บทที่ 4 ดลภา [2/2]
พัทธนันท์แปลกใจกับท่าทีของสามีในวันนี้ เขาบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรู้จัก แต่ไม่เห็นว่าจะพูดคุยอะไรกันเลย สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายลอบมองกันตรวีอยู่บ่อยครั้งแต่เขาเมินเฉย ไม่รู้ว่าแกล้งไม่เห็นหรือไม่เห็นจริงๆ กันแน่
“คนรู้จักพี่กันต์คนนั้น เขาชื่ออะไรเหรอคะ” พัทธนันท์เปิดประโยคถาม ช้อนตามองสามีที่นั่งพิงพนักโซฟาอยู่
“ชื่อเดียร์” อีกฝ่ายตอบหน้านิ่งราวกับไม่สนใจ
“แล้วรู้จักมานานหรือยัง” เห็นเขาเงียบ เธอยิงคำถามต่อ “พี่บอกเป็นคนรู้จักแต่เค้าไม่เห็นคุยด้วยกันเลย”
“อยากรู้ไปทำไม” น้ำเสียงติดรำคาญกับสายตาที่ตวัดลงมามอง
พัทธนันท์ใจเสียทุกครั้งที่โดนมองด้วยสายตาแบบนั้น ร่างบางขยับตัวลุกขึ้นนั่งตรงไม่ละสายตาจากกัน
“ทำไมจะอยากรู้ไม่ได้” น้ำเสียงไม่หวานเหมือนที่เคยพูดกัน “เค้าไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องเกี่ยวกับพี่เลยใช่ไหม”
กันตรวีกระแทกลมหายใจ ยืดตัวนั่งหลังตรง “อีกแล้ว”
“อีกแล้ว?” เธอย้อนคำพูดเขา “อีกแล้วอะไรคะ คำนี้เค้าน่าจะเป็นคนพูดมากกว่า”
ฝ่ายชายหนุ่มเห็นน้ำใสๆ คลอที่ดวงตากลมแล้วเหนื่อยใจ พัทธนันท์เจ้าน้ำตานิดหน่อยก็น้ำตาคลออีกสักพักคงร้องไห้
“ไม่เห็นว่ามีอะไรที่เค้าควรรู้สักอย่าง ถ้าไม่ถามมีสักเรื่องไหมที่พี่จะพูดกับพร้อมเองบ้าง”
กระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที คนเป็นเมียอย่างเธอไม่มีสิทธ์ที่จะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของสามีบ้างเลยหรือไง ถ้าไม่ถามก็ไม่มีวันรู้ แต่ครั้นถามก็โดนสวนกลับมาแบบนี้ทุกครั้ง
“ก่อนแต่งพี่ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย”
“ก่อนแต่งพร้อมก็ไม่เคยจะถามอะไรแบบนี้เหมือนกัน”
พัทธนันท์น้ำตาไหลกับคำพูดไม่คิดของเขา ร่างบางก้มหน้าสะอื้น ผมยาวพลิ้วไสวปกปิดใบหน้า เสียงร้องไห้สะท้อนเข้าโสตประสาทคนตรงหน้า กันตรวีเหนื่อยใจแต่น้ำตาของพัทธนันท์มีผลต่อความรู้สึกเขามากโข
“พี่ปากไม่ดีเอง” ขยับเข้าใกล้คนนั่งก้มหน้าร้องไห้ ยื่นมือจับไหล่มนดึงเข้ามากอด แต่พัทธนันท์ไม่ยอมเธอสะบัดออก
“ทำไมพี่ชอบพูดเหมือนเค้าไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวพี่เลย” หญิงสาวถามทั้งที่ยังก้มหน้า บังคับให้เสียงปกติแต่ไม่เป็นผล ยิ่งกลั้นเสียงกลับยิ่งสั่น
“มีสิทธิ์ทุกอย่าง” แม้ในใจจะรู้สึกร้อน แต่พยายามหักห้ามให้ใจเย็น
“เดียร์เป็นคนรู้จักห่างๆ ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
“ต้องรอให้เค้าเสียใจร้องไห้ทุกครั้งเลยหรือไง ถึงอยากจะพูด”
พัทธนันท์ตัดพ้อเงยหน้ามองสามี น้อยใจกับคำพูดที่ดูไม่แคร์ไม่สนใจความรู้สึกคนฟังที่เป็นเมียเขาเลย
กันตรวีถอนหายใจ สาตาคมจดจ้องภรรยา “พี่ก็บอกพร้อมแล้วไง”
“ก็คือต้องรอให้เค้าเสียก่อนทุกครั้ง”
อีกฝ่ายเผลอกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยใจ มือหนายกเท้าสะเอว “พร้อมร้องไห้บ่อยเกินไปไหม”
คนฟังยิ่งรู้สึกแย่ พัทธนันท์ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาลวกๆ ขยับกายถอยห่างคนเป็นสามี
“เค้ามันเจ้าน้ำตาใช่ไหม” คราวนี้กันตรวีกระแทกลมหายใจกับวาจาประชดประชัน “แต่รู้บ้างรึเปล่าว่าตัวเองนั่นแหละเป็นสาเหตุ”
“พร้อมโทษพี่?”
คนมองไม่เห็นความผิดตัวเองย้อนอย่างไม่สำนึก มองคนที่กำลังลุกขึ้นยืนไม่สายตา
“ไม่โทษหรอกค่ะ” พัทธนันท์มองอีกฝ่ายที่หน้าตายุ่งเหยิงคิ้วหนาขมวดแทบจะชิดติดกัน “พี่ไม่เคยผิดอะไรอยู่แล้ว”
“พร้อม!” กันตรวีเผลอเสียงดังส่งผลให้หญิงสาวสะดุ้งตัวโหยง “จะประชดประชันไปถึงไหน”
ร่างบางเหนื่อยทุกครั้งเวลาที่ต้องคุยกันตอนมีปัญหา เราทั้งคู่ต่างไม่ยอมกันเลยสักครั้ง เท้าเรียวตัดสินใจก้าวหันหลังเตรียมขึ้นบันได
“ถ้าพร้อมขึ้นข้างบนงั้นเราไม่ต้องคุยกัน” ชายหนุ่มจ้องมองหลังภรรยาที่เตรียมขึ้นบันได พัทธนันท์เป็นเช่นนี้ทุกครั้งหนีปัญหาไม่เคยจะคุยให้มันจบไปสักครั้ง
“ไม่ต้องคุยกันน่ะดีแล้ว” พัทธนันท์ว่าทั้งที่ยังหันหลังให้ “พี่ไม่เคยอยากบอกอะไรเค้าอยู่แล้วนี่”
ครั้นกันตรวีกำลังอ้าปากสาดคำพูดใส่คนที่วิ่งขึ้นไปข้างบน เสียงโทรศัพท์ที่ว่างอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แม้จะหงุดหงิดแต่มือหนาคว้าขึ้นมารับอย่างเสียไม่ได้
ในขณะคนที่วิ่งขึ้นข้างบนทรุดลงทันทีที่ปิดประตู เผลอนิ่วหน้าเมื่อเจ็บแปล๊บ
ที่หน้าอกข้างซ้าย ทั้งความโกรธ น้อยใจ เสียใจ กำลังเล่นงานเธออยู่ กันตรวีไม่ให้เธอเข้าไปอยู่ในโลกเขาได้เลย ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้ ไม่ใช่เรื่องของพร้อม พี่ไม่คิดว่ามันสำคัญ อยากรู้ไปทำไม คำพูดเหล่านี้ล้วนวนเวียนอยู่ในความคิด ที่คนพูดไม่เคยจะคิดถึงคนฟังเลยสักครั้ง
กันตรวีหลังจากที่รับสายโทรศัพท์ก็ไม่ได้ตามขึ้นไปหาภรรยาสาว เขาทิ้งกายลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยใจ ไม่รู้ต้องจัดการกับปัญหาคู่ชีวิตอย่างไรดี เราสองมีปากเสียงกันบ่อยแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องดี แต่เขาก็พยายามปรับ พยายามใจเย็นลงแต่หลายครั้งก็ทนความงี่เง่าของภรรยาไม่ได้ ไม่รู้ทำไมปัญหาหลายอย่างถึงมีขึ้นหลังแต่งงาน
ไหนจะการปรากฏตัวของดลภาวันนี้ที่เหนือความคาดหมาย ห้าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายเลยสักนิด เธอหายไปเหมือนคนที่ไม่เคยอยู่บนโลกใบนี้
เสียงออดหน้าบ้านเรียกสติกันตรวี ร่างสูงลุกขึ้นไปเปิดประตูรอคนที่นัดหมาย
พลพลมาถึงเกือบห้าทุ่มมือหอบหิ้วอาหารที่เป็นของกินเล่นรสจัดที่เหมาะกินกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเต็มมือ เดินเข้าบ้านที่เพื่อนเปิดประตูรอไว้แล้ว
“ไอ้กันต์มาช่วยกูถือเลย!” เพื่อนตัวดียืนรอประตูอยู่แล้ว สีหน้ามันยุ่งเยิงจะเหลือเกิน
“มึงจะแหกปากเพื่อ”
พลพลเดินเข้าไปในบ้านกวาดตามองรอบๆ มองหาเมียเพื่อนเป็นอันดับแรก “เมียมึงหลับแล้วเหรอ”
กันตรวีหยิบขวดเครื่องดื่มที่ต้องแช่ใส่ตู้เย็นพลางตอบเพื่อน “ขึ้นไปข้างบนแล้ว”
อีกฝ่ายพยักหน้าไม่ถามต่อเพราะตนเองก็มาดึกมากแล้ว สองเพื่อนซี้ช่วยกันจัดแจงอาหารใส่จาน
“ไหนว่ามีเรื่องจะคุย” กันตรวีเหลือบมองคนนั่งตรงข้าม เมื่อตอนโทรมามันบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วย
พลพลมองซ้ายมองขวาอย่างคนพิรุธก่อนจะหันมาสบตาเพื่อนจริงจัง “เปล่า กูไม่มีอะไร”
“อะไรของมึง” คนฟังขมวดคิ้วท่าทางกับคำพูดมันดูสวนทางจนชวนน่าสงสัย
“แต่ดูมึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ” เห็นหน้าตาบึ้งตึงของเจ้าของบ้านตั้งแต่ก้าวเข้ามาแล้วไม่กล้าพูดเรื่องที่พกติดมา กลัวจะไปสะกิดต่อมพาลโมโหหนักกว่าเดิม “มีปัญหากับน้องพร้อมเหรอ”
เท้าเรียวหยุดนิ่งค้างอยู่บันไดขั้นสุดท้าย เมื่อได้ยินว่าบทสนทนากำลังกล่าวถึงเธอ เธอจำเสียงเพื่อนสนิทสามีได้ ร่างบางย่อตัวนั่งลงบันไดช้าๆ อยากรู้เรื่องที่เขาจะพูด
กันตรวีพยักหน้ามีใครให้ระบายก็คงดี อีกอย่างพลพลเป็นเพื่อนสนิทที่รับรู้เรื่องของตน มันเป็นคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด
“มีอะไรบอกกูได้”
ชายหนุ่มเงยหน้าสบตากับเพื่อน ความหนักใจกระจายเห็นชัดในนัยน์ตาคม “กูกับพร้อมทะเลาะกันบ่อยไม่รู้ทำไมวะ”
คนที่แอบฟังใจหวิว อาการปวดท้องที่ต้องลงมาหายากินหายเป็นปลิดทิ้ง รอลุ้นกับประโยคสนทนา
“ทำไมวะ ทะเลาะกันต้องมีสาเหตุดิ”
“พร้อมงี่เง่า” แค่สามคำทำเอาคนแอบฟังน้ำตาหยด มือเรียวยกมือปิดปากกลั้นสะอื้นไม่อยากให้เขารู้ว่าอยู่ตรงนี้ ต้องการอยู่ฟังต่อแม้ใจจะเจ็บปวด “คิดเล็กคิดน้อยไปเสียทุกเรื่อง หลังๆ มานี่ก็ขี้ประชด”
“…”
“มึงเชื่อปะว่าตอนยังไม่แต่งกูทะเลาะกันนับครั้งได้” สายตาคมมองเหม่อไปข้างหน้า “แต่ตั้งแต่แต่งงานมากูทะเลาะกันเดือนละครั้งเลยมั้ง… บางทีกูก็เบื่อ”
พัทธนันท์ไม่สามารถทนฟังคำพูดลับหลังของสามีได้ รีบลุกก้าวยาวๆ กลับขึ้นไปบนห้องก่อนที่จะกลั้นสะอื้นไม่ไหว และเมื่อทันทีที่เข้ามาอยู่ลำพังในห้องร่างบางปล่อยโฮสะอื้นจนตัวโยน ผิดหวังเป็นความรู้สึกทั้งหมดของตอนนี้ เขาพูดแบบนั้นให้คนอื่นฟังแล้วใครเขาจะคิดว่าเธอเป็นคนอย่างไร ให้เกียรติเธอในฐานะภรรยาบ้างสิ
“แล้วมึงคุยกับน้องบ้างยัง” เห็นสีหน้าเครียดจัดของเพื่อนแล้วนึกเป็นห่วง
“ยัง” เขากระแทกลมหายใจ “คุยแต่ละครั้งไม่ทันจะรู้เรื่อง พร้อมก็หนีขึ้นข้างบนตลอด”
“มึงคุยด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ล่ะ” พลพลรู้จักนิสัยเพื่อนดี “กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหม มึงต้องใจเย็นให้เป็น”
กันตรวีก้มมองของเหลวสีเหลืองอำพันในแก้วแล้วคิดตามเพื่อน ใช่ แต่ละครั้งที่คุยกับภรรยาเราต่างใช้อารมณ์กันทั้งคู่ พูดดีกันได้ไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำไป ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนใจร้อน พัทธนันท์ก็เหมือนกัน ถ้าอยากให้ความสัมพันธ์นี้ยืนยาวต้องหันหน้ามาคุยกันดีๆ
“อือ” ยกแก้วดื่มอึกใหญ่ก่อนสายตาจะมาจดจ้องอีกฝ่ายอีกครั้ง “แล้วสรุปมึงมีเรื่องอะไรจะมาคุยกับกู”
พลพลส่ายหน้าเอือมระอา สรุปเมื่อกี้มันฟังเข้าใจที่พูดไหม เขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านความรักมากมายนักหรอก แต่เอาเถอะอย่างไรก็เรื่องของครอบครัวมัน คนนอกอย่างเขาทำได้แค่เตือนด้วยความหวังดีเท่านั้น
“เดียร์มาหาที่ร้าน”
พลพลเปลี่ยนมาคุยเรื่องที่เขาตั้งใจมาที่นี่ มือหนาที่กำลังหยิบน้ำแข็งชะงักเล็กน้อยก่อนจะหยิบน้ำแข็งใส่แก้ว “มาหากูที่ร้านแล้วเหมือนกัน”
“กูโคตรตกใจ จู่ๆ ก็โผล่ไปที่ร้าน” ปากพูดแต่สายตาพยายามสังเกตท่าทีของเพื่อนตรงหน้าไปด้วย
กันตรวีทำทีว่าไม่สนใจ แต่บังคับใจให้อยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนในอดีตไม่ได้
“เดียร์ก็บอกว่าวันนี้ไปหามึงที่อู่มา” เห็นมันนิ่งแล้วยิ่งอยากรู้ “ไปทำไรวะ”
“เดียร์ไม่ได้บอกมึงแล้วเหรอ” กันตรวีย้อนเพราะคิดว่ายังไงมันก็ต้องถามดลภาอยู่แล้วว่าถามเขาอีกทำไม
“บอกว่าเอาไปรถไปซ่อม”
“แล้วมาถามกูอีกทำไม” กันตรวีจ้องมองหน้าเพื่อนคอยจับพิรุธ “อย่าบอกนะว่ามึงรู้มาก่อนว่าเดียร์จะกลับ”
“บ้าเหรอวะ กูไม่รู้” สีหน้าตื่นตกใจนั้นยังไม่ทำให้เขาเชื่อ “ไอ้เชี้ยกูพูดจริง จู่ๆ ก็ไปหากี่ร้าน กูยังตกใจเลย”
“…”
“กูจะโกหกมึงทำไมวะ กูเพื่อนมึงมากี่ปี” เขาเริ่มเชื่อว่ามันพูดความจริง พลพลเห็นอีกฝ่ายเลิกจ้องมองก็พูดต่อ “เห็นบอกกูว่าพึ่งกลับมาถึงเมื่อวาน แต่ไปหามึงทำไมวะ”
“กูไม่รู้” แม้จะมีเหตุผลที่เดาในใจแต่เขาเรียกที่จะตอบแบบนั้น
“แต่เดี๋ยวนะ” พลพลเหมือนนึกอะไรออก “แปลว่าน้องพร้อมเจอเดียร์แล้วอะดิ”
อีกฝ่ายพยักหน้า
“แล้วมึงแนะนำน้องเขาว่าอะไร”
“คนรู้จัก” แม้ในใจจะรู้สึกรำคาญที่เพื่อนซักถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่เลือกที่จะตอบไปให้จบๆ ไม่งั้นมันก็คอยถามอยู่นั้น
“อ้าวทำไมมึงบอกไปแบบนั้น”
“กูอยากให้พร้อมสบายใจ”
“แล้วทำไมไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกัน อะไรของมึงเนี้ย” พลพลไม่เข้าใจกับการกระทำของเพื่อน “ยังไงอนาคตก็ต้องเจอกันบ่อย เวลารวมกลุ่มเพื่อน”
นั้นสิ พอคิดอีกครั้งทำไมเขาถึงบอกพัทธนันท์ไปแบบนั้น เขาแค่อยากให้เธอสบายใจจริงๆ ใช่ไหม มันไม่ควรมีสาเหตุอื่นสิ
“มึง”เงยหน้าสบตาคนเรียก ที่มันก็มองเขาอยู่ก่อนแล้ว “รู้สึกยังไงตอนเห็นเดียร์วะ”
กันตรวีนิ่งอึ้งตะลึงงันกับคำถามไม่คาดคิด ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไง แต่มันเหนือความคาดหมายที่เจอดลภาในวันนี้
พลพลเห็นความลังเลบนหน้าเพื่อนแล้วตาโต
“ไอ้กันต์!”
“กูไม่รู้สึกอะไร” เขาตอบตัดความรำคาญ
“มึงเงียบแปลว่ามึงคิด แสดงว่ามึงรู้สึก” กันตรวีเกลียดการรู้ทันของมัน แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกพิเศษเหมือนที่เขามีให้พัทธนันท์ มันเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำแต่อธิบายไม่ถูก
“มึงแต่งงานแล้วนะเว่ย กับน้องพร้อมที่มึงรักนักรักหนา”
“ก็กูบอกว่าไม่ได้รู้สึกไงวะ” เขานึกรำคาญ
“ไม่รู้แหละ ถึงมึงจะมีปัญหาอะไรกับเมียมึงตอนนี้ หาทางปรับทางเข้าใจกันซะ” พลพลว่าอย่างเหนื่อยใจ “นึกถึงเมียมึงไว้เยอะๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเชื่อกู…น้องพร้อมเป็นคนที่เสียใจที่สุด”