บทที่ 5 ใจสลาย [1/2]
บทที่ 5
ใจสลาย
กันตรวีไม่ได้กลับเข้าไปนอนในห้องเดียวกับภรรยาหลังจากที่พลพลกลับไปเพราะไม่อยากกวนคนที่หลับไปแล้ว ชายหนุ่มตื่นสายกว่าทุกวันเดินออกจากห้อง ปกติเวลานี้จะต้องได้กลิ่นอาหารฝีมือพัทธนันท์ลอยคลุ้งทั้งบ้านแต่เช้านี้แปลก กันตรวีเดินเข้าไปห้องนอนใหญ่ เห็นพัทธนันท์นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้านวม
“พร้อม” คนเป็นสามีฉงน ถ้าเขาต้องไปทำงานปกติหญิงสาวต้องตื่นมาทำอาหารทุกเช้า ร่างสูงย่อตัวนั่งข้างเตียงเขย่าแขนเรียกอย่างอ่อนโยน “ตื่นได้แล้ว”
คนบนเตียงเริ่มรู้สึกตัวเปิดเปลือกตามองคนตรงหน้า กันตรวีเห็นดวงตาสวยที่บวมช้ำแล้วนึกสงสาร
“เค้าปวดท้อง”
“ปวดท้องมากไหม” เสียงแหบพร่าที่เปร่งออกมายิ่งทำกันตรวีเป็นห่วง พัทธนันท์เคยเป็นโรคกระเพาะเพราะติดนิสัยไม่ชอบกินข้าว หลังมือหนายกทาบหน้าผากมน “ตัวรุมๆ นะ”
“ปวดบีบๆ ” พัทธนันท์เบ้หน้าจังหวะที่เหมือนภายในบีบตัว
“เดี๋ยวพี่โทรหาพ่อก่อน”
อารมณ์ที่ค้างตั้งแต่เมื่อคืนสลายหมดสิ้นเมื่อเห็นภรรยาป่วย กันตรวีคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นพ่อว่าอยากให้ช่วยมาดูอู่ให้สักหนึ่งวัน แต่ท่านไม่ว่างรวมถึงคนอื่นๆ ในบ้าน สายตาคมคอยมองพัทธนันท์ที่สีหน้าไม่ดีอย่างลำบากใจ วันนี้พัทธนันท์คงต้องอยู่บ้านคนเดียว
สุดท้ายกันตรวีจำเป็นต้องมาที่อู่ โดยจัดเตรียมยูกยาอาหารเตรียมไว้ให้พัทธนันท์เรียบร้อย ก่อนมาก็เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอสดชื่นขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีที่พัทธนันท์ป่วย สาเหตุคงเป็นเพราะว่าเครียดจากเมื่อคืนที่เราทะเลาะกัน นึกถึงสายตาที่บวบช้ำยิ่งสงสาร แต่ทิฐิที่สูงมันยากที่จะพูดคำว่าขอโทษ
พัทธนันท์ยังนอนค้างอยู่บนที่นอน อาการปวดท้องที่เป็นตั้งแต่เมื่อคืนมันทำให้เธอไม่อยากทำอะไรหรือแม้แต่จะกินอะไรก็กินไม่ลง แต่ฝืนท้องที่ร้องประท้วงไม่ไหว ร่างบางค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง มือเรียวคอยกุมท้องอยู่ตลอดยิ่งจังหวะก้าวลงบันไดรู้สึกเหมือนมีอะไรจับบีบอยู่ข้างใน ตักข้าวต้มที่เย็นชืดให้ถ้วยแบ่ง พัทธนันท์หิวแทบจะกินช้างได้ทั้งตัวไม่มีกะจิตกะใจอุ่นให้ร้อน
หลังจากกินข้าวต้มฝีมือสามีหมดไปถึงสองถ้วย เธอทิ้งตัวนอนบนโซฟาเพราะอาการปวดท้องยังไม่ทุเลาเลยก้าวขึ้นบันไดไม่ไหว
ดวงตาสวยเหม่อมองไปข้างหน้า ปกติถ้าเธอป่วยทุกครั้งจะมีกันตรวีอยู่เฝ้าไข้ไม่ห่างแต่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้น แม้จะเข้าใจว่าทุกอย่างมีเหตุผล แต่คนที่ป่วยมันห้ามความรู้สึกน้อยใจไม่ได้ ไหนจะคำพูดที่ได้ยินเมื่อคืน มันย่ำยีหัวใจเธอเหลือเกิน เขาเบื่อเธอ
กันตรวีร้อนใจรีบออกจากอู่แม้งานรถรอซ่อมจะเยอะ เขาโทรหาภรรยาร่วมสิบสายแต่อีกฝ่ายไม่รับตั้งแต่ออกจากบ้าน กลัวว่าจะเป็นลมล้มหมดสติ รถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเบรกดังเอี๊ยดทันทีที่ถึงบ้าน ชายหนุ่มรีบก้าวลงจากรถไม่ลืมหยิบถุงยาที่แวะซื้อก่อนเข้าบ้านติดมือมาด้วย ขายาวที่กำลังก้าวขึ้นบันไดชะงักครั้นหางตาเห็นร่างบางนอนคดคู้อยูบนโซฟา ชายหนุ่มรีบถลาเข้าไปหาทันที
“พร้อม” กันตรวีเขย่าตัวคนที่นอนหลับ ผ้าก็ไม่ได้ห่ม เธอรู้สึกตัวพลิกตัวมาทางเขา “ทำไมมานอนตรงนี้ พี่โทรมาก็ไม่รับ”
พัทธนันท์ซุกหน้าบนหมอนอิง ขยับริมฝีปากตอบสามี “เค้าขึ้นบันไดไม่ไหว”
“โทรศัพท์อยู่ไหน” เขาแยกมาหยิบปรอทวัดอุณหภูมิแล้วสอดเหน็บไว้ใต้แขน มือหนาคอยจับที่ปรกหน้าเขาอยากเห็นใบหน้าเธอชัดๆ
“อยู่บนห้องค่ะ” พัทธนันท์ปรือตามองสามีที่เดินขึ้นไปข้างบน อาการปวดท้องไม่ดีขึ้นเลยสักนิดมีแต่มากขึ้นเรื่อยๆ
กันตรวีหยิบโทรศัพท์หญิงสาวติดมือลงมาแล้วเข้าไปในครัว ถ้วยหนึ่งใบในซิงค์แปลว่าเธอกินข้าวแล้วครั้นเปิดหม้อดูข้าวต้มพร่องหม้อลงไปเยอะ เขากลับมาหาคนป่วยหยิบปรอทวัดไข้ขึ้นมาดู โชคดีที่พัทธนันท์มีไข้แค่ต่ำๆ
“กินยาก่อน” กันตรวีหยิบยาแก้โรคกระเพาะที่ซื้อติดมาป้อน รอจนเธอกินเสร็จเรียบร้อยก็ประคองเธอลงนอน “เดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้น วันนี้นอนตรงนี้นะทำอะไรจะได้สะดวก พี่ขึ้นไปเอาผ้านวมมาให้ก่อน”
เขากลับขึ้นไปข้างบนอีกครั้งก่อนจะกลับมาพร้อมผ้านวมในมือ จัดแจงห่มคลุมให้พัทธนันท์เรียบร้อย แล้วผละเข้าไปในครัวตั้งแต่เช้าเขายังไม่ได้กินอะไรเนื่องจากอู่วุ่นวายมาก จัดการตักข้าวต้มที่เขาทำไว้มากินอย่างรวดเร็วแล้วตั้งหม้อใหม่ให้เธอ
กันตรวีกลับมาทำงานหลังจากดูแลภรรยาเรียบร้อย พัทธนันท์เป็นโรคกระเพาะตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยเพราะเรียนหนักกินข้าวไม่เป็นเวลา ตอนนั้นเขายังเคยส่งข้าวส่งน้ำให้เธอกินอยู่บ่อยๆ หรือถ้ามีโอกาสก็จะชวนเธอออกไปกินข้าวด้วยกัน แต่นึกถึงใบหน้าภรรยาที่นอนซมอยู่ในบ้านเพียงลำพังแล้วเป็นห่วงจับใจ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นคงต้องพาไปโรงพยาบาล
วันนี้ลูกค้าที่รถมีปัญหาเข้ามาไม่ขาดสายตั้งแต่เช้า ไหนจะรถที่อยู่ในคิวซ่อมอีก ไม่แน่คืนนี้คงต้องให้ลูกน้องทำโอทีส่วนเขาคงต้องลงมือช่วยอีกแรง
“เฮียครับ บิลลูกค้าเปลี่ยนหัวเทียนครับ”
ร่างสูงที่นอนซ่อมช่วงล่างใต้รถยนต์ที่ยกสูง สไลด์ตัวออกมาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มสูงก้าวเข้าไปถอนเงินให้ลูกค้า เรื่องเงินเขาไม่เคยให้ลูกน้องที่เป็นช่างยุ่ง ไม่ใช่ไม่ไว้ใจแต่เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใคร แต่เห็นแบบนี้คงต้องกลับมาจ้างพนักงานบัญชีเสียแล้ว
รถยนต์คันหรูวิ่งเข้ามาจอดบริหารลานด้านหน้า ตั้มที่เห็นก็รีบเดินเข้าไปพูดคุย
“ไม่มีอะไร ขอตัวก่อน”
ดลภาเห็นหลังไวๆ ของเจ้าของอู่เดินเข้าออฟฟิศก็รีบตามไป ทิ้งให้ตั้มมองตามอย่างสงสัย
กันตรวีหันหลังกลับมองประตูเมื่อได้ยินเสียงเปิดทั้งๆ ที่ตัวเองเดินเข้ามาแล้ว สายตาคมมองคนที่รุกร้ำเข้ามาอย่างไม่พอใจ
“เข้ามาได้ไงเดียร์” เขาถามเสียงเรียบ
“เปิดประตูเข้ามาไง” ดลภาตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเหมือนเมื่อวานอย่างถือวิสาสะ “กันต์กินข้าวยัง ไปกินข้าวกันมั้ย”
“ไม่” คิ้วหนาขมวดเป็นปม มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ “เดียร์ไม่ควรมาอยู่ในห้องนี้ วันนี้พร้อมไม่อยู่”
“เกี่ยวอะไรกับแฟนกันต์” เธอตอบหน้าตาย “เราเอารถมาซ่อม มาในฐานะลูกค้า ขอนั่งรอในนี้ไม่ได้เหรอ”
กันตรวีถอนหายใจอย่างเอือมระอา มองหน้าอดีตคนรักที่กำลังส่งยิ้มมาให้ วันนี้งานเยอะเขาไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับเธอ “จะให้ซ่อมอะไร”
อีกฝ่ายยิ้มหวานก้มหยิบใบรายงานเช็กสภาพที่ได้เมื่อวานส่งให้เขา “ตามนี้เลยค่ะ”
มือหนาคว้ามาอ่านไล่ดูก่อนจะก้าวออกจากห้องทิ้งเธอไว้ในห้องเพียงลำพัง ดลภายยิ้มพอใจพลางส่องสายตาสอดส่องสำรวจภายในห้องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร นอกจากกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์
เธอลุกขึ้นไปหยิบขึ้นมาดูโดยไม่ได้รับอนุญาต ภาพคู่รักที่ยืนเคียงคู่กัน ณ ที่ไหนสักแห่ง หญิงสาวในรูปยืนส่งยิ้มหวานให้กล้องในขณะที่ชายหนุ่มที่ยืนจ้องมองคนข้างๆ ไม่ละสายตา ดลภาเม้มปากแน่นความริษยาเสียดแทงหัวใจอย่างรุนแรงจัดการคว่ำหน้ารูปนั้นเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ
เวลาห้าโมงเย็นกันตรวีต่อสายโทรถามไถ่ภรรยาสาว รอสายนานกว่าอีกฝ่ายจะรับ
“เป็นไงบ้างพร้อม ดีขึ้นไหม” เขายกไหล่หนีบโทรศัพท์แนบหูพลางล้างมือจากคราบน้ำมันเครื่อง
“เค้ายังปวดหน่วงๆ อยู่ตลอดเลย” พัทธนันท์ขยับตัวขึ้นนั่ง แล้วถามกลับอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วงเช่นกัน มันเป็นความเคยชินที่เธอทำกับข้าวแทบจะทุกมื้อให้เขากินไปแล้ว
“แล้วพี่กินข้าวยังคะ วันนี้เค้าไม่ได้ทำอะไรให้พี่กินเลย”
“กินตอนกลับไปหาพร้อมครั้งเดียว” เมื่อเห็นว่ามันล้างออกได้แค่นี้เขาก็พอ มือที่ยังไม่สะอาดใช้กางเกงเป็นที่ซับน้ำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาแนบหูดีๆ “วันนี้ลูกค้าเยอะมากพร้อม พี่น่าจะต้องกลับดึกนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่อย่าลืมหาอะไรกินนะ” เขารู้สึกดีที่ภรรยาเป็นห่วง ถึงตัวเขาเองจะไม่มีเวลาแม้แต่จะโทรไปสั่งข้าว
“พร้อมกินข้าวกินยาด้วย”
ดลภาเงยหน้ามองคนที่เปิดประตูเข้ามา รายนั้นมัวแต่คุยโทรศัพท์ไม่ชายตามองมาที่เธอด้วยซ้ำ
“เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้เป็นเพื่อน แล้วเดี๋ยวพี่จะโทรหาเรื่อยๆ” เขานั่งลงบนเก้าอี้ประจำตัว
“ค่ะ พี่โทรสั่งข้าวด้วยนะเค้าเป็นห่วง”
“อื้อ เดี๋ยวโทรสั่งข้าวเลย พี่จะรีบกลับนะ”
อีกคนที่นั่งอยู่ในห้องเบะปากคราวได้ยินเสียงสนทนา แต่ต้องรีบปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อชายหนุ่มหมุนตัวหันมามอง
“รถเดียร์เราทำให้ไม่ทันนะ” รถที่ค้างไว้ตั้งแต่เช้าบางคันยังไม่ทำเสร็จเลยด้วยซ้ำ ถึงดลภาจะเป็นเพื่อนแต่ทุกอย่างมันต้องตามคิวตามระบบที่วางไว้ “ค่อยเอามาวันอื่นนะ ตอนนี้มันก็ปกติยังขับได้อยู่”
“แล้วจะให้เอามาวันไหน” ดลภาตามอย่างชั้นเชิง
“พรุ่งนี้ก็ไม่น่าทัน เอาไว้เดี๋ยวเราบอกอีกที”
“งั้นขอเบอร์หน่อยได้ไหม เผื่อเราว่างวันไหนจะได้โทรมานัด”
“ได้” มือหนาเปิดลิ้นชักหยิบนามบัตรของอู่ส่งให้หญิงสาว “โทรมาเบอร์นี้”
ดลภาข่มความไม่พอใจไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า “ขอเบอร์กันต์ได้ไหม เราอยากคุยกับกันต์โดยตรง”
“โทรเบอร์นี้เราก็รับคนเดียว โทรมาเบอร์นี้แหละ”
มือเรียวคว้ารับไว้อย่างเสียไม่ได้ กะอีแค่เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวก็ให้ไม่ได้จะหวงอะไรนักหนา ดลภาเบ้หน้ามันไส้ก้มมองนามบัตรในมือก่อนจะกำมันแน่น ทั้งรูปถ่ายที่วางเด่นหราบนโต๊ะและคำพูดคำจาที่เธอได้ยิน ดูท่าแล้วกันตรวีจะหลงเมียตัวเองหนักมาก