ตอนที่ 2 เจ้าหนี้
ขวัญชนกจอดรถคู่ใจแล้วเข็นไปแอบไว้ตรงชายคาบ้านพักรับรองแขกที่สร้างติดกับบ้านใหญ่ ด้วยช่วงนี้เป็นหน้าฝน ถนนเล็กแคบที่เกิดจากรอยเท้าย่ำซึ่งเป็นเส้นทางกลับที่พักนั้น ถนนบางช่วงได้กลายเป็นแอ่งโคลนไปแล้ว หล่อนจึงต้องนำรถมาจอดตรงนี้ แล้วเดินเข้าบ้านที่อาศัยอยู่กับป้ากิ้มและลุงทิวซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านในกว่าร้อยเมตรแทน
หากเสียงกระโชกที่ดังจากทิศทางบ้านใหญ่ทำให้หญิงสาวต้องเดินไปดูด้วยความอยากรู้ตามสัญชาตญาณ ช่วงนี้หลายอย่างในไร่ได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่หล่อนยังต้องพักอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะหนึ่ง ยังไม่อาจย้ายออกไปเหมือนคนอื่นได้ เมื่อเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นภายในไร่ ความระแวดระวังภัยจึงเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
“อย่างนี้มันฉ้อโกงกันนี่หว่า ฉันซื้อไร่กับฟาร์มในราคารวมสัตว์เลี้ยงและพืชผล แต่พอตรวจสอบทรัพย์สินในไร่ ถึงได้รู้ว่าสัตว์ในฟาร์มถูกขายไปจนเกือบไม่เหลือแล้ว ชั่วร้ายจริงๆ”
เสียงดังปานฟ้าผ่าทำให้ขวัญชนกสะดุ้งตกใจ แถมคำท้ายนั้นทำให้หล่อนเจ็บจี๊ดเข้าไปในหัวใจ...เพราะเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าของคำพูดหมายถึงใคร
ผู้ชายหลายคนที่หล่อนไม่รู้จักและไม่คุ้นหน้ายืนอยู่ตรงระเบียงบ้านใหญ่ ขวัญชนกค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปจนใกล้ตัวบ้าน แล้วไปยืนแอบชิดกับผนังบ้าน หล่อนอยากรู้ว่าพวกเขามีเรื่องอะไรกัน
“นอกจากไก่ในฟาร์ม ยังมีอะไรที่หายไปอีกไหม”
คราวนี้เป็นเสียงถามจากผู้ชายอีกคน แม้น้ำเสียงเข้มงวด แต่ไม่กร้าวกระด้างเหมือนเจ้าของเสียงคนแรก
“ในบัญชีแจ้งว่ามีวัวบราห์มันตัวเมียแปดสิบสองตัว ตัวผู้สิบเจ็ดตัว แต่ตอนนี้เหลือรวมกันนับได้ไม่ถึงยี่สิบตัวครับ”
สิ้นเสียงนั้น กระดาษสีขาวจำนวนสามแผ่นในมือณรัณย์ก็ถูกกำไว้แน่น ดวงตาคมของเขาลุกวาบด้วยความโกรธ
วินาทีนี้เขาอยากตามไปหาชายวัยกลางคนท่าทางสุขุมคนนั้น อยากจับตัวมาเขย่าถามให้หัวคลอนว่าเล่นตุกติกกับเขาได้อย่างไร ทั้งที่เขารู้แก่ใจว่าไร่แห่งนี้ถูกบอกขายในราคาสูงเกินจริง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ต่อรองสักคำ เพราะเหตุผลของพ่อที่บอกไว้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก
แต่สิ่งที่กำลังพบเจออยู่นี้มันมากเกินไป ณรัณย์ไม่อาจปล่อยให้มันผ่านไปได้จริงๆ
“โทร.ถามคุณเกื้อสิ”
“ติดต่อคุณเกื้อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”
คำตอบจากเจ้าของคำรายงานทำให้ความโกรธของณรัณย์พุ่งสูงขึ้นอีกเท่าตัว หากสกลซึ่งเป็นคนสนิทที่มาพร้อมกับเขานั้นถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะบอกเขาเสียงเบาแค่พอได้ยิน
“ช่วงปลายเดือนผมเป็นคนตรวจสอบวัวบราห์มันด้วยตัวเอง ก่อนจะลงในบัญชีไว้ให้คุณรัน ตอนนั้นมันยังอยู่ครบนะครับ”
“นายกำลังจะบอกว่าวัวมันหายไปหลังจากคุณเกื้อและครอบครัวย้ายออกไปแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“มันไม่มีน้ำหนักพอที่จะยืนยันว่าไม่ใช่ฝีมือคุณเกื้อ เพราะคนงานในไร่ที่พร้อมรับคำสั่งของเขายังอยู่ที่นี่อีกหลายคน เขาไม่จำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้นเราต้องเค้นถามจากคนงานที่ยังเหลืออยู่นี่แหละครับ”
“ไร่และฟาร์มเป็นของฉันตั้งแต่เดือนก่อน คุณเกื้อบอกว่าต้องการใช้เงินจึงอยากรีบโอนทรัพย์สินให้ฉัน ทั้งที่ฉันยังไม่มีเวลามาตรวจดูด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ เรื่องมันผิดพลาดตรงที่คุณเกื้อรับปากว่าจะรอส่งมอบทรัพย์สินให้ฉันเอง แต่แล้วเขาก็ผิดสัญญา พอได้เงินไปไว้ในมือ เขาก็เผ่นหนีไปพร้อมกับลูกเมีย แถมคนงานในไร่ก็กระจัดกระจายย้ายออกจนไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร”
“แล้วอย่างนี้เราจะเรียกความรับผิดชอบจากคุณเกื้อได้ไหมครับ”
“แน่นอน เขาต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่างน้อยก็ในฐานะที่เขาผิดคำพูดที่ให้ไว้กับฉัน ฉันไม่ยอมเสียเปรียบแน่นอน”
เนื้อตัวของขวัญชนกชาวูบ แม้จะสดับตรับฟังได้ไม่ครบถ้วนทุกคำ เพราะคู่สนทนาของเขาพูดเสียงเบาลงเหมือนรู้ว่าหล่อนแอบฟังอยู่ตรงนี้ แต่เสียงของผู้ชายคนนั้นยังคงดังระดับเดิม อีกทั้งความกร้าวกระด้างก็ไม่ลดน้อยลง หล่อนจึงพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้
สายฝนเทกระหน่ำ อุณหภูมิที่ลดต่ำลงทำให้ขวัญชนกต้องยกสองมือขึ้นมากอดตัวเอง สายตาทอดมองผ่านหน้าต่างบนชั้นสองของบ้านไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่
เป็นภาพชินตาในยามค่ำคืนหากขวัญชนกมองไปในทิศทางนั้น หล่อนจะเห็นแสงไฟจากบ้านใหญ่เปิดสว่างอยู่ตลอดเวลา หากตอนนี้มันกลับมืดมิด ดวงไฟปิดทุกดวง จนมองไม่เห็นแม้เงาตระหง่านของบ้าน
ความเหน็บหนาวและอ้างว้างเกิดขึ้นในหัวใจของขวัญชนกมานานแล้ว มันนานจนเกือบจะชินชา แต่ที่ผ่านมาหล่อนยังรู้ว่าคุณเกื้ออยู่แค่ตรงนี้ แม้ไม่สนิทสนม ไม่ได้รับการอุ้มชู แต่หญิงสาวก็อุ่นใจว่าเขาที่เป็นผู้ให้กำเนิดยังอยู่ไม่ไกลเกินกว่าสายตาของหล่อนจะมองเห็น
แต่เวลานี้ทุกคนในบ้านใหญ่หายจากไปหมดแล้ว แม้พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งด้วยการบอกป้ากิ้มทุกครั้งว่าไม่เป็นไร หล่อนยังมีหนทางไปและยังอยู่ได้ แต่ความรู้สึกข้างในคงมีแต่หล่อนที่รับรู้ถึงความจริง
“คุณขวัญมานั่งอยู่ตรงนี้เอง ไฟฟางก็ไม่เปิด”
เสียงป้ากิ้มดังมาจากข้างหลัง ขวัญชนกหันไปมองจึงเห็นหญิงชราเปิดประตูห้องนอนที่หล่อนแง้มเอาไว้แล้วเข้ามาข้างในหญิงสาวยิ้มให้อย่างอ่อนโยน...มันเป็นรอยยิ้มที่มาจากหัวใจของหล่อน
“ป้ามีอะไรหรือคะ”
“ป้ากับลุงกินข้าวเสร็จแล้ว กันกับข้าวไว้ให้บนโต๊ะ คุณขวัญอย่าลืมไปกินเสียนะ เมื่อกี้ไม่ได้ขึ้นมาเรียกให้ลงไปกินพร้อมกัน เพราะเห็นว่าคุณขวัญเพิ่งกลับถึงบ้าน คงอาบน้ำแต่งตัวยังไม่เสร็จ”
“ขวัญอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งนานแล้ว แต่นั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่ตรงนี้นานไปหน่อย และตอนนี้ก็ยังไม่หิว อีกสักพักขวัญจะลงไปจัดการเองค่ะ”
ป้ากิ้มพยักหน้ารับรู้ แล้วพูดถึงอีกเรื่องที่สำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องที่นางตั้งใจจะคุยกับหญิงสาวมากกว่า
“วันนี้คุณรันมาดูไร่ คุณขวัญเห็นเขาแล้วใช่ไหม”
“คุณรัน...เจ้าของไร่คนใหม่ใช่ไหมคะ ผู้ชายตัวสูงๆ ขาวๆ ที่ใส่เสื้อสีน้ำเงิน ขวัญมองเห็นไม่ชัด แต่คิดว่าน่าจะเป็นคนนั้น แต่ไม่ทันได้เห็นหน้าเขา”
“ใช่ คนนั้นแหละ” หญิงชราตอบ แล้วพูดต่อตรงประเด็น “ป้าเห็นเขาตอนที่คุณขวัญกลับมาถึงบ้านใหญ่ ตอนนั้นเขากับพวกลูกน้องยืนคุยกันที่ระเบียงหน้าบ้าน”
ป้ากิ้มทันเห็นขวัญชนกลอบไปยืนฟังพวกเขาคุยกันใกล้ๆ ช่วงเวลานั้นนางได้แต่คอยสังเกตการณ์ไปอย่างใจหายใจคว่ำ เพราะกลัวจะมีใครเห็นลูกสาวอีกคนของคุณเกื้อที่ยังอยู่ในไร่แห่งนี้
ไม่อยากคิดอกุศลหรอก...แต่พอมองพวงแก้มขาวเนียน ดวงตาคมหวาน และจมูกโด่งรั้นน้อยๆ ที่รับกับริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อ หญิงชราก็กลัวว่าภัยจะมาถึงขวัญชนกโดยที่เจ้าตัวอาจไม่ทันนึกไปถึง
ส่วนขวัญชนกนั้นได้แต่ยิ้มเก้อเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ หล่อนนึกถึงตอนเป็นเด็ก ป้ากิ้มสอนเสมอว่าไม่ควรแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน...หากเมื่อหล่อนเติบใหญ่ขึ้นถึงได้รู้ว่า ‘ผู้ใหญ่’ ที่ป้ากิ้มพูดถึงนั้นจำเพาะเจาะจงแค่คุณเกื้อคนเดียว
ป้ากิ้มไม่อยากให้หล่อนไปเกะกะสายตาของคุณหวาน รู้ว่าการกระทำของหล่อนในวัยเด็กหลายครั้งทำให้คุณหวานไม่พอใจทุกทีที่ได้รู้
“ขวัญแค่อยากรู้ว่าคุณรันกับลูกน้องของเขามาทำอะไรกัน”
“แล้วคุณขวัญยืนฟังอยู่ตั้งนาน รู้เรื่องอะไรของเขาบ้างล่ะ”
“คุณรันโกรธนะป้า เขาสงสัยว่าคุณเกื้อขโมยไก่กับวัวไปขาย แต่คุณเกื้อก็ขายของพวกนั้นให้เขาไปแล้ว ทำไมเขาถึงไม่มาดูแลเองล่ะ พอมันหายก็มาพาลกับคุณเกื้อ มันไม่ถูกต้องเลย”
“ป้าไม่รู้เรื่องนี้หรอก แถมยังงงกับหลายอย่างที่เกิดขึ้น คุณเกื้อตัดสินใจปุบปับ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วไปหมด คุณเกื้อไม่ได้แจ้งคนงานล่วงหน้าว่าจะขายไร่ขายฟาร์ม ทุกคนตกงานอย่างไม่ทันรู้ตัว คนงานส่วนใหญ่ไม่ได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้ายด้วย แถมยังมีอีกหลายคนที่ยังเคว้งไม่รู้จะไปไหนต่อ”
ป้ากิ้มนึกตำหนิอดีตนายจ้างว่าขาดความรับผิดชอบ ขนาดลูกน้องของตัวเองยังทำได้ขนาดนี้ นับประสาอะไรกับการจะเฝ้าดูแลข้าวของที่ขายและได้รับเงินไปแล้วให้อยู่ในสภาพเดิม ก่อนที่เจ้าของใหม่จะมารับช่วงดูแลต่อ
อย่าว่าแต่ลูกน้องและทรัพย์สินในไร่เลย ขนาดลูกสาวอีกคนก็ยังปล่อยเคว้งไว้เช่นกัน ถึงที่ผ่านมาจะไม่เคยดูดำดูดีขวัญชนก แต่การจากกันในคราวนี้ก็น่าจะกล่าวลาให้เจ้าตัวรู้บ้าง…ไม่นึกเลยว่าคุณเกื้อจะใจร้ายใจดำได้ขนาดนี้
“ถ้าคนพวกนั้นเข้ามาในไร่อีก คุณขวัญพยายามอยู่ห่างๆ ไว้ อย่าเข้าไปใกล้พวกเขามาก”
“ทำไมล่ะป้า ป้ากลัวว่าเขาจะหาว่าเราเป็นคนขโมยของของเขาไปขายหรือ ขวัญว่าคงช้าไปแล้วแหละ ป่านนี้เขาคงหมายหัวพวกเราทุกคนที่ยังอยู่ไร่ว่าเป็นหัวขโมยไปพร้อมกับคุณเกื้อแล้ว”
“เอาเถอะ เรื่องนั้นไม่น่าห่วงมาก เพราะมันหาความจริงได้ไม่ยาก แต่ให้จำคำพูดของป้าไว้ให้ดี ช่วงนี้คนงานเก่าที่พอไว้ใจได้ก็เหลือแค่ไม่กี่คน คุณขวัญอย่าวางใจใครมาก แล้วอีกไม่นานคงมีคนงานใหม่ของคุณรันเข้ามาเรื่อยๆ ทุกพื้นที่ในไร่ไม่ปลอดภัยสำหรับคุณขวัญเหมือนตอนคุณเกื้อยังอยู่”
ขวัญชนกพยักหน้ารับรู้ในคำเตือน ทั้งที่ยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นคำถามและหล่อนก็ยังไม่เข้าใจ