บทที่ 2 อดีตของกันตรวี [2/2]
“พูดถูกเลยกันต์” เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู หนูน้อยก็รีบลงจากตักคุณอาสาวคนโปรดวิ่งไปหาคนที่พึ่งลงมาจากชั้นสอง
“คุณแม่ขา”
มนสิชาสะใภ้คนโตของบ้านย่อตัวอุ้มลูกสาวกลับเข้ามาวงสนทนาอีกครั้ง
“สวัสดีค่ะพี่เมย์” พัทธนันท์กล่าวทักทายคู่สะใภ้
“สวัสดีจ้ะพร้อม” เธอนั่งลงข้างๆ แล้วหันไปพูดคุยกับน้องชายสามี
“หลานสาวกันต์ได้เชื้อขี้โม้มาจากพ่อเขาเต็มๆ”
“เปล่าสักหน่อย” สายน้อยแย้งขึ้นมา “โมบายขี้โม้เหมือนคุณปู่ต่างหาก”
ทันทีที่โมบายพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากทุกคนอีกครั้ง ขนาดที่คุณย่าอย่างกัญญารัตน์ยังน้ำตาเล็ด
“ย่าเห็นด้วยๆ ”
“โมบายพูดแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะคะ” คนเป็นแม่ปราม “ขอโทษคุณปู่ก่อนเร็ว”
เด็กสาวเห็นคุณแม่ทำหน้าดุก็หยุดยิ้มฉับพลัน กระถดลงจากคุณแม่แล้วเดินไปหาคุณปู่ที่นั่งอยู่ตรงกลางของทุกคน
“คุณปู่ขา” กรติมองคนที่เข้ามาออดอ้อน กอดเข่าท่านเงยหน้ามองตาปริบๆ “โมบายขอโทษคุณปู่ค่า”
“คนทำผิดต้องทำยังไง” แกล้งทำเสียงเข้ม เล่นเอาคนทำผิดทำปากจู๋
“ไม่เอาตี มันเจ็บ” คุณปู่อมยิ้มยกมือลูบหัวทุย “แต่เดี๋ยวโมบายจะนวดให้สามคืน”
ลุกขึ้นตัวตรงชูสามนิ้วแต่คุณปู่ยังส่ายหน้า เด็กหญิงโมบายทำหน้าคิดหนักจนสุดท้ายก็ยกมือทั้งสองข้างแล้วกางนิ้วทั้งสิบ
“งั้นสิบวันเลยค่ะคุณปู่” กรติยิ้มชอบใจรวบตัวหลานสาวตัวน้อยเข้ามากอดแล้วหอมแก้มเสียฟอดใหญ่
พัทธนันท์ชอบกับบรรยากาศตรงหน้า ใบหน้าเธอยังประดับด้วยรอยยิ้มตั้งแต่ก้าวเข้ามาบ้านหลังนี้
“สนใจไหมน้องพร้อม” มนสิชาสะกิดคนข้างๆ
“คะพี่เมย์” พัทธนันท์ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“มีลูกไง” คราวนี้มนสิชาพูดเสียงดังกว่าเดิมดึงความสนใจจากคนรอบข้างให้หันมามองทั้งคู่
“ท้องเหรอพร้อม” กัญญารัตน์ฟังไม่ค่อยชัด แค่ได้ยินคำว่าลูกก็คิดว่าจะมีหลานเพิ่มอีกคน
“เปล่าค่ะแม่” เธอยกมือส่ายปฏิเสธ
“เมย์ถามน้องว่าสนใจมีลูกยังค่ะ” มนสิชาลูบแขนน้อง “อยู่บ้านกันสองคนบ้านจะได้ไม่เหงา”
ตามเดิมกรติวางแผนอยากให้ลูกทุกคนอยู่ด้วยกันที่นี่ ถึงจะแต่งงานก็อยากให้มาอยู่รวมกัน ท่านชอบที่บ้านมีเสียงพูดคุย เสียงลูกหลานที่วิ่งเล่นกัน แต่เพราะนิสัยส่วนตัวของลูกชายคนเล็กที่อยากมีพื้นที่ส่วนตัว กันตรวีจึงแยกบ้านไปตั้งแต่สมัยเรียน
“ยังค่ะพี่เมย์” พัทธนันท์ตอบไม่เต็มเสียงนัก
“กันต์ยังไม่อยากมีเหรอลูก” เป็นกัญญารัตน์ที่หันไปถามลูกชาย
“ก็ต้องแล้วแต่คนท้องครับ”
คำตอบที่ดูราวไม่ใส่ใจทำพัทธนันท์เสียความรู้สึก แม้ความเป็นจริงเราทั้งคู่ไม่เคยคุยเรื่องมีลูกกันสักครั้ง แต่เธอคิดว่ามันน่าจะมีคำตอบที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ แบบนี้เหมือนโยนมาที่เธอคนเดียว ขนาดกรติยังส่ายหัวให้คำพูดของลูกชาย
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะกันต์” กัญญารัตน์เห็นหน้าสะใภ้คนเล็กแล้วเห็นใจ ลูกชายเธอพูดไม่เข้าหูเสียเลย “ท้องมันทำคนเดียวได้ซะที่ไหน”
กันตรวีหันสายตาไปมองที่ภรรยา เห็นสีหน้าเธอรู้ได้ทันทีว่าคำพูดของตนทำเธอเสียความรู้สึกแค่ไหน ฝ่ายมนสิชาที่คิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุเห็นท่าไม่ดีจึงชวน
เปลี่ยนเรื่อง
“แต่น้องอายุยังน้อยยังมีเวลาอีกเยอะ”
พัทธนันท์หยักหน้าคล้อยตามคู่สะใภ้
“แต่ตอนนี้” พัทธนันท์มองมนชิสาที่ยกยิ้มให้ แถมยังใช้ลูบท้องอย่างสงสัย “พี่นำไปก่อนนะ”
“อ้าว พี่เมย์ท้องเหรอคะ”
“อ้าว กันต์ไม่ได้บอกเหรอ”
พัทธนันท์เสียความรู้สึกอีกหนที่รู้เรื่องหลังคนอื่นๆ มนสิชาเดาได้ทันทีว่าเป็นยังไง เลือกที่จะไม่พูดต่อ กรติเห็นลูกสะใภ้คนเล็กสีหน้าไม่ดีก็ก้มกระซิบหูหลานสาวอย่างมีนัย
“อาพร้อมขา” โมบายเปลี่ยนเป้าหมายมาที่อาสาวตามคำสั่งจากคุณปู่ “โมบายจะเป็นพี่แล้วนะคะ จะช่วยคุณแม่เลี้ยงน้องค่ะ”
“ว้าว อาพร้อมช่วยเลี้ยงด้วยได้ไหมคะ” เด็กสาวพยักหน้า เธอบอกมนสิชาอย่างอารมณ์ดีราวกับลืมความรู้สึกก่อนหน้า “พร้อมยินดีด้วยนะคะ บ้านนี้จะได้มีสีสันมากขึ้น”
ตลอดช่วงเวลาเวลามื้อเย็นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ พัทธนันท์ก็เช่นกัน แม้จะมีเรื่องให้คิดอยู่ภายในใจแต่เมื่ออยู่กับทุกคนเธอต้องเก็บมันไว้ก่อนเด็กหญิงโมบายทำหน้าที่ตัวเองได้ดีเยี่ยมทั้งชวนอาคนสวนกินนู่นนี่ไม่หยุด แถมยังอ้อนให้ป้อนอยู่บ่อยๆ ส่งผลให้พัทธนันท์มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
สามทุ่มเศษด้วยสภาพการจราจรที่ติดเป็นประจำเนื่องจากเป็นวันสุดสัปดาห์ ปกติพัทธนันท์จะชวนหาเรื่องคุยตลอดเวลา แค่ครั้งนี้คู่สามีภรรยานั่งเงียบตลอดทาง
ตั้งแต่ออกจากบ้าน ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจนเป็นฝ่ายกันตรวีเองที่ทนไม่ไหว
“เป็นอะไรพร้อม” เอ่ยถามคนที่นั่งมองข้างถนนตลอดเวลา
พัทธนันท์หันกลับมามองเขา เพียงอึดใจก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่คาใจ “ทำไมไม่เห็นบอกเค้าเลย”
“เรื่องอะไร” กันตรวีละสายตาจากไฟจราจรหันมามองเธอบ้าง ไม่เข้าใจว่าเธอพูดถึงอะไร
“ที่พี่เมย์มีลูกอีกคน ถ้าให้เดาพี่น่าจะรู้ตั้งแต่มาบ้านเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว”
“ก็มันเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่เรื่องของพี่” กันตรวีไม่รู้ตัวว่าใช้คำผิดไป
“แต่บอกกล่าวกันบ้างก็ได้ไม่ใช่เหรอคะ”
“แล้วรอให้เจ้าตัวบอกเองไม่ดีกว่าเหรอ” เขาสวนกลับ คิ้วขมวดเข้าหากันไม่ชอบที่จะเถียงในเรื่องกับไม่เป็นเรื่อง “นี่เราจะมาทะเลาะกันเรื่องคนอื่นเหรอ”
“เรื่องคนอื่น?” เธอย้อน
“พร้อม” กันตรวีปราม เมื่อเห็นท่าทีว่าเธอไม่ยอม
“งั้นได้ค่ะ” ถ้าเขาพูดแบบนี้งั้นเธอจะเปลี่ยนมาคุยเรื่องของเรา “ทำไมพี่ตอบแม่ไปแบบนั้นคะ”
“ตอบอะไรอีก” กันตรวีเริ่มอารมณ์ไม่ดี เขาตามไม่ทันกับคำถาม
“ก็แล้วแต่คนท้อง” เธอย้อนคำพูดเขา “พี่พูดเหมือนไม่ใส่ใจมากกว่า”
“ก็มันแล้วแต่พร้อมไหม”
“มันจะแล้วแต่ได้ยังไง” พัทธนันท์เริ่มอารมณ์เสียบ้าง แต่ความรู้สึกข้างในมีความน้อยใจอยู่เต็มอก สามีทำราวพูดให้มันผ่านๆ ไปราวกับไม่ได้ให้ความสำคัญ “พี่ไม่มีคำพูดที่มันดีกว่านั้นแล้วเหรอ”
กันตรวีมองหญิงสาวที่น้ำตาปริ่มอย่างไม่เข้าใจ
“คนเป็นผัวเมียกัน พี่พูดอย่างกับว่าเค้าท้องได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ”
ชายหนุ่มกระแทกลมหายใจอย่างหงุดหงิด
“พร้อมอย่างี่เง่า”
น้ำตาที่ปริ่มสุดท้ายมันก็ไหลลงมา เป็นเวลาเดียวที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นทำร้ายเธอแค่ไหน ได้แต่มุ่งหน้าขับรถด้วยความเร็วให้ถึงบ้านที่เร็วที่สุด
ทันทีที่รถจอดสนิทร่างบางก้าวลงจากรถ เสียงปิดประตูรถเสียงดังยิ่งเพิ่มความร้อนในใจคนที่ยังนั่งอยูบนรถ กันตรวีก้าวยาวลงรถไปติดๆ
“พร้อม!”
เขาเข้าประชิดตัวคนที่กำลังหนีขึ้นข้างบน คว้าข้อมือบางไม่ให้ไปไหน
“มาคุยกันดีๆ ”
“พี่พูดว่าพี่สะใภ้ตัวเองเป็นคนอื่น ทั้งๆที่เขาเป็นครอบครัวเดียวกับพี่แล้ว”
“ยังไม่จบใช่ไหม” กันตรวีหัวเสียเขาคิดว่าเรื่องนี้จบไปแล้วซะอีก
“งั้นที่พี่ตอบส่งๆ ไปแบบนั้นก็เพราะว่าเค้าเป็นคนอื่นเหมือนกันใช่ไหม”
“เลอะเทอะ! ไปกันใหญ่แล้ว”
น้ำตาที่แห้งไปไม่ถึงสิบนาทีย้อนกลับมาไหลอีกครั้ง
“พี่พูดอะไรไม่เคยนึกถึงคนฟังเลย” เธอบิดข้อมือออกจากเขา
“เค้าน้อยใจ เสียใจกับคำพูดพี่มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว!”
หญิงสาววิ่งหนีขึ้นบันได แต่ไม่พ้นร่างสูงที่ก้าวตามไปติดๆ สองสามีภรรยาสาดใส่คำพูดใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ราวน้ำมันกับไฟที่อยู่ใกล้มีแต่จะลุกโซน
จนพัทธนันท์เองเป็นฝ่ายที่ทนไม่ไหวหนีเข้าในห้องน้ำ สงครามน้ำลายถึงสงบลง
สุดท้ายคืนนั้นจบลงด้วยทั้งคู่นอนหลังให้กัน บรรยากาศภายในบ้านอึมครึมอยู่สองวันแต่พัทธนันท์ยังทำหน้าที่ของเธอเช่นเดิม จนเข้าวันที่สามบรรยากาศในบ้านถึงกลับมาเป็นปกติราวกับเรื่องราวนั้นถูกลืม แต่ไม่มีแม้แต่คำว่า‘ขอโทษ’จากเขา