

เจ็บซ้ำซาก 1
เกณิกาอมยิ้มหลังวางสายจากดรัณ ไม่คิดว่าการขู่ของเธอจะได้ผลรวดเร็วถึงเพียงนี้ และนี่คงเป็นจุดอ่อนเดียวที่ภากรมีอยู่ นั่นก็คือคุณย่าของชายหนุ่ม หากยามใดที่กล่าวถึงคุณหญิงรัศมีหรือยกคุณหญิงมาอ้าง ภากรไม่เคยปฏิเสธได้เลยสักครั้ง แม้กระทั่งการรับผิดชอบเธอก็ด้วยเช่นกัน
แม้นจะไม่เต็มใจและค้านหัวชนฝาเช่นไร ทว่าเมื่อคุณหญิงรัศมียื่นคำขาด ภากรก็ไม่สามารถคัดค้านได้ตลอดรอดฝั่ง สุดท้ายก็ยอมทำตามที่คุณหญิงรัศมีต้องการ ซึ่งเกณิกาก็ยังสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าทำไมคุณหญิงรัศมีถึงให้ภากรรับผิดชอบเธอ
ทั้งที่เธอก็เป็นเพียงหลานสาวของแม่บ้านเท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิงที่เกิดในชาติตระกูลสูงศักดิ์ หรือสามารถเชิดหน้าชูตาเดินเคียงข้าง ส่งเสริมชายหนุ่มให้สง่างามได้เลยสักนิด มีแต่จะรั้งต่ำต้อยลงมาเสียด้วยซ้ำ
“เตย เที่ยงนี้กินไรอะ อยากกินชาไข่มุกจัง” มุกหันมาถามรุ่นน้อง เมื่ออีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะได้เวลาพักเที่ยง
“งั้นไปกินที่ห้องอาหารของบริษัทไหมคะ มีร้านกาแฟอยู่”
“ดี ความคิดเลิศ งั้นพี่ขอเติมหน้าหน่อยนะ พี่ว่าปากพี่ซีดไป” ว่าจบก็หมุนตัวเปิดลิ้นชักหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางขึ้นมา
“มุก อีกนิดเดียวคือมันจะแดงมากมึง ปากมึงมันแดงมากแล้วค่ะเพื่อน” แพมเมื่อเห็นเพื่อนสาวกำลังปาดลิปสติกลงบนริมฝีปากก็กล่าวเตือน ซึ่งเกณิกาก็เห็นด้วยกับแพมว่าปากของมุกแดงแล้วจริงๆ
“แดงตรงไหนมึง กูว่ามันได้อีกนะ ปากพี่แดงแล้วเหรอเตย” หันมาถามเกณิกาพลางส่องกระจก
“ยังไม่แดง ยังได้อีก ทาเลยลูก เรามันสาวมั่น สาวแซ่บ เอาให้แดงค่ะลูกสาว” ผู้จัดการที่เดินออกมาจากห้อง ได้ยินบทสนทนาของลูกน้องและมองปากของลูกน้องที่แดงยิ่งกว่าอะไรก็เอ่ยสมทบขึ้น ให้เมื่อลูกน้องบอกว่าไม่แดงก็จงเสริมให้นางมั่นใจไปอีก
“นั่นสิคะผู้จัดการ หนูว่ามันยังได้อีก แต่ยัยแพมสิบอกว่าแดงแล้ว งั้นหนูขออีกนิดแล้วกันนะคะ”
“จ้า เอาเลยค่ะลูก”
เมื่อแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินออกมาจากห้อง ทว่าเสียงแจ้งเตือนข้อความของเกณิกาก็ดังขึ้นมา หญิงสาวก้มดูชื่อของคนที่ส่งข้อความมาก็รีบเปิดอ่าน
“พี่ๆ คะ เตยคงไปทานข้าวด้วยไม่ได้แล้วนะคะ พอดีเตยมีธุระด่วนต้องไปทำค่ะ” เอ่ยบอกออกไป ก่อนที่ทั้งสามจะก้าวเข้าไปในลิฟต์
“แล้วไม่กินข้าวก่อนเหรอ” ผู้จัดการหันมาถาม
“ไม่ค่ะพี่อ้อม เดี๋ยวกลับมาไม่ทันเวลางาน เชิญพี่ๆ ตามสบายนะคะ เดี๋ยวเตยกลับเข้าไปเอากระเป๋าก่อน” เมื่อทั้งสามคนพยักหน้ารับและเดินเข้าลิฟต์ไป เกณิกามองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ จึงเดินไปยังลิฟต์อีกตัวเพื่อไปหาคนส่งข้อความ
ดรัณเมื่อเห็นคนที่ตัวเองส่งข้อความไปแจ้งก่อนหน้าเดินมา จึงรีบเปิดประตูห้องให้เกณิกาอย่างรู้งาน หญิงสาวรีบพยักหน้ารับขอบคุณเดินเข้าไป โดยมีดรัณทำหน้าที่ปิดประตูห้องให้เสร็จสรรพ
“ท่านประธานเรียกดิฉันมามีอะไรคะ” เอ่ยถามคนที่นั่งหลับตาเอนหลังพิงพนักโซฟา
“ปวดหัว มานวดให้หน่อยสิ”
เกณิกาเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างคนที่บอกว่าปวดหัว มองใบหน้าคนใจร้ายที่ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม หากเป็นไปได้อยากให้เขาหลับตาไว้แบบนี้ไม่ต้องลืมตาขึ้นมา ไม่ต้องพูดจาอะไร เพราะหากลืมตาขึ้นมาเมื่อไหร่ ดวงตาคู่นั้นมักฉายแต่ความว่างเปล่ามายังเธอจนน่าใจหาย ไหนจะคำพูดจาว่าร้ายไม่รักษาน้ำใจนั้นอีก ช่างบาดใจลึกจนเธอแทบกระอักเลือดตาย
“ขอโทษนะคะ” วางมือลงบนขมับทั้งสองข้าง ลงน้ำหนักนวดคลึงจากขมับลงมายังใบหูและวนกลับขึ้นไป ทำซ้ำกันอยู่แบบนั้น
"กินยาหรือยังคะ"
"หึ"
"ถ้าไม่กินก็ไม่หายปวดนะคะ เดี๋ยวเตยให้คุณดรัณสั่งอาหารกับยามาให้เอาไหมคะ" แม้ภากรจะใจร้าย แต่ก็ยังไม่วายจะห่วงหา แต่คนที่ได้รับการอาทรกลับหัวเราะในลำคอกลับมา
"กลัวฉันตาย แล้วจะไม่ได้เงินใช้หรือไง" เกณิกาอยากจะลงน้ำหนักมือแรงๆ หรือไม่ก็ตีปากนี้สักที ที่พูดจาไม่เข้าหูเอาเสียเลย
“ถ้าเจ็บก็บอกนะคะ”
“แรงเท่ามดจะเอาอะไรมาเจ็บ” แอบค้อนให้อย่างหมั่นไส้ จงใจลงน้ำหนักมือให้มากขึ้น จนคนที่นอนหลับตาต้องลืมตาขึ้น คว้ามือบางที่กลั่นแกล้งตนไว้ตีหน้าขรึมใส่
“เดี๋ยวนี้กล้าหาญมากนะ คิดจะแข็งข้อกับฉันหรือไง” จ้องคนตรงหน้า ที่แสร้งทำสีหน้าใสซื่อใส่
“ไม่ได้จะแข็งข้อค่ะ แต่จะทำให้ดูว่าแรงมดที่ท่านประธานว่ามันเป็นยังไง”
“ยอกย้อนเก่ง”
“แค่ชี้แจ้งค่ะ” ชักเริ่มโมโหคนเถียงคำไม่ตกฟากขึ้นมา
“ฉันให้ดรัณจัดการเรื่องห้องให้แล้ว หวังว่าเธอจะไม่วิ่งแจ้นไปฟ้องคุณย่าหรอกนะ”
“ที่เรียกเตยมา คือจะพูดเรื่องนี้ใช่ไหมคะ กลัวเตยจะไปฟ้องคุณหญิงว่าท่านประธานพาผู้หญิงเข้าห้องเตยอย่างนั้นใช่ไหม” ออกแรงบีบข้อมือเล็กแน่น จนเกณิกาต้องพยายามดึงมือตัวเองออก
“ฉันไม่ได้กลัว แต่ฉันแค่ไม่อยากทำให้คุณย่าไม่สบายใจ และถ้าเธอมีสมองมากกว่านี้คงรู้นะ ว่าไม่ควรเอาเรื่องไร้สารไปทำให้ท่านคิดมาก”
“การที่คุณตะวันพาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาทำอะไรกันในห้องเตย มันคือเรื่องไร้สาระอย่างนั้นเหรอคะ” ขึ้นเสียงใส่อย่างเจ็บใจ เรียวปากหยักยกยิ้ม นัยน์ตาคมทอประกายหยามเหยียด
“ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ ไม่เคยมีความสำคัญสำหรับฉัน” ไม่แคร์ความรู้สึกของคนฟังสักนิดว่าจะเจ็บขนาดไหน
เกณิกาจ้องลึกเข้าไปยังแก่นแท้จิตใจผู้พูด เมื่อเห็นว่าในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด ชิงชังเธอเสียหนักหนา ก็ไม่อาจทนเห็นความเกลียดได้อีกต่อไป
“ถ้าอย่างนั้น ก็ต่างคนต่างอยู่สิคะ”
คิ้วเข้มเผลอขมวดมุ่นเข้าหากันก่อนจะคลายออก มือที่จับข้อมือเล็กไว้ก็ปล่อยให้เป็นอิสระ ขยับตัวนั่งอย่างสบายอารมณ์ กับประโยคชวนตลกขบขันของคนที่นั่งมองมายังตน
“ตกลงเธอไม่มีสมองอย่างที่ฉันพูดจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
“งั้นคนมีสมองอย่างคุณตะวันช่วยพูดให้คนโง่อย่างเตยฟังทีสิคะ ว่าต้องทำยังไง”
ในเมื่อเขาพร่ำพูดใส่หน้าว่าเธอโง่นัก งั้นคนฉลาดอย่างเขาก็ช่วยพูดให้เธอฟังหน่อยสิ ว่าต้องทำยังไงกับความสัมพันธ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“อย่ามากระแนะกระแหนฉันนะเตย เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ใช่คนใจดี ที่เธอจะมาพูดเล่นด้วยได้ ส่วนเรื่องที่เธอพูดมาว่าต่างคนต่างอยู่ เธอคิดว่าฉันไม่อยากทำอย่างนั้นหรือไง คิดว่าฉันอยากมีเธอในชีวิตขนาดนั้นเลยใช่ไหม แต่ที่มันต่างคนต่างอยู่ไม่ได้ก็เพราะคุณย่าท่านไม่ยอม แค่ฉันเอ่ยปากเรื่องของเธอท่านก็ยกมือห้ามแล้ว จะไปไหนก็ไป น่ารำคาญชะมัด” คิดว่าเขารำคาญเธอคนเดียวหรือไง เธอเองก็รำคาญเขาเหมือนกันนั่นแหละ
“เตยก็รำคาญคุณตะวันเหมือนกันนั่นแหละ” ว่าจบก็รีบลุกเดินหนีออกมาด้วยความเร็ว หากชักช้าเธอคงถูกภากรจับกินหัวอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายได้ยินเสียงเข้มร้องตะโกนตามหลังมา พาให้หายใจหายคอไม่ทั่วท้อง
“เย็นนี้เธอเตรียมตัวรับโทษได้เลยเกณิกา”
และเย็นนี้ที่เกณิกาไม่อยากให้มาถึงก็มาเร็วยิ่งกว่าอะไร เปิดประตูห้องพักเข้าไปก็ตำตาสะเทือนใจกับโซฟาที่วางอยู่ หากเป็นไปได้อยากจะเผาไฟทิ้งไปเสีย จะได้ไม่ต้องแสลงใจทุกครั้งที่มอง เห็นยามใดภาพบาดตาก็สะท้อนเข้าสู่ความทรงจำชวนเจ็บปวดหัวใจ
ร่างบางสลัดทุกอย่างทิ้งไป สาวเท้ามายังด้านในบริเวณระเบียงที่จัดเป็นโซนห้องครัวเล็ก ไว้วางอุปกรณ์จานชามและกระทะไฟฟ้าสำหรับอุ่นอาหารรับประทาน วางอาหารที่ซื้อติดมือไว้ จากนั้นจึงเดินกลับเข้ามาด้านในเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลอง
ชีวิตหลังกลับจากที่ทำงานของเกณิกาไม่ได้มีอะไรมาก นอกจากทานอาหารที่ซื้อเข้ามาทุกเย็น จากนั้นก็นั่งวาดรูปที่ลูกค้าสั่ง เมื่อได้เวลาก็อาบน้ำเข้านอน หากวันไหนภากรไม่มาเกณิกาเหมือนได้พบกับสรวงสวรรค์
เพราะไม่ต้องทำหน้าที่รองรับอารมณ์ใคร่ของชายหนุ่มที่แสนจะดุดัน ทำให้เธอหมดแรงในทุกครั้ง และยังใช้เวลากับร่างกายของเธอนานเสียด้วยซ้ำ กว่าเขาจะปล่อยให้เธอพักผ่อนก็เกือบเที่ยงคืน หากคืนไหนชายหนุ่มมาดึก กว่าเธอจะได้นอนพักเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่
และวันนี้ก็คงมาดึกอีกเช่นเคย เมื่อนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงบอกเวลายี่สิบสามนาฬิกาเข้าไปแล้ว เกณิกาวางมือจากไอแพดที่ใช้เป็นเครื่องมือในการวาดรูปลงเพื่อพักผ่อน แม้พรุ่งนี้จะเป็นวันหยุด ทว่าเกณิกากลับอยากตื่นเช้าเพื่อไปหาคุณหญิงรัศมี หลังจากไม่ได้กลับไปที่บ้านหลังนั้นร่วมสองเดือนเห็นจะได้