บทที่ 4 ดลภา [1/2]
บทที่ 4
ดลภา
พัทธนันท์เก็บกล่องใส่อาหารหลังล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วใส่กระเป๋า เหลือบตาสอดส่องคนที่นั่งอยู่ข้างนอกเป็นระยะ สลับกับมองสามีตัวเองที่นั่งกดไอแพด เหตุการณ์ทุกอย่างข้างนอกเมื่อสักครู่นี้อยู่ในสายตาเธอทั้งหมด ยิ่งท่าทีของผู้หญิงคนนั้นทำเธออดสงสัยไม่ได้ว่าเธอคือใคร
“พี่คะ” กันตรวีละสายสายตาจากหน้าจอ จ้องมองหน้าเธอก่อนจะมองตามเธอไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างนอก
“คนรู้จัก” ใบหน้าฉายแววฉงนนั้นเขารู้ได้ทันทีว่าเธอจะถามอะไร พัทธนันท์พยักหน้าแม้ในใจยังมีอยากรู้อยากเห็นมากกว่านี้ หย่อนก้นลงนั่งข้างๆ บนโซฟาตัวยาวเอนซบไหล่อย่างที่ชอบทำ
“พร้อม” รู้ดีว่ากันตรวีเรียกแบบนี้เพราะอะไร เขาไม่ชอบให้มารุ่มร่ามเวลาอยู่ข้างนอก
“เราอยู่ในห้องนี้ส่วนตัวนะ” ดวงตาใสก้มมองจอในมือ เห็นผลการค้นหาของชายหนุ่มแล้วยิ้มจนตาหยี “ลูกยังไม่มาเลย พี่หาชื่อแล้วเหรอ”
“ว่างๆ ก็เลยดูไว้ก่อน” พัทธนันธ์สอดมือกอดแขนใหญ่แน่น ทำไมสามีเธอน่ารักจัง ดูแล้วเขาน่าจะตื่นเต้นกับการมีลูกมากกว่าเธอเสียอีก
“มีชื่อที่ชอบบ้างหรือยังคะ” ชะโงกหน้าดูจอไปกับเขา นิ้วชี้ข้างซ้ายข้างที่ถนัดค่อยๆ สไลด์เลื่อนเป็นจังหวะ
“เพิ่งดูเมื่อกี้นี้เอง” สายตาของเขาคอยไล่ดูชื่อละรายชื่อ เผื่อจะมีสักชื่อที่สะดุดตา
“พี่กันต์” เขายังสนใจกับหน้าจอ สลับกดเปลี่ยนเข้าดูเว็บไซต์อื่น ส่วนเธอสายตาเหลือบไปมองผู้หญิงข้างนอกที่ตอนนี้พยายามใช้มือตัวเองพัดเพื่อหวังให้มันบรรเทาร้อน “ชวนเขามานั่งข้างในไหมคะ”
นิ้วที่เลื่อนหน้าจอชะงัก เหลือบตามองออกไปข้างนอก วันนี้อากาศร้อนกว่าทุกวันขนาดเขาออกไปไม่ถึงสิบนาทีเหงื่อก็ไหลเป็นสายแล้ว ขนาดพัทธนันท์ยังลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศต่ำกว่าทุกวันถึงสององศา
“ที่อู่น่าจะทำห้องรับรองนะคะ เผื่อเวลาลูกค้านั่งรอจะได้ไม่ร้อน” ถึงจะเป็นส่วนน้อยที่ลูกค้าจะมานั่งรอแต่ใช่จะไม่มี เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการทิ้งไว้ให้ซ้อมแล้วค่อยมาเอาทีหลัง “คนรู้จักพี่ไม่ใช่เหรอ ชวนมานั่งข้างในด้วยกันก็ได้นี่คะ วันนี้ร้อนมาก”
เห็นว่าเป็นลูกค้า กันตรวีจึงพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ในใจไม่อยากให้ใครเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว เมื่อเขาอนุญาตร่างบางลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปหาหญิงสาว
ดลภาที่รู้สึกว่ามีคนกำลังเดินมาหา ในใจมโนว่าเป็นกันตรวี ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสีแดงยกยิ้มแต่เมื่อสบตากับคนที่เดินมา รอยยิ้มนั้นก็หายไปฉับพลัน และแน่นอนมันอยู่สายตาพัทธนันท์
“สวัสดีค่ะ” ดลภาสบตากับคนที่ส่งยิ้มให้ ยิ้มที่ปากแต่ส่งถึงดวงตา เห็นแค่พริบตาก็เดาได้ทันทีว่าอายุน้อยกว่าเธอ “อากาศร้อนมากเลย เข้าไปนั่งรอข้างในไหมคะ”
“ค่ะ” ขาเรียวยาวฉบับคนสูงร้อยเจ็ดสิบสี่เซนติเมตรก้าวตามหลัง พลันสายตาปะทะกับแหวนนิ้วนางข้างซ้ายจังหวะที่เธอเอื้อมเปิดประตู ความเจ็บจู่โจมเข้า
มาในใจอีกหน
“นั่งตรงนี้นะคะ เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้ดื่มค่ะ” ดลภาหย่อนก้นนั่งตรงที่หญิงสาวชี้ ก่อนที่เธอจะเดินออกไปข้างนอกอีกครั้ง เป็นจังหวะที่ดีที่เธอจะหาโอกาสชวนคุยกับเขา คนที่นั่งกดไอแพดราวกับเธอไม่มีตัวตน แต่…
“มาทำไม” เสียงห้วนกระด้างแถมยังตึงจัดดังขึ้นพร้อมสายตาที่ตวัดมามอง ดลยาขนลุกซู่ สายตาแบบนี้เธอไม่เห็นมานานแล้ว
“เดียร์แค่เอารถมาซ่อม” บังคับให้เสียงตัวเองไม่สั่น ข่มความรู้สึกกลัวที่ก่อเกิดขึ้นเมื่อครู่ให้จมหายไป
“แล้วรู้จักร้านกันต์ด้วยเหรอ” กันตรวีปรายตามองแล้วมองข้ามพ้นไหล่เธอไปเห็นพัทธนันท์กำลังก้มหาของในตู้เย็น
ดลภาแสยะยิ้ม ไม่รู้เขาลืมหรือแกล้งจำไม่ได้ เพราะเมื่อสมัยที่ยังคบหากัน เธอเคยมานั่งเล่นที่นี่สองสามครั้งแต่ตอนนั้นกันตรวียังไม่ใช่เจ้าของที่นี่
“เพื่อนแนะนำมา”
เธอเลือกที่จะตอบแบบนั้นเพื่อหวังให้เขาทักท้วง แต่ท่าทียักไหล่พร้อมหมุนเก้าอี้กลับไปนั้นทำให้ดลภาหน้าเสีย ตอกย้ำชัดว่าเขาไม่ได้สนใจ ไหนลองดูอีกสักครา
“แต่งงานแล้วไม่เห็นชวนเดียร์เลย”
“จำเป็นด้วยเหรอ” ดลภารู้สึกหน้าชาริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ยิ่งน้ำสียงที่ฟังไร้เยื่อใย มือเรียวบนตักกำแน่น แต่มีคนเปิดประตูเข้ามาพอดี
“เห็นว่าเที่ยงพอดีเลยเอาผลไม้มาให้ด้วยค่ะ” จานผลไม้พร้อมขวดน้ำดื่มถูกวางตรงหน้าคนรู้จักของสามี เห็นใบหน้าไม่รับบุญทำพัทธนันท์ฉงน แต่เสียงเรียกจากสามีทำให้เธอเลิกสนใจ
รถยนต์คันหรูยิ่งทะยานไปตามทางแต่ไร้จุดหมาย ตั้งแต่ออกจากอู่ของกันตรวี ยิ่งได้เห็นเขาวันนี้มันยิ่งตอกย้ำมาที่ผ่านมาเธอไม่เคยลืมเขาได้เลย ไม่ใช่ลืมในฐานะเพื่อนคนหนึ่งแต่ในฐานะคนที่อยู่ในใจ แต่ท่าทางที่เขาแสดงออกมันยิ่งปวดใจ กันตรวีทำเหมือนกับว่าเธอไม่มีตัวตน ยิ่งตอนที่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามา
เขาแต่งงานแล้วเธอรู้ แต่ทำใจยอมรับไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นมีดีอะไร? ทำไมคนไม่ยอมใครอย่างกันตรวีถึงได้เลือกมาเป็นคู่ชีวิต
“ต่างจากที่คิดไว้เยอะ” ครั้งตอนเห็นแหวนแต่งงานบนนิ้วชายหนุ่ม ในใจเธอแอบคิดจินตนาการเข้าข้างตัวเองว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายเธอ
แต่เมื่อได้เห็นมันต่างจากที่จินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง เด็กกว่า เตี้ยกว่า หน้าตาไม่ได้สวยโดดเด่นเลยสักนิด หรือจะให้พูดตรงๆ เทียบกับเธอไม่ได้เลยสักอย่าง
ดลภาเลี้ยวรถเข้าจอดหน้าร้านอาหารเพื่อนสนิทสมัยมัธยม เท้าเรียวบนส้นสูงก้าวเหยียบพื้นหินแผ่นใหญ่ตามทางเดินเป็นจังหวะ สายตาส่องมองรอบๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดูดีและทันสมัยมากขึ้น ก่อนสายตาจะปะทะรูปร่างที่คุ้นเคย เห็นแค่แผ่นหลังก็จำได้ว่าเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้
ฝ่ามือตบบนไหล่หนาเบาๆ สองที ก่อนคนที่โดนสะกิดจะผินหน้ามา
“เฮ่ย! เดียร์” พลพลเผลอเรียกคนตรงหน้าอย่างตกใจ ตาคมเบิกกว้างอ้าแขนรับเพื่อนสาวคนสนิท
“เซอร์ไพรส์” ดลภาฉีกยิ้มสวมกอดเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานถึงห้าปีแน่น
“โคตรเซอร์ไพรส์” กอดจนพอใจแล้วผละออกจากกัน พลพลไม่หายตกใจจู่ๆ เพื่อนก็โผล่มาไม่ได้นัดหมาย “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ลงเครื่องเมื่อวาน” ใบหน้าสวยยังประดับด้วยรอยยิ้ม
“ไปนั่งที่โต๊ะก่อน” พลพลก้าวนำมาที่โต๊ะด้านในสุด ทั้งตื่นเต้นทั้งตกใจกับการปรากฏโดยไม่คาดหมายของเพื่อน ไอ้กันต์มันจะรู้หรือยังวะ
“แล้วกลับไปอีกทีเมื่อไหร่” หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันเรียบร้อย เพื่อนรักสองคนก็นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน
“ไม่กลับแล้ว” เธอมือหยิบซ้อมจิ้มคอหมูย่างเข้าปาก อาหารไทยกินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่ากินที่ไทยจริงๆ
“อ้าว แล้วงานอะ” พลพลทักท้วง ดลภาเป็นคนบ้างาน ชนิดที่ว่าหามรุ่งหามค่ำและเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เลิกกับกันตรวี
“ลาออกไปแล้ว” เห็นหน้าสงสัยของเพื่อนแล้วต้องอธิบายเพิ่ม “อิ่มตัวอะ ทำมาตั้งแต่เรียนจบ ตอนนี้เลยขอพักก่อน”
“พักยาวเลยดิ”
“เรื่อยๆ ”
พลพลพยักหน้ากวาดสายตาสำรวจหญิงสาวที่นั่งตรงข้าม ดลภาจัดอยู่ในผู้หญิงที่สวยมาก มีสไตล์ที่โดดเด่นจัดจ้าน สังเกตได้จากการชอบแต่งตัวที่หวาบหวิว รัดรูป หรือการเลือกสีกระเป๋า สีลิปสติก แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ดี สมัยนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้วทุกคนมีเสน่ห์ในแบบตัวเอง ก็ต้องโชว์ของดีออกมาให้เห็น เป็นสิ่งที่ดีที่ทุกคนมีความมั่นใจในตัวเอง
“เดียร์พึ่งรู้ว่ากันต์แต่งงานแล้ว” ดลภาวางช้อนลอบมองคนตรงหน้า ยิ่งเห็น
สายตาเลิ่กลั่กนั้นทำให้เธอยกยิ้มมุมปาก “เดียร์ไม่รู้เรื่องเลย เราเพื่อนกันจริงปะเนี้ย”
ดลภาพูดน้ำเสียงปนหัวเราะ แต่ความจริงเธอกำลังน้อยใจ
“งานแต่งกันต์มันจัดเล็กๆ น่ะ ไม่ได้ชวนใครเยอะ ส่วนใหญ่มีแต่คนสนิทแล้วก็ญาติเจ้าสาว” พลพลอธิบายในส่วนที่ตนเองรู้ ยอมรับว่ารู้ตั้งแต่ต้นว่ากันตรวีไม่ได้ชวนดลภา แต่เขาไม่ใช่เจ้าของงานจะให้ทำไงได้ อีกอย่างเขาก็เดาเหตุผลนั้นออก
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเหรอ” แววตาดลภามีประกายความรู้อยากเห็นอย่างชัดเจน “ดูเหมือนจะเด็กกว่ากันต์หลายปี”
ฝ่ายชายขมวดคิ้ว ฉงนใจตั้งแต่เธอรู้ว่าเพื่อนชายคนสนิทแต่งงานทั้งที่กลับไทยมาเมื่อวานเอง “รู้ได้ไง เห็นจากที่ไหน”
“ไปเจอมา” ยิ่งได้ยินคำตอบขมวดหนายิ่งขมวดแทบจะชิดติดกัน ดลภาพูดต่อ “เจอที่อู่ เอารถไปเช็กสภาพ”
“ไปเจอมันทำไม”
“แล้วทำไมไปเจอไม่ได้” ดลภากระแทกเสียงพลางจ้องมองคนตรงหน้า แววตาที่สื่อออกมามีแต่ความน้อยใจคับแน่น “เดียร์น้อยใจ เพื่อนแต่งงานทั้งทีแต่ไม่เห็นมีใครบอกกล่าวสักคน”
“เราขอโทษที่ไม่ได้บอก” อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดจริงๆ ทิ้งลมหายใจเฮือกใหญ่ จะให้เขาบอกเธอแทนที่จะเป็นเจ้าของเป็นคนบอกเนี้ยนะ หรือจะให้พูดตรงๆ คือมันไม่ใช่ธุระอะไรของตน
“แต่เดียร์ต้องเข้าใจ ว่าเดียร์กับมันไม่ใช่เคยเป็นแค่เพื่อน”
ดลภาเบือนหน้าหนี ทำไมวันนี้มีแต่คนตอกย้ำเธอตลอด
“งั้นตอบคำถามเดียร์”
ชายหนุ่มยกมือเกาหัว ไม่รู้จะทำยังไงถ้าไอ้กันต์รู้ว่าเขาเอาเรื่องมันมาพูดมีหวังโดนด่ายับแน่
“ไม่งั้นเดียร์โกรธ จะไม่มาหาอีกเลย” เธอแกล้งขู่ ซึ่งมันใช้ได้ผล
“น้องพร้อม อ่อนกว่าพวกเราแปดปีได้มั้ง”
ดลภาตกใจกับจำนวนปีที่ห่าง แต่ยิ่งเพิ่มความอยากรู้
“แล้วไงต่อ เจอกันได้ยังไง”
“เคยเอารถไปซ่อมที่อู่ กันต์เป็นคนขอเบอร์ก่อน”
“คนอย่างกันต์อะนะ ขอเบอร์ผู้หญิงก่อน” ดลภาเสียงสูงไม่ค่อยเชื่อกับเรื่องที่ได้ยิน
“กันต์มันเล่าให้ฟังแบบนั้นอะ” เขารู้แค่ผิวเผินเท่านั้น เพราะนิสัยส่วนตัวของกันตรวีไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังสักเท่าไหร่
“แล้วคบกันนานปะ ก่อนจะแต่ง”
“สามปีได้มั้ง ก็น้องเขาเรียบจบกันต์ก็ขอแต่งงานเลย” พลพลพูดเรื่องจริง กันตรวีขอหญิงสาวตั้งแต่ยังไม่ได้รับปริญญาด้วยซ้ำ เขาเป็นคนช่วยมันเอง
“ทำไมรีบแต่งจัง ท้องเหรอ”
อีกฝ่ายยกมือไม้โบกปฏิเสธเป็นระวิง “ไม่ใช่ แต่มันคงรักของมันมากจริงๆ แหละ”
ดลภาเจ็บปวดใจกับคำพูดที่ได้ยิน รักมากงั้นเหรอ? คบมากันมาแค่สามปีแต่กันตรวีกับขอแต่งงาน ทีกับเธอคบกันมาตั้งห้าปี ครั้นเธอพูดเรื่องแต่งงานบอกว่ายังไม่พร้อม เด็กนั้นมันมีอะไรดีกว่าเธองั้นเหรอ ชักอยากจะรู้แล้วสิ