บทที่ 1 จุดเริ่มต้นของความรัก [2/2]
“หลอกกันได้ลงคอ” พึมพำอยู่คนเดียวแต่ก็ฝืนกินน้ำเต้าหู้หวานพิเศษจนหมดแก้ว
“ตื่นเช้าสดชื่นจะตายไป”
เธอไม่สนใจ มือบางเขี่ยขิงในถ้วยข้าวต้มแล้วตักเข้าปาก รสชาติมันคงพึลึกทุกครั้งที่ได้กิน แน่ล่ะมันไม่ใช่ของชอบเธอเลยสักนิด อาการเงียบไม่ตอบรู้ได้ทันทีว่า
หญิงสาว‘งอน’จริงๆ
“ตื่นสายแบบนี้จะไปทำงานทันได้ยังไง” ยังเงียบ ร่างบางยังก้มหน้ากินราวกับไม่ได้ยินเรื่องที่เขาพูด
“งั้นก็ตามใจ”
“พูดต่อสิคะ” ได้ผล! เขายกยิ้มน้อยๆ แต่คนก้มหน้าไม่มีทางได้เห็น
“ไปช่วยทำบัญชีที่ร้านพี่ไหม”
“แล้วปกติใครทำคะ” เธอเงยหน้าถาม
“พี่ทำเอง แต่ถ้ามีคนไปช่วยก็เหนื่อยน้อยลง เผื่อจะได้มีเวลาให้มากขึ้น”
ท่าทางอมยิ้มของคนตรงหน้าไม่รอดพ้นสายตาเขาไปได้ สุดท้ายก็อดไม่ไหวเผยยิ้มจนแก้มปริออกมา
“ทำงานกี่วันคะ แล้วเค้าได้เงินเดือนเท่าไหร่”
ถามกลับอย่างอารมณ์ดี บ้านมีสีสันขึ้นมาทันที พัทธนันท์เป็นแบบนี้เสมอ งอนง่ายแต่หายเร็ว ใบหน้าภรรยาสาวของเขาเหมาะกับรอยยิ้มที่สุดแล้ว
ช่วงบ่ายหลังจากที่ชายหนุ่มเข้าไปดูความเรียบร้อยที่อู่เสร็จ คู่รักเดินเคียงคู่กันเลือกซื้อของเข้าบ้านภายในซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่
“เย็นนี้พี่อยากกินอะไร” เธอถามคนที่เดินเข็นรถเข็นอยู่
“แกงมัสมั่นเนื้อ” แค่ได้ยินใบหน้าเธอก็หดเหลือสองนิ้ว
“ยากอะ คราวก่อนเค้าทำไม่ค่อยอร่อยเลย สู้ฝีมือแม่แก้วไม่ได้”
กัญญารัตน์แม่สามีทำแกงมัสมั่นอร่อยที่สุดเท่าที่เธอกินมาแล้ว
“งั้นวันนี้ไปกินร้านพลไหม” เขาเสนอ
“ไปค่ะ”
“แต่ตอนนี้ซื้อของเข้าบ้านก่อน มีอะไรหมดบ้าง”
จากนั้นทั้งคู่ช่วยกันเลือกทั้งของใช้ของสดเข้าบ้าน ความต่างที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ ของคู่รักคู่นี้คือ กันตรวีเป็นคนกินยากหรือจะเรียกเลือกกิน ทั้งเลือกร้านที่สะอาดหรือร้านประจำ เลือกของที่มีประโยชน์
ในขณะที่พัทธนันท์เลือกกินแต่ของอร่อย ไม่สนว่าจะตั้งขายที่ไหนจะมีประโยชน์หรือเปล่า ขอแค่มันอร่อยเธอกินได้ทั้งนั้น สิ่งนี้เป็นความต่างที่ทั้งสองต้องปรับตัวเข้าหากัน ทั้งแม้บางครั้งจะดูเหมือนพัทธนันท์จะเป็นฝ่ายปรับเข้าหามากกว่า
รถเก๋งสีขาวที่นานๆ จะถูกนำออกมาใช้งานจอดนิ่งบริเวณหน้าร้านอาหารเพื่อนสนิทของสารถี พัทธนันท์เคยมาที่นี่หลายครั้งตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา และแน่นอนทุกครั้งเขาเป็นคนพาเธอมา
คู่สามีภรรยาเดินผ่านโซนสวนขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว มีดอกไม้หลากสีสันที่ชวนมองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา ถัดมามีน้ำตกจำลองขนาดเล็กอยู่ซ้ายมือยิ่งเพิ่มความรู้สึกเย็นผ่อนคลาย เดินมาถึงหน้าร้านเห็นพลพลยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว
“ถึงกับออกมาต้อนรับเองเลย?”
กันตรวีเป็นฝ่ายทักก่อน ส่วนพัทธนันท์ยกมือไหว้สวัสดีเพื่อนสนิทสามี
“ก็นานๆ จะเห็นหน้าสักที” ตอบกลับเพื่อนแล้วหันมารับไหว้หญิงสาว “สวัสดีครับน้องพร้อม”
“จัดสวนใหม่เหรอคะพี่พล สวยมาก”
“ตาถึงนะเรา” หญิงสาวยิ้ม “ไปๆ เข้าไปคุยในร้าน”
เขาเอ่ยชวนทุกคน แต่เธอขอเบรกคนข้างๆ ไว้ก่อน
“เค้าอยากถ่ายรูป แสงกำลังสวยพี่ไปถ่ายให้เค้าหน่อยสิ”
พลพลยิ้มขำให้กับใบหน้าเรียบตึงของเพื่อนแต่สุดท้ายก็พยักหน้าตามใจเมีย เดินตามกันไปถ่ายรูปบริเวณทางเข้าอีกรอบ เขายืนมองอยู่ที่เดิม ส่วนตัวเขารู้จักกับพัทธนันท์ตั้งแต่แรกที่ทั้งคู่คบกัน ตอนเห็นครั้งแรกยอมรับว่าตกใจ เพราะพัทธนันท์ยังเป็นนักศึกษาในขณะที่เพื่อนเขากำลังเข้าเลขสาม ทั้งคู่ห่างกันราวแปดปี คบหากันราวสามปี ครั้นฝ่ายหญิงเรียนจบกันตรวีก็ขอแต่งงานทันที
“พี่พลคะ”
เสียงเรียกพร้อมเสียงเท้ามาทางเขา
“ว่าไงน้องพร้อม”
“ถ่ายรูปคู่ให้หน่อยค่ะ”
คนโสดรู้สึกเหมือนโดนจี้ใจจำแต่ก็พยักหน้า พัทธนันท์ยิ้มเขินๆ ก่อนส่งโทรศัพท์ให้ แล้วไปยืนเคียงคู่ชายหนุ่มที่ทำหน้าไม่รับบุญอยู่ตอนนี้ ถ่ายไปหลายรูปหน้ามันก็เหมือนเดิมในขณะที่เมียมันยิ้มตลอด
“ยิ้มหน่อยก็ได้ครับพ่อคุณเสือยิ้มยาก”
ร่างบางกลั้นขำกับฉายาประจำตัวของสามี ค่อยๆ เลื่อนมือเรียวไปจับมือหนานั้นทำให้มุมปากสามียกยิ้มเบาๆ
“เออแบบนี้สิวะ” ตากล้องจำเป็นกดถ่ายรัวๆ แต่ไม่วายแซว “ไม่มีคนบอกเหรอ ว่าหน้าตึงๆของมึงไม่ได้ทำให้มึงหล่อ”
รอบนี้ร่างบางก็กลั้นขำไม่อยู่ กันตรวีก้มหน้ามองคนที่หัวเราะก่อนตวัด
สายตาไปยังเพื่อนตัวดี พร้อมกับสองคำแบบนี้ไม่มีเสียง
‘กวนตีน’
พลพลอ่านปากเพื่อนแล้วยกยิ้มอย่างสนุก เมื่อได้รูปจนพอใจทั้งคู่ก็พากันไปนั่งโต๊ะ ช่วยกันสั่งอาหาร ส่วนพลพลแยกไปดูลูกค้าโต๊ะอื่นๆ
“เมื่อเที่ยงแม่แก้วโทรมาค่ะ” เธอพูดขึ้นมาระหว่างดูเมนู
“ตอนไหน” ทั้งคู่อยู่ด้วยกันทั้งวันแต่ทำไมเขาไม่เห็นเธอคุยโทรศัพท์
“ตอนพี่ออกไปดูลูกน้อง เค้าอยู่ในออฟฟิศ” เขาพยักหน้า รอฟังเธอพูดต่อ “แม่โทรมาบ่นคิดถึง อยากให้เข้าไปหา”
“สงสัยโมบายหายป่วยแล้ว”
“ไปวันไหนดีคะ เค้าคิดถึงโมบาย” โมบายคือหลานสาวเขาเป็นลูกของพี่ชายแท้ๆ ของกันตรวี
“คงเป็นอาทิตย์หน้า”
พัทธนันท์พยักหน้า เป็นจังหวะที่พลพลมารับออเดอร์พอดี ที่จริงไม่ใช่หน้าที่ของเขาแต่เป็นบริการพิเศษเฉพาะคนสนิทเท่านั้น กันตรวีเป็นคนสั่งอาหาร จน…
“เอาส้มตำปูปลาร้าด้วย” พัทธนันท์พูดต่อท้าย แต่เขากลับส่ายหัว
“เดี๋ยวท้องเสีย เอาอย่างอื่นดีกว่า”
สีหน้าหญิงสาวจ๋อยขึ้นมาทันตา บริกรจำเป็นเห็นแบบนั้นเลยท้วงติง
“อะไรมันจะขนาดนั้นวะกันต์” มันเงยหน้าสบตาเขา
“เมื่อต้นปีพึ่งนอนโรงพยาบาลก็เพราะอาหารเป็นพิษนี่แหละ”
“เว้นร้านกูไว้สักร้านก็ได้” เขาพูดต่อ “เดี๋ยวกูต้มให้สุกอีกรอบเลยก็ได้”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่กันตรวียังนิ่ง ฝ่ายเมียเพื่อนถึงแม้สีหน้าจะไม่ดี แต่ก็เงย
หน้าสบตากับเขา
“ไม่เป็นไรค่ะ เอาแค่…”
“เอาอันนั้นมาด้วย”
ชายหนุ่มพูดขึ้นมาตัดประโยคเธอ เธอยิ้มบางให้พลพล ส่วนบริกรได้แต่ส่ายหัวให้กับความเยอะของเพื่อน ก่อนจะเดินหายไป
ไม่นานเมื่ออาหารมาเสิร์ฟจนครบ บรรยากาศภายในโต๊ะที่กลับมามีสีสันอีกครั้ง ต่างฝ่ายตักอาหารที่ชอบให้กัน ส่วนพลพลไม่ได้แวะเข้ามาอีกเพราะอยากให้ความเป็นส่วนตัวกับเพื่อน
“อร่อยไหม” เขาถามเมื่อเธอตักเส้นมะละกอเข้าปาก ค่อยยังชั่วที่หน้าตามันดูดีกว่าร้านอื่น
“อร่อยค่ะ กลิ่นไม่แรงเลย”
“เอาอะไรอีกไหม ไม่อิ่มก็สั่งเพิ่ม”
เธอส่ายหัวแล้วจัดการอาหารตรงหน้าต่อ จนเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ พัทธนันท์ถือแก้วดูดน้ำโกโก้มองสามีที่ยืนคุยกับเพื่อนสนิทโซนด้านนอก เพียงแค่เห็นว่าเขาหัวเราะอารมณ์ดีแม้ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันแต่เธอดันยิ้มตาม
พลพลยื่นซองบุหรี่ให้ กันตรวีรับมาแล้วเคาะดึงบุหรี่หนึ่งตัวออกมา แล้วจุดไฟสูบเข้าไปปอด ปล่อยควันขาวออกมา
“ที่อู่เป็นไงบ้างช่วงนี้”
“เรื่อยๆ แต่ช่วงนี้ลูกค้าเยอะ ใกล้ช่วงเทศกาล” นิ้วเคาะส่วนที่มอดลงจานรอง “แล้วมึงอะ”
“ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่พึ่งรีโนเวทสวนใหญ่ก็หมดไปเยอะ” หันมามองเพื่อนตัวดีแล้วถอนหายใจ
“มองกูแล้วถอนหายใจ อะไรของมึง”
สองเพื่อนซี้มองตากัน ก่อนจะเป็นพลพลที่เลื่อนสายตามองเข้าไปในร้านจนเขาต้องมองตาม เป็นตำแหน่งที่เห็นพัทธนันท์กำลังหัวเราะกับโทรศัพท์อยู่
“มองเมียกูทำไม”
น้ำเสียงห้วนจัดทำเอาเขาถึงกับหัวเราะ รับรู้ได้ว่ามันหวงเมียแค่ไหน
“อะไรของมึงไอ้พล พูดมา” เขาว่าอย่างไม่สบอารมณ์ที่มันไม่ยอมพูดสักที
“มึงอะตึงเกินไป” เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เขาจึงพูดต่อ “มึงบังคับเมียมึงมากเกินไป”
“บังคับ?”
“ไม่ๆ เรียกว่าบงการมากดีกว่า” อธิบายต่อ “นี่ก็ไม่ได้ นู่นก็ไม่ได้ คนอยู่ด้วยเขาอึดอัด”
เขาเงียบ
“กูรู้จักมึงมานาน”
“กูเป็นห่วงเขา เจ็บไข้ทีเหมือนชาวบ้านเขาที่ไหน” หมายถึงภรรยาสาว
“ส่วนอันนั้นกูก็รู้ แต่สิ่งที่มึงทำมันตึงเกินไป ไม่หย่อนให้เขาสักนิด กูเห็นยังอึดอัดแทนเลย”
กันตรวีถอนหายใจยังคงยืนฟังนิ่งๆ
“กูเข้าใจมึง และกูคิดว่าเมียมึงก็เข้าใจมึง แต่มึงอย่าลืมนะว่า” เขาเว้นจังหวะ
“ว่าอะไร”
“คนเราถูกเลี้ยงดูโตมาไม่เหมือนกัน สภาพจิตใจยังไงก็ต่างกันปะวะ” มันพูดต่อ “ยิ่งมึงกับเมียอายุห่างกัน น้องยังสนุก มึงคิดถึงตอนมึงเรียนจบใหม่ๆ ว่าตอนนั้นมึงอยากทำอะไร”
กันตรวีคิดย้อนกลับไป ในวัยนั้นเขาอยากเที่ยว ปลดปล่อย อยากลองผิดลองถูก สนุกกับการหาสิ่งที่ชอบ ผิดกับพัทธนันท์ที่ได้ใช้ชีวิตแต่งงานทันที แถมนี่เป็นสาเหตุที่แม่ยายไม่ค่อยปลื้มเขา
“บังคับมากไม่ดีหรอก ถึงจะรักมึงมากแค่นั้น” มันยักไหล่ “แต่ก็นะ”
“แต่ก็นะ อะไรก็มึง” เขาเริ่มหัวเสียกับคำพูดกำกวมของมัน ส่วนพลพลก็รำคาญกับความซึนของเพื่อน เรื่องอื่นฉลาดนักแต่เรื่องแบบนี้ทำไมชอบกินหญ้า
“มึงก็ดูตอนเดียร์ทิ้งมึงไปดิ” อีกฝ่ายชะงักมือที่กำลังยกบุหรี่ “เดียร์บอกกับมึงว่ายังไง”
กันตรวีตวัดสายตามองเพื่อนที่พูดถึงอดีต
“กูพูดเรื่องจริง”
“แต่กูกับพร้อมแต่งงานกันแล้ว”
“แล้วไง” มันยักไหล่อีก “มึงไม่เคยเห็นคนแต่งงานแล้วหย่าเหรอวะ”
คำพูดของมันทำเขาฉุน สูดอัดบุหรี่ในมือครั้งสุดท้ายแล้วบี้มันลงในจาน
“พูดจาหมาไม่แดก”
พลพลแค่ถอนหายใจ ไม่นึกถือโทษโกรธกับคำพูดของมัน เพื่อนผู้ชายเขาก็ล้วนนิสัยแบบนี้
“กูเตือนด้วยความหวังดี เปลี่ยนตัวเองบ้าง”
เขาหันหลังเตรียมที่จะออกไป
“เขาทนมึงได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทนได้ตลอดไป”
บนรถพัทธนันท์ลอบมองสารถีเป็นระยะ เขาดูอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่กลับมาที่โต๊ะแถมยังเรียกเช็กบิลเตรียมกลับบ้านทันทีอีกต่างหาก หรือว่าเขามีปัญหากับพลพล เธอควรถามเขาดีไหมนะ
“อย่าพึ่งถามอะไร”
เธอกลืนคำถามกลับไป มองทางข้างหน้าแล้วนึกหวั่น “แต่พี่ช่วยขับรถช้าลงหน่อยนะ”
กันตรวีผ่อนคันเร่ง ไม่นานรถก็จอดสนิทในโรงรถที่เดิมของมัน หญิงสาวเดินนำเข้าบ้าน วางของบนโต๊ะแล้วแยกตัวไปล้างมือในครัว ทว่าเมื่อเดินออกมากลับเห็นชายหนุ่มยืนหน้าเครียดอยู่ตรงประตู
“พี่เป็นอะไร”
ตรงเข้าไปถาม คิ้วหนาขมวดแทบชิดกันยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจ มีปัญหากับพลพลจริงๆ สินะ
“มีปัญหากับพี่พลเหรอ”
เขาส่ายหัว น้ำเสียงที่ส่งมาล้วนเต็มไปด้วยความห่วงใย
“พร้อม”
“คะ?” สบตาเขา
“พี่บังคับพร้อมมากเกินไปหรือเปล่า”
เธอชะงักกับคำถามเขา แต่รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ส่งยิ้มพร้อมเข้าไปกอด
เอวสอบ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” แม้ในใจบางครั้งไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่เธอเลือกทำให้เขาสบายใจ “พี่เป็นห่วงเค้าใช่ม้า”
“อือ” เขายกมือกอดตอบ “พี่เป็นห่วงพร้อม”
“เค้าโอเคค่ะ” ตบหลังเขาเบาๆ สองสามที “พี่ไม่ต้องคิดมากนะ”
สองคนกอดให้กำลังใจกันกลางบ้าน อีกฝ่ายคิดมากไม่อยากให้แผลซ้ำรอยเดิม ส่วนอีกฝ่ายไม่อยากให้คนรักคิดมาก เลือกพูดในสิ่งที่เขาจะสบายใจ แต่หากย้อนเวลาไปได้ เราน่าจะพูดด้วยความรู้สึกจริงๆ อย่างน้อยมันคงไม่ทำให้เรื่องของเราเป็นอยู่แบบวันนี้