วย
“พี่เดียร์อยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ”
พัทธนันท์ถามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาคนเดียว ใบหน้ายิ้มแย้มตามนิสัยคนอัธยาศัยดี
“ไม่แล้วจ้ะ” ดลภาหยิบกระเป๋าหลบคนที่มานั่งข้างๆ
“พี่เดียร์รู้จักกับพี่กันต์ได้ยังไงเหรอ” ที่ถามเพราะสงสัย กันตรวีไม่เห็นเคยมีเพื่อนผู้หญิง
ดลภาชะงักเล็กน้อยแต่ก็ตอบคำถาม “รู้จักกับกันต์ตั้งแต่สมัยเรียนน่ะ”
“แบบนั้นไม่เรียกว่าเป็นเพื่อนกันเหรอ” พัทธนันท์เอะใจก่อนจะรีบอธิบายกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด
“พร้อมถามแค่สงสัยเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้จะจับผิดอะไรนะคะ”
“พอดีพี่ไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปีก็เลยไม่ได้สนิทกันเหมือนก่อน” คราวนี้ดลภาเป็นฝ่ายอธิบายบ้าง ได้มองภรรยากันตรวีใกล้ๆ ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันเธอยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูบอบบางน่าทะนุถนอม “พร้อม”
“คะ?”
“เรื่องนั้นพี่เสียใจด้วยนะ” เธอส่งกำลังใจผ่านยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย
พัทธนันท์ยิ้มจางๆ กระชับมือที่อีกฝ่ายยื่นจับ “ขอบคุณนะคะ”
ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วสำหรับความเจ็บปวดครั้งนั้น วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่มันจะช่วยเยียวยาทุกอย่างเสมอ
2 เดือนต่อมา
ทริปเที่ยวทะเลเยียวยาจิตใจนัดเดือนแปดแต่ได้มาเดือนสิบ กว่ากันตรวีจะทิ้งงานที่เป็นดั่งทั้งชีวิตมาได้เล่นเอาพัทธนันท์เกือบถอดใจไม่อยากมาด้วย แต่มี
ครอบครัวของกันตรวีมาด้วย เพราะฉะนั้นทริปนี้ถึงกลายเป็นทริปครอบครัวทริปใหญ่
“อาพร้อมขา ไปเล่นน้ำทะเลกันค่ะ” หนูน้อยเดินแกะแข้งเกาะขาอาสาวคนโปรดไม่ห่าง
“แดดแรงมากค่ะโมบาย” พัทธนันท์ย่อตัวเจรจากับหนูน้อยทำปากจู๋ที่โดนขัดใจ “เดี๋ยวผิวสวยๆ ของโมบายจะเสียนะ เอาไว้ให้เย็นกว่านี้เราค่อยลงมากันไหมคะ”
ทว่าหนูน้อยยังส่ายหัว มองทะเลที่แดดเปรี้ยงตาละห้อย
“งั้นไปเล่นสระน้ำกันก่อน ดีไหม”
คราวนี้หนูน้อยตาเป็นประกายตื่นเต้น “ดีค่า”
พัทธนันท์ลุกขึ้นมองหลานสาวที่วิ่งไปบอกคนเป็นพ่อแม่ แล้วช่วยกันขนของเข้าโรงแรม เธอจัดแจงเอาเสื้อผ้าแขวนใส่ตู้เรียบร้อยก็เดินมาบอกคนที่นอนอยู่บนเตียง
“เค้าไปหาหลานนะ”
“หลานน่าจะหลับ”
“เค้าทักถามพี่เมย์แล้ว มาตินยังไม่หลับ” มาตินหลานชายคนล่าสุดของบ้าน “พี่นอนพักไปนะ เค้าจะไปหาหลาน”
พัทธนันท์หอมแก้มสากแล้วรีบผละออกจากห้องไป มือเคาะประตูขออนุญาตก่อนจะถูกเปิดด้วยฝีมือของหลานสาวคนสวย
“อามาหาน้องค่ะ”
เสียงเด็กหัวเราะดังมาถึงคนที่อยู่หน้าประตู พัทธนันทรีบก้าวตามหลังหนูน้อยโมบายเข้าไป ริมฝีปากฉีกยิ้มหวานเมื่อเห็นทารกเพศชายคนเล่นอยู่บนเตียง โดยมีมนสิชาคนเป็นแม่นั่งอยู่ไม่ห่าง
“อาพร้อมมาแล้วค่ะมาติน” พัทธนันท์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เตียงยื่นมือไปจับมือจิ๋วของหลานชาย
“หลับมาตลอดทาง มาถึงนี่ก็เลยตาสว่าง” มนสิชาลุกขึ้นยืน “พี่ไปจัดเสื้อผ้าก่อน ฝากดูด้วยนะพร้อม”
พัทธนันท์รับปาก ห้องคนมีลูกนี่ต่างจากห้องเธอไปโดยสิ้นเชิง เตียงใหญ่สองเตียงถูกดันมาติดกัน กวีที่เหนื่อยจากการขับรถระยะไกลนอนหลับอยู่อีกเตียง
“น้องชอบยิ้มค่ะอาพร้อม” หนูน้อยโมบายอยากมีส่วนร่วมก่อนจะถูกอาถึงไปนั่งตัก
“น้องมาตินหน้าเหมือนโมบายเลย”
“จริงเหรอคะ”
“จริงค่ะ ไหนหันกันมายิ้มให้อาพร้อมดูหน่อย”
หลานสาวหันกลับมาพร้อมส่งยิ้มยิงฟันให้อาสาว พัทธนันท์อดใจไม่ได้หอมแก้มแดงมอมชมพูไปฟอดใหญ่
สองสาวต่างวัยให้ความสนใจกับทารกมาตินที่ฉีกยิ้ม ยื่นนิ้วไปเขี่ยแก้มใสก็โดนมือเล็กๆ คว้าหมับเข้าให้ ทว่าไม่กี่นาทีต่อมาทารกที่อารมณ์ดีก็ส่งเสียงร้องจ้า มนสิชารีบเดินกลับเข้ามาพร้อมขวดนมทันที
“แม่ขา น้องร้อง”
“น้องหิวนมค่ะ” มนสิชาอุ้มลูกชายไว้แนบอกขย่มเบาๆ กล่อมจนหยุดร้องไห้ “หม่ำๆ นมกันนะครับ”
พัทธนันท์มองภาพคู่สะใภ้แล้วยิ้มปลาบปลื้ม ถ้าลูกของเธอยังอยู่ในท้องตอนนี้คงประมาณห้าเดือนแล้ว
“พร้อมอยากลองอุ้มไหม”
“อยากลองค่ะ”
พัทธนันท์ค่อยๆ รับหลานชายเอามาในอ้อมแขนอย่างตื่นเต้น โดยมีหนูน้อยโมบายคนให้กำลังใจ
“อาพร้อมอุ้มน้องแล้ว” โมบายปรบมือให้อาสาว
พัทธนันท์ก้มมองทารกเพศชายที่อยู่มีอ้อมแขนแล้วฉีกยิ้ม ราวกับเรื่องมหัศจรรย์ที่มนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ มือเท้าเล็กๆ เห็นแล้วมันน่ารักดั่งตุ๊กตามีชีวิต
“แข็งแรงๆ นะครับหลานอา” เธอเขย่าเบาๆ กล่อมหลาน มนสิชายิ้มกับภาพตรงหน้า พัทธนันท์เป็นคนอ่อนโยนเธอเชื่อว่าอนาคตน้องจะเป็นแม่ที่ดีแน่นอน
“รีบมีนะพร้อม” มนสิชาลูบแขนน้อง คนเราต้องปล่อยวางจากอดีต “พี่หายเหนื่อยทุกครั้งเวลาเห็นหน้าลูก ชีวิตมันมีความหมายอย่างน้อยเราก็รู้ว่าทำทุกวันนี้เพื่อใคร”
กันตรวีตื่นเพราะรู้สึกถึงแรงขย่มบนเตียง ครั้นลืมตาขึ้นมาก็เห็นหลานสาวกำลังกระโดดบนเตียงที่เขานอนอยู่
“อยากไปเล่นน้ำแล้ว”
“ถ้าอยากไปก็หยุดกระโดดก่อน”
โมบายในชุดว่ายน้ำสีฟ้าสดใสหยุดกระโดดฉับพลันเมื่อได้ยินเสียงอากันต์ ก่อนจะรีบเข้ามากอดอา
“อยากไปเล่นน้ำค่ะอากันต์”
“แล้วอาพร้อมไปไหน”
“อาพร้อมเปลี่ยนชุดอยู่ค่ะ” โมบายยืนขึ้นหมุนชุดว่ายน้ำที่มีชายกระโปรงบานโชว์ “อาพร้อมซื้อให้ค่ะ สวยไหมคะ”
“สวยค่ะ”
หนูน้อยยิ้มสดใสเมื่อได้ยินคำชมจากอา จนพัทธนันท์เดินออกมาในชุดว่ายน้ำลวดลายเดียวกันแต่คนละดีไซน์
“พี่ตื่นพอดี ไปเล่นน้ำด้วยกันไหมคะ” เธอถามเสียงหวาน ส่วนกันตรวีก็มองภรรยาไม่วางตา พัทธนันท์ในชุดว่ายน้ำวันพีชแต่ใส่กางเกงยีนส์ทับกับทรงผมเปียสองข้างยิ่งทำให้เธอน่ารัก
“อาพร้อมผมเปียเหมือนโมบายเลย”
“ไปไหมคะพี่ เล่นแค่ที่สระก่อน”
“ไป” ใครจะยอมให้เมียตัวเองแต่งตัวแบบนั้นไปคนเดียว “ขอล้างหน้ากับเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
พัทธนันท์พยักหน้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเล่นกับหลานสาว ชุดเหมือนกันราวกับคู่แม่ลูก แต่เหมือนจะขาดเครื่องประดับไปอีกหนึ่งอย่าง เธอลุกขึ้นมาหาในกระเป๋า
“พี่กันต์เห็นแว่นตาเค้าไหม” พัทธนันท์ตะโกนถามคนที่คิดว่าอยู่ในห้องน้ำ
“ไม่เห็น” กันตรวีเดินออกมาในเสื้อตัวใหม่ “ลืมอีกแล้ว”
พัทธนันท์พยักหน้าว่าอย่างเสียดาย
“ลืมตลอดแหละ” กันตรวีส่ายหัวช่วงนี้เธอลืมของบ่อยเป็นว่าเล่น “เตรียมของตั้งสองวัน ไม่รู้ใจลอยไปถึงไหน ”
พัทธนันท์ไม่อยากใส่ใจกับคำตำหนิของเขา ลุกขึ้นยืนยื่นมือไปหาหลานสาว “ไปค่ะโมบาย เราไปเล่นน้ำกันดีกว่า”
ชายหนุ่มสองพี่น้องนั่งเฝ้าอาหลานเล่นน้ำกันกันอย่างสนุกสนานในสระน้ำของโรงแรม ทั้งคู่มีความสุขมากจนลืมคนนั่งเฝ้าไปแล้ว
“เห็นพ่อบอกว่าจะขยายร้าน” กวีละสายตาจากลูกสาวมามองน้องชาย
“ใช่ ข้างๆ เขาขายที่พอดี” กันตรวีหันมาขอความเห็นจากพี่ “พี่กายว่าดีหรือเปล่าที่กันต์จะขยายร้าน”
“ไม่รู้แกสิ ตอนนี้ไม่พอกินไม่พอใช้เหรอ” เขาถามตามที่คิดเพราะตอนนี้เขามองดูมันก็โอเคแล้ว “มันไม่ใช่ขยายแค่ร้าน แต่การรับผิดชอบดูแลมันก็ขยายขึ้นตาม”
คนที่ดูแลพนักงานนับร้อยพูดให้คิด
“ก็จะมีลูก อยากสร้างอะไรให้พร้อมทุกอย่าง” เขาอยากสร้างพื้นฐานครอบครัวให้มั่นคงสำหรับอนาคต
“คิดแบบนั้นมันก็ดี แต่สร้างตามกำลังที่เราไหว อะไรที่คนอื่นทำแทนเราได้ก็ให้เขาทำไป ลูกน้องดีๆ ไว้ใจได้ไม่ใช่ว่าไม่มีซะหน่อย”
“จ้างพนักงานมาช่วยทำบัญชีแล้ว” เขารู้ว่าพี่ชายหมายถึงอะไร
“แต่ก็ยังทำงานดึกดื่นทุกวัน” กวีรู้นิสัยของน้องชายดี “อย่าทุ่มกับมันมากจนลืมคนข้างๆ เวลาเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้ พี่รู้นะว่าแกไม่ค่อยมีเวลาให้พร้อม”
“ก็ให้ไปทำงานด้วยกันแล้ว”
“แล้วรู้หรือเปล่าทำไมพร้อมถึงอยากทำงาน” กวีมองกันตรวีที่ขมวดคิ้วขบคิดสุดท้ายก็ส่ายหน้าเพราะคิดไม่ออก “สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวัน แต่แกทำงานเต็มที่ไปแล้วหกวันกลับเข้าบ้านก็ค่ำมืด เหลือแค่วันเดียวให้เมียแก”
กันตรวีนั่งนิ่งติดตามที่พี่ชายพูด
“วันเดียวที่ว่าคือวันที่แกอยากพักผ่อนไม่ออกไปไหน พร้อมที่ตั้งตารออยากไปไหนกับแกก็ไม่ได้ไป เขาถึงอยากทำงานที่ไม่หมายถึงทำงานจริงๆ แต่อยากมีเวลาที่ได้อยู่กับแกมากกว่า” เขาเห็นน้องชายนั่งนิ่งก็ถามย้ำ
“จริงไหมกันต์”
กันตรวีพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ จากอู่ที่สภาพดูไม่ได้จนพ่อจะขายเทให้คนอื่น เขาทุ่มเทกับมันมาหลายปีจนมีทุกวันนี้
“พ่อแม่เขาก็เห็นกันทั้งนั้น แต่เขาเหนื่อยที่จะพูดเพราะเขารู้นิสัยแกไง” น้ำเสียงของกวีแฝงไปด้วยความตำหนิ “ไม่เชื่อใคร ไม่ฟังใคร เอาแต่ตัวเอง”
“ส่วนเรื่องที่อยากขยายอู่ก็ไม่มีใครห้ามหรอก ที่บ้านสนับสนุนทุกคน มีปัญหาอะไรก็บอกได้ตลอด จะเรื่องเงินหรือเรื่องอะไร” กวีตบบ่าน้องชายหนักๆ สองสามที
“แต่สิ่งสำคัญที่สมดุลชีวิต อย่าทุ่มเทกับมันจนมากเกินไปจนลืมคนข้างหลัง พี่เตือนเพราะรัก เป็นห่วง ก็ขอให้ช่วยฟังด้วย”
“อย่าทำเป็นคนน้ำเต็มแก้วที่ใครพูดเตือนอะไรไม่ได้ เพราะคนแบบนั้นจะไม่เหลือใคร”
กวีในฐานะพี่ชายที่รู้จักนิสัยน้องชายตัวเองอย่างดี อยากพูดเตือนสติกันตรวีเพียงเท่านั้น