

เตยไม่ได้ขายตัว 2
เกณิกาก้าวลงจากรถหรูสัญญาติยุโรป เมื่อรถยนต์คันดังกล่าวจอดเทียบขอบฟุตบาทหลังจากออกมาจากห้องเช่าของหญิงสาวได้ไม่ถึงห้ากิโลเสียด้วยซ้ำ จากนั้นรถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวจากไปอย่างไร้เยื่อใย
เช่นเดียวกับเจ้าของรถยนต์ไม่มีผิด ไร้หัวใจ ด้านชา เย็นชา จนบางครั้งเวลาอยู่ใกล้ยังหนาวเหน็บเข้าสู่ขั้วหัวใจ จนต้องขยับถอยห่างเพื่อเว้นระยะไว้ตามที่เขาต้องการ
รถประจำทางคือสิ่งเดียวที่พาเกณิกาไปยังบริษัท เป็นแบบนี้นับตั้งแต่ที่เธอก้าวขาออกมาจากบ้านตระกูล ศรันย์วดี ตระกูลเก่าแก่ที่สืบทอดกันมายาวนาน เป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคม
ส่วนเธอก็แค่กาฝากที่ถูกตระกูลศรันย์วดีชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ส่งเสียจนเรียนจบปริญญาตรี โดยที่คุณหญิงใหญ่ของบ้านท่านไม่รังเกียจและยังเอ็นดูเธอเสียด้วยซ้ำไป จะมีก็แต่หลานชายของท่านเท่านั้นที่รังเกียจเธอราวกับกิ้งกือไส้เดือน มองเธอดั่งตัวประหลาดที่ไม่อยากเฉียดกายเข้าใกล้ และยังตราหน้าว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าด้านไร้ยางอาย อยากได้เขาเป็นสามีจนตัวสั่น ถึงขั้นจัดฉากให้คนอื่นเข้าใจผิด ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด
แต่ก็นั่นแหละ คำพูดของกาฝากอย่างเธอใครจะฟัง แม้เธอจะชมชอบในตัวเขามากเพียงใด ทว่าป้าของเธอก็สั่งสอนมาให้จำใส่ใจ ว่าอย่ามักใหญ่ใฝ่สูงเกินตน อย่างไรเสียคนสูงศักดิ์อย่างภากรก็ไม่มีวันมาเหลียวแล ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นหลานคนใช้อย่างเธอแน่ เขาไม่มีทางปรายตาลงมองดอกหญ้าที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นเธอ มีแต่จะเหยียบย่ำจมลงสู่ดิน
เกณิกาได้รับความเมตตาให้เข้ามาทำงานในบริษัทของตระกูลศรันย์วดี ในตำแหน่งพนักงานฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ โดยที่ทุกคนในแผนกหรืออาจจะทั้งบริษัทไม่มีใครทราบว่าเธอคือใคร มีที่มาที่ไปเป็นเช่นไร เกี่ยวข้องอะไรกับประธานบริษัทแห่งนี้หรือไม่
เพราะตอนที่เธอเข้ามาทำงาน เธอเดินเข้ามากรอกใบสมัครด้วยตัวเองเหมือนดั่งคนทั่วไป ทำทุกอย่างทุกขั้นตอนแม้กระทั่งสัมภาษณ์งานกับผู้จัดการฝ่าย
“พี่มุกสวัสดีค่ะ พี่แพมสวัสดีค่ะ” เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเกณิกา ทุกเช้าหญิงสาวจะกล่าวทักทายเพื่อนร่วมงานเสมอ เป็นที่รักและเอ็นดูของเพื่อนร่วมงานในแผนก
“สวัสดีจ้า”
“ดีจ้า” สองสาวรุ่นพี่ที่กำลังแต่งเติมเครื่องหน้าให้สวยงามเอ่ยทักทายกลับ แต่มือยังเป็นระวิงอยู่กับแปรงปัดแก้มและการเติมสีปาก
“เอาสักหน่อยไหมเตย พี่ว่าปากเราซีดไปนะ” มุกหันมาถามรุ่นน้องพร้อมกับยื่นลิปสติกสีแดงเลือดนกให้
ก่อนหน้าเกณิกาเคยถามว่าทำไมมุกถึงชอบทาสีแดง คำตอบที่ได้กลับมาคือถ้าปากไม่แดงไม่มีแรงทำงาน
“ไม่ค่ะพี่มุก มันแดงไปเตยไม่กล้าทา” มุกเม้มปากสองสามที ส่องดูสีปากในกระจกก็ไม่เห็นว่าจะแดงตรงไหน
“แดงแล้วเหรอ พี่ว่าแดงได้อีกนะ”
“นี่ยัยมุก ถ้าแดงกว่านี้ก็ไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยวผู้จัดการได้เชิญเข้าห้องเย็นกันพอดี” แพมก็อดไม่ได้ที่จะหันมาพูดแทรก เลยได้ค้อนขวับจากเพื่อนสาวมาวงใหญ่ หันมาเอ่ยถามเกณิกาแทน
“ว่าแต่คืนนี้น้องเตยไปกับพวกเราไหม งานเลี้ยงวันเกิดผู้จัดการอะ”
“ค่ะ แต่เตยคงอยู่ได้ไม่นานนะคะ” แม้ภากรจะไม่ห้าม ไม่สนใจว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่เธอก็เกรงใจเขาอยู่ดี
“ได้จ้า แค่น้องเตยยอมไปเที่ยวกับพวกพี่ ก็ดีแล้วจ้ะ” มุกกล่าวยิ้มๆ เช่นเดียวกับเกณิกาก็ยิ้มให้
หลังจากนั้นบทสนทนาไร้สาระที่มีทั้งเรื่องบันเทิงและการเม้าท์มอยถึงพนักงานในบริษัท คนนั้นคนนี้ที่แอบแซ่บกันก็มาอีกยาวเหยียดจนถึงเวลาเริ่มงาน
“เตย เอาแฟ้มไปให้คุณดรัณที มีเสนอจ้างพนักงานสองคนน่ะ” เกณิการีบลุกจากเก้าอี้เดินมาที่โต๊ะผู้จัดการฝ่ายอย่างไม่อิดออด แม้ภายในใจจะไม่ใคร่ดีเสียเท่าไหร่
ดรัณที่ว่าคือใคร ทำไมเธอจะไม่รู้จัก เลขาคนสนิทที่รู้เรื่องทุกอย่างของภากรรวมไปถึงเรื่องของเธอก็เช่นกัน และยังเป็นคนที่ภากรไว้ใจให้เก็บความลับไว้หลายเรื่องพอตัว และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของเธอที่ถูกเหยียบให้จมลงธรณี
“สวัสดีค่ะคุณดรัณ” แม้จะเพิ่งเจอกันเมื่อช่วงเช้า ตอนที่ชายหนุ่มไปรับภากรที่ห้องพักของเธอ ทว่าเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เกณิกาย่อมทำเหมือนไม่รู้จักมักคุ้นกับดรัณมากกว่าเพื่อนร่วมงาน
“มาหาเจ้านายเหรอครับ อยู่ในห้องเดี๋ยวผมบอกให้ รอสักครู่นะ” ดรัณรีบต่อโทรศัพท์ตั้งโต๊ะเข้าห้องเจ้านาย เพื่อแจ้งให้ทราบว่าเกณิกามีเอกสารมาให้เซ็น
ด้วยทำงานกับภากรมานาน ดรัณจึงรู้ใจเจ้านายตัวเองดี ว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนห้ามทำ และสิ่งไหนห้ามทำเด็ดขาด การจะให้เกณิกาเข้าห้องทำงานต้องถามก่อนเสมอแม้จะเป็นเรื่องงานก็ตาม ขืนปล่อยให้หญิงสาวเดินเข้าไปมีหวังเขาได้ถูกกระทืบตายรองคาเท้าเบอร์สี่สิบสามแน่
“เชิญครับ”
แม้จะเผชิญหน้ากันอยู่บ่อยครั้งก็ใช่ว่าเกณิกาจะชินเสียเมื่อไหร่ การเผชิญหน้ากับภากรเหมือนเธอกำลังเจอกับคลื่นในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าภายใต้ความเงียบสงบนั้นด้านล่างมีมวลน้ำกำลังก่อตัวอยู่หรือไม่
เพราะฉะนั้นเธอจะต้องระมัดระวังตัวระวังคำพูดให้ดี ทุกคำต้องไตร่ตรองคิดให้ถี่ถ้วน หากเปล่งวาจาไม่เข้าหูไปเมื่อไหร่ เกลียวคลื่นใหญ่ดั่งสึนามิคงโหมกระหน่ำสาดใส่จนเธอเสียหลักพลิกคว่ำไม่เป็นท่า
“ขออนุญาตค่ะ ผู้จัดการให้เอาเอกสารจ้างงานพนักงานใหม่สองคนมาให้ท่านประธานเซ็นค่ะ” เลื่อนแฟ้มเอกสารไปตรงหน้า ก้าวถอยหลังยืนอย่างสำรวมและเจียมตัว ไม่มีสิทธิ์เรียกขานชายตรงหน้าว่าตะวัน เรียกได้แค่ยามลับตาคนและอยู่ด้วยกันเท่านั้น เพราะนี่คือสิ่งที่ภากรสั่งห้ามเด็ดขาดและเกณิกาก็ปฏิบัติตามอย่างดีเยี่ยม
ดวงตาคมสีอำพันเหลือบมองคนที่ยืนมือประสานกันเล็กน้อย เอนแผ่นหลังแกร่งพิงพนักเก้าอี้ทำงานตัวแพง ทอดสายตาว่างเปล่ามองคนตรงหน้า
“มาเปิดสิ จะให้เซ็นฉันต้องเปิดเองด้วยเหรอ” เกณิกาเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าเมื่อสบสายตาคมจึงรีบเดินมาเปิดแฟ้มเอกสารหน้าที่ชายหนุ่มต้องเซ็น
เรียวปากหยักยกขึ้นเล็กน้อย หยิบปากกาขึ้นมาเซ็นจากนั้นก็ปิดแฟ้มลงและเลื่อนไปด้านหน้า เกณิกาจึงรีบเดินเข้ามาหยิบแฟ้มไป ยังไม่ทันจะหยิบมือบางก็ต้องชะงัก
“คืนนี้ฉันจะไปผ่อนคลาย เตรียมตัวด้วยล่ะ” เรียวปากอิ่มเม้มแน่นในวาจาเฉียดเชือดหัวใจ ผ่อนคลายในที่คงไม่ต้องบอกว่าคืออะไร
สำหรับเขา เธอคือสิ่งของที่มีไว้แค่รองรับความเครียด ช่วยระบายความใคร่ และผ่อนคลายให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น เป็นได้แค่นั้น
“ท่านประธานจะมากี่ทุ่มคะ ดิฉันต้องไปงานวันเกิดผู้จัดการ”
“นั่นมันปัญหาของเธอไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่ถ้าฉันไปแล้วไม่เห็นเธออยู่ที่ห้อง คงไม่ต้องบอกนะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เชิญ”
