บทที่ 4
“แต่งงาน!!” เสียงร้องของเนตรทรายและวาคิน ดังขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ หลังจากฟังผู้เป็นแม่พูดจบ ต่างจากคิมหันต์ที่นั่งเงียบใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาฉายแววเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“มันถึงขั้นต้องแต่งงานเลยเหรอครับคุณแม่ เรื่องแค่นี้เองนะครับ” วาคินที่ดูเหมือนจะได้สติก่อนเนตรทรายถามขึ้น
“ใช่ เพราะมันคือวิธีเดียว ที่จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของพี่ชายเราดีขึ้น และยังช่วยรักษาชื่อเสียงของยัยเนตรไม่ให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน” นางมณีพูดเสียงเรียบ แต่แฝงได้ด้วยความหนักแน่น
มันคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน และนางก็เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง ว่านางเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ทั้งเนตรทรายและคิมหันต์ เพียงแต่ตอนนี้ผลลัพธ์มันยังไม่ออกมาให้เห็นก็เท่านั้นเอง
“แต่คุณแม่คะ มันไม่ใช่อย่างที่ข่าวลงเลยนะคะ รออีกสักพักได้มั้ยคะ เดี๋ยวพอมีข่าวใหม่มา คนก็ลืมเรื่องของเนตรกับพี่คิมไปเอง” เสียงหวานพูดอธิบาย หวังจะให้ผู้เป็นแม่โอนอ่อนตามคำพูดของเธอ
“นั่นสิครับคุณแม่ ผมกับเนตรไม่ได้กอดจูบอะไรกันทั้งนั้น แล้วอีกอย่างคุณแม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมกับเนตรเราสองคนเป็นพี่น้องกัน จะแต่งงานกันได้ยังไง ทำอย่างนี้ชาวบ้านยิ่งเอาไปพูดกันให้สนุกปากมากกว่าเดิมสิครับ” คิมหันต์ก็พยายามพูดหาเหตุผล เพื่อที่จะเปลี่ยนใจผู้เป็นแม่อีกแรง
แอบหวังลึกๆ ว่ามันอาจจะได้ผล เพราะเอาเข้าจริงๆ เขาเองก็ยังไม่พร้อมจะแต่งงานและมีครอบครัวในตอนนี้
เขายังอยากใช้ชีวิตหนุ่มโสด ยังอยากเที่ยวอยากใช้ชีวิตให้สนุกมากกว่านี้ และที่สำคัญเขาไม่ได้รักเนตรทรายแบบคนรัก แต่เขารักเนตรทรายแบบน้องสาว การที่จะให้เขามาแต่งงานกับน้องสาวตัวเองมันดูแปลกๆ ยังไงพิลึก
“แต่งได้สิ ทำไมจะแต่งไม่ได้ ในเมื่อคิมกับเนตรไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆ สักหน่อย”
“แต่ผมกับเนตรเราไม่ได้รักกันนะครับ ผมรักเนตรแบบน้องสาว” จบคำพูดของคิมหันต์ ภายในห้องรับแขกของบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบ
หัวใจดวงน้อยของเนตรทรายชาวาบและหน่วงในอกแปลกๆ เมื่อได้ยินคำว่าไม่รักของคิมหันต์
“รักแบบน้องหรือรักแบบไหน มันก็รักเหมือนกันนั่นแหละ อยู่ด้วยกันเดี๋ยวก็รักกันไปเองแหละ”
“แต่คุณแม่คะ...”
“พอๆ แม่ตัดสินใจและประกาศกลางที่ประชุมไปแล้ว ว่าจะให้คิมกับเนตรแต่งงานกันยังไงเราสองคนก็ต้องแต่ง... แต่ถ้าภายในหนึ่งปีเราสองคนยังไม่รักกันจริงๆ แม่จะให้เราสองคนหย่ากัน ตกลงตามนี้นะ แม่ไปนอนก่อน” พูดจบนางมณีก็ลุกเดินออกจากห้องไปทันที โดยไม่ได้สนใจลูกๆ ทั้งสามที่กำลังจะอ้าปากพูดเลยสักนิด
“ทำไมจู่ๆ คุณแม่ถึงกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้เนี่ย” วาคินพูดพร้อมกับถอนใจออกมาดังๆ ไม่รู้จะช่วยสองคนที่นั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนี้ยังไง
“พี่คิม เนตรขอโทษ” เนตรทราย หันไปพูดกับคนที่นั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และรู้สึกผิด ที่ตัวเองทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ขึ้น
“ขอโทษไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแล้วล่ะเนตร ยังไงเราสองคนก็ต้องแต่งงานกัน” พูดจบก็ลุกเดินออกจากห้องไปทันที โดยไม่ได้สนใจคนที่นั่งน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด
สิ่งที่คิดได้ในตอนนี้ คืออยากออกไปจากที่นี่ ไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับเนตรทรายทั้งนั้น ความรู้สึกตอนนี้มันตื้ออื้ออึงไปหมด
จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าเสียใจที่ต้องแต่งงานกับเนตรทราย ก็ไม่ถึงขนาดนั้น จะว่าเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไรเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ ความรู้สึกตอนนี้มันผสมปนเปตีกันวุ่นวายในหัวสมองของชายหนุ่มไปหมด
แก้วน้ำสีอำพัน ถูกยกขึ้นดื่มรวดเดียวแก้วแล้วแก้วเล่าอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในผับ โดยที่ชายหนุ่มไม่คิดจะพูดอะไรออกมาสักคำ ได้แต่นั่งเงียบและดื่มเอาดื่มเอา เหมือนกับมันเป็นน้ำเปล่า
จนคนที่ถูกชวนมาเป็นเพื่อน อดที่ถามออกมาไม่ได้ ว่ามีเรื่องอะไรกลุ้มใจนักหนา ที่ทำให้หนุ่มเจ้าสำราญอย่างคิมหันต์ ต้องชวนเขาออกมาดื่มเป็นเพื่อนเพื่อคลายความเครียดอยู่แบบนี้
“นี่ไอ้คิม ตกลงมีเรื่องอะไรวะ แล้วก็เลิกกินก่อนได้มั้ยเหล้าเนี่ย” พูดพร้อมกับจับมือของเพื่อนรักเอาไว้ ดึงแก้วเหล้าที่อยู่ในมือออกและวางลงบนโต๊ะตามเดิม เพราะถ้าขืนปล่อยให้กินอยู่แบบนี้คืนนี้ทั้งคืนก็คงเมาก่อนที่จะได้รู้เรื่อง
“แม่จะให้กูกับเนตรแต่งงานกัน” เสียงเข้มเอ่ยออกมาราบเรียบ ต่างจากคนฟังที่ทำหน้าตกใจร้องเสียงหลง
“ห๊ะ!! มึงว่ายังไงนะไอ้คิม แม่มึงจะให้มึงแต่งงานกับน้องเนตรน้องสาวมึงน่ะเหรอ”
“อืม”
“เพราะข่าวนั่นใช่มั้ยวะ” คิมหันต์พยักหน้ารับ ภาสกรจึงเอ่ยถามต่อ
“แล้วมึงจะเอายังไงต่อไปวะ”
“แล้วกูมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอวะ แต่ที่กูไม่เข้าใจ ว่าทำไมเรื่องแค่นี้แม่ต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ด้วย กูยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานตอนนี้ กูคิดว่ากูยังไม่พร้อมจะมีใคร มึงเข้าใจมั้ยไอ้กร แต่งงานเลยนะเว้ยไอ้กร ชีวิตคู่กูทั้งชีวิตเลยนะเว้ย” นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดของคิมหันต์ ตั้งที่เข้ามาในร้าน เหมือนชายหนุ่มต้องการระบาย สิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ในใจให้ใครสักคนฟัง และคนคนนั้นก็คือเพื่อนรักอย่างภาสกร
“กูเข้าใจความรู้สึกมึงนะ แต่กูก็ไม่รู้จะช่วยมึงยังไงเหมือนกันว่ะ... เอ่อ แล้วทำไมมึงไม่ลองคุยกับคุณป้าด้วยเหตุผลดูล่ะ ปกติคุณป้าเป็นคนมีเหตุมีผล บางทีคุณป้าอาจจะเข้าใจและใจอ่อนก็ได้”
“กูกับเนตรคุยแล้วยกเหตุผลมาอธิบายยาวเหยียด แต่แม่ก็ยังยืนยันคำเดิมคือให้เนตรกับกูแต่งงานกัน” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยกแก้วเหล้าในมือกระดกเข้าปากจนหมด เช่นเดียวกับภาสกรก็ถอนหายใจออกมา ด้วยความเห็นใจเพื่อนรักเหมือนกัน
“งั้นมึงกับน้องเนตรก็คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแต่งงานกันตามที่คุณป้าบอก”
“ถ้าภายในหนึ่งปีกูกับเนตรยังไม่รักกัน แม่จะให้กูสองคนหย่ากัน”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่น่าสงสารคงเป็นน้องเนตร ที่แต่งงานได้แค่ปีเดียวก็ต้องหย่า... และเวลาแค่ปีเดียว มึงคิดว่ามึงจะยอมเปิดใจให้น้องเนตรได้เหรอวะ ในเมื่อมึงก็ยังไม่ลืมคนนั้น” คิมหันต์หันมองหน้าภาสกรทันทีที่ได้ยินประโยคจี้ใจดำของเพื่อน
มือหนายกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง ด้วยความเครียดที่มากขึ้นกว่าเดิม พลางนึกไปถึงใครอีกคนที่ภาสกรพูดถึง ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่นั้น เขาก็ไม่มีวันที่จะลบภาพคนนั้นออกไปได้เลย
“นี่ไอ้คิม ทำไมมึงถึงไม่ยอมเปิดใจให้ใครสักคนสักทีวะ จะมัวมายึดติดอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ที่คนนั้นทำให้เราเสียใจทำไมวะ ไม่แน่นะ ถ้ามึงเปิดใจมึงอาจจะเจอกับความสุขที่มันหายไปก็ได้นะ มึงจะได้เลิกทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญไร้หัวใจอยู่แบบนี้"
"มึงก็ทำตัวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญไม่ต่างจากกูหรอก ทำเป็นพูดดี"
"มันก็ถูก แต่กูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่มีหัวใจโว้ย เพียงแต่ตอนนี้กูยังไม่เจอคนที่ทำให้หัวใจกูเต้นแรงก็แค่นั้นเอง... มึงก็ลองเก็บเอาคำพูดกูไปคิดก็แล้วกัน ลองเปิดใจให้น้องเนตรบ้าง อย่าเอาเปรียบเขาอย่างเดียว น้องเนตรคงเสียใจ ถ้ารู้ว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน หัวใจของมึงไม่ได้มีน้องเขาอยู่เลยสักนิด แต่ดันมีใครอีกคนอยู่ในนั้นแทน... มึงเข้าใจที่กูพูดใช่มั้ย” มือหนายกขึ้นมาตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ เหมือนต้องการจะย้ำคำพูดของตัวเอง ให้คนที่นั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ เข้าใจ
ส่วนคนที่นั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรตอบกลับมา ในหัวสมองของเขาตอนนี้ เก็บเอาคำพูดของเพื่อนรักเข้าไปคิดทุกคำพูด
ใช่! ที่ภาสกรพูดนั้นถูกทุกอย่าง เขายังลืมคนนั้นไม่ได้จริงๆ จะให้ลืมง่ายๆ ได้ยังไง ในเมื่อคนคนนั้น คือคนที่ทำให้เขาเข้าใจความหมายของคำว่า รัก โกรธ และเจ็บปวดในคราวเดียวกัน
ภายในบ้านที่เงียบสงัด คนที่อาศัยอยู่ต่างพากันนอนหลับพักผ่อนกันหมดแล้ว เหลือก็แต่หญิงสาวร่างบาง ที่ยังคงผุดลุกผุดนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน
หลายต่อหลายครั้งที่ออกมาชะเง้อคอมองออกไปประตูทางเข้า หวังจะเห็นรถของคนที่หญิงสาวรอจะขับเข้ามา แต่ก็ผิดหวังทุกครั้งไป จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่อีกวัน
นาฬิกาที่แขวนบนผนังห้อง บอกเวลาว่าตอนนี้ตีหนึ่งเข้าไปแล้ว และดูเหมือนการรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อมีเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน พร้อมกับจอดลงหน้าบ้าน ทำให้หญิงสาวรีบวิ่งออกไปประตูหน้าบ้านทันที
“พี่คิมไปไหนมาคะ ทำไมกลับดึกขนาดนี้ เนตรโทรไปก็ไม่ยอมรับสาย” คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และโล่งใจเอ่ยถามออกไปทันทีที่เห็นร่างสูงเดินเข้ามาในบ้าน
แต่คนถูกถามกับคิดว่ามันคือคำถามจับผิด ทำให้ใบหน้าหล่อแสดงสีหน้าไม่พอใจและหงุดหงิดออกมาทันที
ขายาวเก้าเดินผ่านร่างบางที่ยืนรออยู่ไปโดยไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ นี่อย่าบอกนะว่าที่มาถ่างตารอเขาเป็นค่อนคืน เพื่อจะมาถามคำถามงี่เง่าน่ารำคาญพวกนี้
ส่วนเนตรทรายเมื่อเห็นคิมหันต์ไม่สนใจ เธอที่ยืนอย่าจึงรีบตามเข้ามาในบ้านทันที
“เดี๋ยวสิคะพี่คิม พี่คิมยังไม่ตอบเนตรเลยว่านะว่าไปไหนมา นี่พี่คิมไปดื่มมาใช่มั้ยคะเนี่ย กลิ่นเหล้าหึ่งเลย ดื่มแล้วขับมันอันตรายรู้มั้ยคะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง” จบประโยคร่างสูงที่เดินดุ่มๆ หยุดชะงักลงทันทีด้วยความหงุดหงิด หันกลับมาพูดกับคนที่เดินตามหลังมาอย่างโมโห
“เนตร พี่โตแล้วและก็รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ไม่ต้องมาสอน”
“เนตรไม่ได้สอนนะ” ตอบกลับออกไปอย่างทันควัน ทำเอาคนฟังถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ
“แล้วที่มานั่งรอครึ่งค่อนคืนเนี่ยมีอะไร”
“ก็ตอนเย็น เนตรทำให้พี่คิมหงุดหงิด และก่อนออกไปพี่คิมก็ยังไม่ได้ทานข้าวด้วย เนตรเป็นห่วงก็เลยมานั่งรอ” ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความห่วงใย
ทำให้คนฟังหัวใจพองโตแปลกๆ ความหงุดหงิดและอารมณ์เสียในตอนแรก ลดลงจนแทบไม่มีเหลือ
“พี่ก็กลับมาแล้วนี่ไง แล้วไม่คิดบ้างเหรอ ว่าพี่จะหาอะไรกินมาจากข้างนอกแล้ว และต่อไปก็ไม่ต้องมาอดหลับอดนอนรอพี่แบบนี้ด้วย ถ้าเกิดพี่ไปนอนคอนโดจะทำยังไง ไม่รอกันจนเช้าเลยหรือไง” เนตรทรายก้มหน้าฟังหงอยๆ เถียงไม่ออก เพราะที่คิมหันต์พูดมามันถูกทุกอย่าง แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเธอเป็นห่วงเขา
“ก็คนเป็นห่วงนี่น่า” แม้จะพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ในความเงียบก็ดังพอ ที่จะทำให้อีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ยิน และเผลอยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนจะคว้ามือเล็กของคนตรงหน้า ให้เดินตามเขาขึ้นยังนอน ทำเอาคนถูกดึงต้องเดินตามแรงดึงนั้นไปอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านหรือพูดอะไรออก มามองมือที่ถูกคิมหันต์จับแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมาด้วยหัวใจเต้นแรง