

เจ็บไปทั้งใจ 2
คนถูกทำร้ายจิตใจยืนนิ่งเพื่อตั้งสติของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ปาดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้าง ไม่อยากพบ ไม่อยากเจอ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่พร้อมจะพูดจาอะไรกับผู้ชายใจร้ายคนนั้นแม้แต่คำเดียว
“เตยเข้ามา” เสียงห้วนร้องเรียกมาจากด้านใน เกณิกาหลับตานิ่งเรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันจนเจ็บ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็จำใจต้องเดินกลับเข้าไปเผชิญหน้ากับผู้ชายในห้อง
“อย่ามายืนค้ำหัวฉัน มานั่งนี่” เมื่อคนที่ว่านอนสอนง่าย บอกอะไรก็ทำตามมาตลอดเกือบหนึ่งปียังคงยืนอยู่ที่เดิม ภากรก็เริ่มจะโมโหมากขึ้นจนแทบบังคับอารมณ์ตัวเองไม่ไหว กรามบดกันแล้วกันเล่าจนเห็นสันนูนขึ้นมา
“มานี่” กระชากร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้นั่งลงข้างกัน แต่ดูเหมือนจะกระชากแรงไปเสียหน่อย คนที่ตัวเบาราวไม่ได้ทานอาหารถึงลอยเข้ามานั่งบนตัก ภากรจึงจับหญิงสาวกดลงบนโซฟาและรีบขึ้นคร่อมตรึงข้อมือเล็กสองข้างไว้แน่น จนเกณิกาเจ็บร้าวดั่งกระดูกจะแตกละเอียดคามือคนใจร้ายเสียอย่างนั้น
“เตยเจ็บ”
“หึ! เจ็บตรงไหนล่ะ มือหรือว่าใจ” ความเจ็บวิ่งแปลบเข้าสู่หัวใจเมื่อได้ยินประโยคเย้ยหยัน ไหนจะสายตาสะใจของภากรอีกล่ะ ที่เห็นว่าเธอเจ็บปวดทรมาน
“ทั้งสองอย่างค่ะ เตยไม่คิดว่าคุณจะกล้าเอาผู้หญิงคนอื่นมาที่ห้องของเตย”
“แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ ในเมื่อฉันอยากแต่เธอดันไม่อยู่ให้ฉันเอา ฉันผิดเหรอที่เรียกคนอื่นมาแทนเธอ” เกณิกาอยากร้องใส่หน้าว่าผิดสิ...มันผิดมหันต์เชียวล่ะ เพราะไม่มีใครเขาทำแบบนี้กัน มีแต่ภากรเท่านั้นแหละที่ทำ
“แต่คุณตะวันควรพาเธอไปที่อื่นไม่ใช่มาที่นี่” เผลอขึ้นเสียงชักสีหน้าใส่อย่างเหลืออด
“ก็ฉันอยากเอาคนอื่นที่นี่” ยิ่งเห็นเกณิกาเจ็บและเสียงดังใส่ ภากรก็ยิ่งสะใจ อยากขยี้ให้เธอเจ็บยิ่งกว่าเดิม
“แต่นี่มันห้องของเตย ไม่ใช่โรงแรมที่คุณจะพาผู้หญิงคนไหนมาก็ได้” จ้องตากับคนใจร้ายอย่างไม่ยอมหลบ เพราะครั้งนี้เธอเหลืออดจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอว่าเขาใจร้าย แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำวันนี้ มันเทียบกันไม่ติดเสียสักนิด
ภากรเหยียดยิ้ม นึกแปลกใจอยู่บ้างที่คนใต้ร่างกล้าสบสายตากลับตน นี่คงปีกกล้าขาแข็งมากขึ้นสินะถึงได้จ้องกลับขนาดนี้ ปกติมีแต่ก้มหน้าหลบสายตา คิดจะท้าทายฉันเหรอเกณิกา
“แต่ฉันกลับคิดว่าห้องนี้คือโรงแรมที่ฉันจะเอากับเธอเมื่อไหร่ก็ได้ที่อยาก เพราะเธอก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้หญิงเมื่อกี้สักเท่าไหร่”
หัวใจที่โดนเหยียบย่ำถูกกระทืบซ้ำจากคนเดิม เขาบดขยี้หัวใจของเธออย่างไม่มีชิ้นดีจนแหลกละเอียดคาเท้าอย่างไม่ไยดี
น้ำตาที่ฝืนไว้ก็ค่อยๆ ไหลออกทางหางตา ดวงตากลมโตที่ก่อนหน้าเคยสุกสกาวทอประกายระยิบระยับดั่งดวงดาวบนท้องนภา บัดนี้ฉายแววความเจ็บปวด เสียใจ หมองเศร้าไร้ความสุข มีเพียงความทุกข์ระทมที่ฉายออกมาให้คนด้านบนได้เห็น
ภากรเบือนหน้าหนีไม่ขอมอง เขาไม่ใช่พวกผู้ชายที่แพ้น้ำตาผู้หญิงสำออย ใช้น้ำตาเป็นมารยาหลอกล่อให้ผู้ชายสงสาร แต่ยามใดที่เห็นน้ำตาของเกณิกาหัวใจมันก็อ่อนยวบลงอย่างน่าประหลาด
“เลิกสำออยสักทีได้ไหม” เกณิกาดึงมือออกจากมือหนาเช็ดน้ำตาตัวเอง เธอก็ไม่อยากสำออยต่อหน้าเขาเท่าไหร่นักหรอก
“นี่ดื่มมาหรือไง ทำไมมีกลิ่นเหล้า” ฝังจมูกลงดมดูใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาตามลมหายใจ
“เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ชอบคนดื่ม” เสียงเข้มกดเสียงต่ำเอ่ยถาม คนถูกถามเม้มปากเข้าหากันเพียงครู่
“พี่ที่แผนกชงให้ เตยปฏิเสธแล้วแต่พี่เขาขอร้อง เตยก็เลยดื่มไปแก้วนึง” ลมหายใจอุ่นกระแทกออกมาหลังจากฟังจบ จ้องเข้าไปในดวงตากลมโตที่ยังมีหยาดน้ำตาอยู่ข้างใน
“ดื้อกับฉันรู้ไหมว่าผลมันจะเป็นยังไง ดื้อที่ปล่อยให้ฉันมานั่งรอนานสองนาน ทั้งที่ฉันบอกเธอแล้วนะว่าจะมาหา และยังดื้อที่กินเหล้าทั้งที่รู้ว่าฉันไม่ชอบ”
“แต่เตย...อื้อ...” คำชี้แจ้งเตรียมจะแย้งออกมาให้ฟังหายไปในลำคอ เมื่อเรียวปากหยักทาบทับบดจูบลงมาปิดเสียงหวานน่ารำคาญ นับวันยิ่งถกเถียงมีปากมีเสียงมากขึ้นกว่าเดิมเป็นไหนๆ
คิดจะปีกกล้าขาแข็งโบยบินออกจากรังนอนที่เขามีให้หรือไร คิดผิดคิดใหม่เถอะเกณิกา เพราะเธอไม่มีสิทธิ์ไปจากฉันหากฉันไม่เต็มใจปล่อยเธอไป
ในเมื่อวันนั้นเธอเองที่เลือกเดินเข้า เลือกที่จะเข้ามาเป็นพันธะที่เขาไม่สามารถสลัดออกไปได้ เพราะฉะนั้นเธอก็จงอยู่อย่างเจ็บปวดต่อไป เหมือนที่เขาต้องเลิกรากับแฟนสาวที่ตามจีบมาแรมปี เพียงเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของผู้หญิงหน้าด้านคนนี้
