บทที่ 1 คลุมถุงชนคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว 1
มือบางวางเครื่องมือสื่อสารเครื่องหรูลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะถอนหายใจออกด้วยอาการปลงๆ หลังจากคุยกับเพื่อนรักเสร็จเมื่ออีกฝ่ายโทรมาระบายเรื่องการถูกคลุมถุงชนให้ฟัง หูก็ฟังเพื่อนระบายไป ใจก็คอยคิดแต่ว่าตัวเธอเองนั้น จะหาทางล้มงานแต่งอย่างไร…
ใช่เธอเองก็ถูกครอบครัวจับคลุมถุงชนเช่นกัน!
แต่ความแตกต่างระหว่างเธอกับนีรนุชผู้เป็นเพื่อนอยู่ตรงที่นีรนุชเป็นคนแรกที่ครอบครัวคิดจะจับคลุมถุงชน แต่กับครอบครัวของเธอมันไม่ใช่ ครั้งแรกที่ครอบครัวของเธอทำแบบนี้คือตอนที่จับพี่สาวคนโตของเธอแต่งงานกับลูกนักธุรกิจคนหนึ่ง
ปาลลิลมีพี่น้องอยู่สามคน พี่สาวคนโตหนึ่งคน พี่ชายหนึ่งคน และน้องชายหนึ่งคน เธอเป็นลูกคนที่สามของครอบครัว
ย้อนกลับไปประมาณเจ็ดปีก่อน พี่สาวคนโตถูกพ่อกับแม่บังคับแต่งงาน เหมือนที่เธอกำลังโดนอยู่ในตอนนี้ เวลานั้นเธอเห็นกับตาว่าพี่สาวร้องไห้เสียใจแค่ไหนเพราะถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก แต่ด้วยตำแหน่งลูกคนโตมันค้ำคอพี่สาวของเธอจึงไม่อาจจะขัดใจพ่อกับแม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ทั้งสองตระกูลต่างก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน
และด้วยสาเหตุนั้นชีวิตแต่งงานของพี่สาวเธอก็แน่นอนว่าจะต้องมีความทุกข์มากกว่าความสุข เธอมักจะเห็นพี่สาวแอบกลับมาร้องไห้ที่บ้านอยู่เสมอเมื่อทะเลาะกับผู้เป็นสามี มันก็แน่ล่ะ แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักมันจะไปมีความสุขอะไร หนำซ้ำไอ้ผู้ชายคนนั้นยังมีบ้านเล็กบ้านน้อยอีกไม่รู้กี่คนต่อกี่คน
โดยปกตินิสัยพี่สาวเธอเป็นคนใจดี ออกจะหัวอ่อนเสียด้วยซ้ำ เรื่องการหย่าร้างจึงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ตรงกันข้าม ถ้าเป็นเธอ เธอจะฟ้องหย่าตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเมียน้อยเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังจะฟ้องหย่าเอาให้ผู้ชายคนนั้นมันหมดตัวไปเลยอีกต่างหาก
และถึงแม้จะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าการคลุมถุงชนไม่ได้ทำให้ชีวิตใครมีความสุข แต่เพื่อธุรกิจแล้วพ่อกับแม่เธอก็ไม่สน เหตุผลคือพวกท่านก็แต่งงานกันเพราะถูกผู้ใหญ่บังคับเช่นเดียวกัน
ดังนั้นแล้วคนหัวสมัยใหม่จบนอกอย่างเธอจึงได้แต่คิดหาวิธีล้านแปดอยู่ในใจ ที่จะล้มเลิกความคิดบ้าๆ นี้ของครอบครัว แม้จะอายุยี่สิบหกแล้ว แต่ปาลลิลก็ยังไม่เคยทำเรื่องอย่างว่ากับใคร แม้กระทั่งกับคนที่ตัวเองคบเป็นแฟนมาได้สามเดือนเธอก็ยังไม่เคยมีอะไรกับเขา แม้แต่จูบสักครั้งยังไม่เคย ฉะนั้นการที่เธอจะต้องเสียครั้งแรกให้กับคนที่ถูกจับให้แต่งงานด้วย มันจึงไม่ค่อยแฟร์สำหรับเธอสักเท่าไหร่
แต่จะให้เสียให้กับคนที่เพิ่งคบได้สามเดือนมันก็ไม่ใช่!
ทว่าอยู่ๆ ปาลลิลก็มีความคิดใหม่ผุดขึ้นมา
ไม่สิ เธอต้องไม่แคร์ว่าจะเสียเวอร์จิ้นนั้นให้กับใคร เพราะยังไงเธอก็ต้องเสียมันไปอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สู้เสียให้คนที่เธอได้ผลประโยชน์กลับมาซะยังจะดีกว่า
ในเมื่อพ่อของเธอให้เธอแต่งงานเพราะธุรกิจ เธอก็จะทำให้ร่างกายของเธอเป็นธุรกิจ ยังไงซะ สังขารมันก็เป็นสิ่งไม่เที่ยงอยู่แล้ว เธอเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ถ้าเธอไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง คนบ้านนั้นมันยังต้องการแต่งงานกับเธออีกไหม
ปาลลิลยิ้มกริ่ม เมื่อสมองของเธอนึกขึ้นได้ว่า ครอบครัวของว่าที่สามีนั้นเป็นผู้ดีเก่ามาตั้งแต่สมัยปู่ทวด ถ้าหากพวกเขารู้ว่าว่าที่สะใภ้เคยเหลวแหลกยังไงมา พวกเขาจะต้องรับไม่ได้แน่นอน ถึงตอนนั้นเธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าระหว่างผลประโยชน์กับหน้าตาทางสังคมคนพวกนั้นจะเลือกอะไร
“หึ!”
สาวสวยหัวเราะในลำคอ งานนี้เธอขอเลือกทางเดินชีวิตคู่ของเธอเอง แม้ว่ามันอาจจะส่งผลเสียต่อครอบครัวของเธอก็ตาม แต่ปาลลิลจะขอไม่สนใจ ขนาดพ่อแม่เธอยังไม่สนใจว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีหรือว่ามีความสุขหรือไม่ ถ้าเธอต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แล้วเธอจะสนใจพวกเขาทำไมกัน แค่ไม่ได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน มันไม่ได้หมายความว่าธุรกิจทั้งหมดของครอบครัวเธอจะล้มละลายเสียหน่อย
งานนี้ปาลลิลเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะถ้าแผนล้มงานแต่งสำเร็จ เธอคงโดนพ่อแม่ตัดออกจากกองมรดกแน่
คิดได้อย่างนั้นแล้วหญิงสาวต่อสายหาใครบางคนที่พอจะช่วยเธอได้ในเวลานี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อนรักทั้งสามคนของเธอ เพราะไม่ว่าจะเป็นนีนนารา มัสยา หรือนีรนุช แต่ละคนต่างก็มีเรื่องหนักอกหนักใจพออยู่แล้ว เธอไม่อยากเอาปัญหาของตัวเองไปสุมใส่หัวเพื่อนให้เพื่อนต้องหนักใจและเจียดเวลามาช่วยเธอแก้ไขปัญหาอีก
“ฮัลโหล พิทคะ ทำอะไรอยู่” หญิงสาวเอ่ยกับปลายสายเสียงหวานทันทีที่เขารับสาย
“เปิ้ลครับ ตอนนี้พิทอยู่ที่สนามบิน กำลังจะไปมาเก๊า เปิ้ลมีอะไรเหรอ?” พิทยา แฟนหนุ่มของหญิงสาวตอบกลับ
“ไปมาเก๊า? งานด่วนเหรอคะ?”
เพราะหญิงสาวพอจะรู้มาบ้างว่าอีกฝ่ายเป็นลูกชายคนเล็ก ของเจ้าสัวนักธุรกิจค้าปลีกอันดับต้นๆ ของประเทศ จึงต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยและประเทศที่เขาไปบ่อยที่สุดก็คือมาเก๊า
“ครับ ว่าแต่เปิ้ลมีอะไรเหรอ ด่วนไหม? ถ้าไม่ด่วนไว้เราค่อยคุยกันหลังจากที่ผมลงเครื่องแล้วได้ไหม พอดีเครื่องใกล้จะออกแล้ว ผมต้องปิดเครื่องแล้วครับ”
“อ่อ...ไม่มีอะไรด่วนค่ะ เปิ้ลแค่...คิดถึงพิท”
“ผมก็คิดถึงเปิ้ลนะ ไว้ค่อยคุยกันนะครับที่รัก บาย”
มือบางกดวางสาย ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วในหัวก็มีเสี้ยวหนึ่งของความคิดโผล่แวบขึ้นมา
จะดีไหม ถ้าคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยเป็นพิทยา?