ตอนที่ 5 ออกรบและตั้งครรภ์
ตอนที่ 5
หนึ่งปีต่อมา
แคว้นฉินเป็นแคว้นที่อยู่สงบสุขมานาน แต่บัดนี้กลับถูกแคว้นหานยกทัพมาประชิดชายแดนเหนือ หวังจะช่วงชิงเขตแดน นอกจากนี้บริเวณชายแดนใต้ยังมีข้าศึกบุกประชิด ทำให้กองกำลังรบไม่เพียงพอ ฮ่องเต้จึงมีราชโองการเกรนไพร่พลที่เป็นชายในแต่ละเมืองให้ไปร่วมรบในครั้งนี้ด้วย
รวมไปถึงชายฉกรรจ์จากหมู่บ้านเฉาหยาง หัวหน้าหมู่บ้านได้ทำการคัดเลือกบุรุษที่อยู่ในวัยพร้อมรบได้เกือบสามสิบคน หนึ่งในนั้นก็มีหานเฟิงเสวียนรวมอยู่ด้วย
“เจี้ยเอ๋อร์ อยู่ทางนี้ดูแลตัวเองดี ๆ นะ”
สองมือของหานเฟิงเสวียนกุมมือเรียวของภรรยาเอาไว้แน่น ดวงตาคมเข้มจ้องมองใบหน้างามตาไม่กะพริบ หากเลือกได้เขาไม่อยากเดินทางไปชายแดนเหนือเลย ไม่ใช่ว่าเขากลัวตายหรอกนะ เขาแค่ไม่อยากห่างจากภรรยาที่เขารักมากแค่นั้นเอง
จ้าวไป๋เจี้ย ยืนนิ่งน้ำตาซึม พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ร้องไห้ออกมา อยากจะเอ่ยปากรั้งห้ามไม่ให้สามีไปก็ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นคำสั่งจากเบื้องบน ขืนฝ่าฝืนอาจถูกตัดสินประหารชีวิตได้
“พี่เฟิงเสวียนอย่าได้เป็นห่วงข้าเลย พี่ต่างหากที่ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี มีชีวิตรอดกลับมาหาข้าให้ได้นะเจ้าคะ”
“พี่จะต้องกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน”
เพียงแค่เห็นแววตาเศร้าของภรรยา เฟิงเสวียนก็ปวดใจไม่ใช่น้อย เขารั้งร่างบางเข้ามาสวมกอด บรรจงหอมแก้มทั้งซ้ายและขวา พยายามสูดดมกินหอมเย้ายวนให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นกำลังใจในการสู้รบ
จ้าวไป๋เจี้ยเองก็ยกมือสวมกอดสามีเอาไว้แนบแน่น โดยไม่อายสายตาผู้ใด เพราะบริเวณลานกว้างหน้าหมู่บ้านนี้ ครอบครัวของชายฉกรรจ์คนอื่น ๆ ก็ทำแบบนางกันทั้งนั้น
“ข้ารักท่านพี่นะเจ้าคะ”
“พี่ก็รักเจ้ายอดดวงใจของพี่”
สองสามีภรรยากอดกันแนบแน่น เสียจนเหมือนหลอมรวมเป็นคนเดียวกันไปแล้ว
อีกฟากฝั่งคู่สามีภรรยาอีกหนึ่งคู่ก็ยืนกอดกันแนบแน่น ผิดตรงที่แววตาของผู้เป็นภรรยานั้น หาได้สนใจสามีที่โอบกอดนางอยู่ไม่ แต่จับจ้องมองคู่รักที่ยืนอยู่ห่างออกไป ด้วยความอิจฉาริษยา
‘ทำไมคนที่อยู่ในอ้อมแขนของพี่เฟิงเสวียนเป็นแกไม่ใช่ข้า’
“เม่ยเอ๋อร์ ได้ยินที่พี่พูดหรือเปล่า”
พอเสียงเรียกของสามีดังขึ้น เฉินซูเม่ยที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับชายหนุ่มอีกคนรีบดึงสติตนเองกลับคืนมาทันที
“ขอโทษที่พี่ฟางเจิน ข้ามัวแต่เสียใจที่ต้องห่างจากพี่เลยไม่ทันได้ฟัง พี่พูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ”
หลังจากผละออกจากอ้อมแขนของสามีที่นางไม่ได้รัก ซูเม่ยก็แสร้งตีหน้าเศร้า แสดงออกว่าเสียใจแค่ไหนที่ต้องห่างจากสามี
“พี่บอกว่าอยู่ทางนี้ดูแลตนเองดี ๆ แล้วก็ช่วยดูแลท่านแม่ด้วย”
มู่ฟางเจินลูบแก้มนุ่มที่เคยหอมทุกคืนวันอย่างถวิลหา จากไปรบครั้งนี้ไม่รู้จะไปนานแค่ไหน เขาคงคิดถึงช่วงเวลาที่มีร่วมกันในยามค่ำคืนมาก ๆ แน่
“พี่ไม่ต้องห่วง ท่านแม่ของพี่ก็เหมือนท่านแม่ของข้า ข้ารับรองจะปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดี”
“ขอบใจเจ้ามาก แล้วอีกอย่างหนึ่ง อย่าคิดนอกใจพี่ละ เจ้าก็รู้ว่าพี่หึงโหดแค่ไหน”
ฟางเจินสั่งความเสียงเข้ม ยังดีที่สหายรักของเขาเองก็ถูกเกรนไปรบเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงจากไปโดยที่จิตใจไม่สงบแน่
ทำไมซูเม่ยจะไม่รู้เล่า ครั้งก่อนที่นางแอบทอดสะพานให้พี่เฟิงเสวียนแล้วสามีจับได้ นางถูกเขาทุบตีราวกับไม่ใช่คน หากวันนั้นไม่ได้แม่สามีช่วย นางอาจจะตายไปแล้วก็ได้
“พี่ฟางเจิน ข้าไม่กล้าแล้ว แล้วอีกอย่างข้าก็ติดใจรสรักที่พี่มอบให้จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วด้วย”
ไม่เพียงคำหวานที่กล่าวออดอ้อน นางยังเข้าไปสวมกอดสามีอีกครั้งอย่างเอาใจ แต่ภายในใจหาได้คิดอย่างที่นางพูดไม่
‘ไปครั้งนี้ก็ขอให้แกอย่าได้กลับมาแล้วกัน หนทางครองรักกับพี่เฟิงเสวียนจะได้หมดขวากหนามไปหนึ่งอย่าง’
หลังจากทุกครอบครัวร่ำลากันเป็นที่เรียบร้อย ชายฉกรรจ์ที่ได้รับเลือกก็พากันเดินทางไปสมทบกับคนอื่น ๆ ที่จะเดินทางไปชายแดนเหนือเช่นเดียวกัน...
สามเดือนต่อมา
“แหวะ ๆ”
ช่วงเช้าของวัน จ้าวไป๋เจี้ยลุกขึ้นมา ตั้งใจจะทำธุระส่วนตัวแล้วก็งานบ้านงานเรือนเหมือนเช่นปกติ แต่ว่าระหว่างที่เดินออกมากวาดลานหน้าบ้าน อยู่ ๆ ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะอยากจะอาเจียนออกมา จึงรีบไปโก่งคออาเจียนอยู่ใต้เงาต้นไม้
“ไม่สบายหรือ”
ถังหยางเจี้ยนที่ตื่นแต่เช้าเพื่อหาบน้ำมาเติมใส่โอ่งดิน ออกมาเห็นหญิงสาวเพื่อนบ้านกำลังโก่งคออาเจียน จึงวางมือเดินเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
“เวียนหัวนิดหน่อย เดี๋ยวสักพักก็น่าจะดีขึ้น”
หญิงสาวหันไปตอบคำถามของชายหนุ่มเพื่อนบ้านได้เพียงไม่กี่คำ ก็รู้สึกคลื่นไส้อีก จึงรีบหันกลับไปโอ่งคออาเจียนออกมาอีกครั้ง
“แหวะ ๆ”
มือหนายกขึ้นขยับเข้าใกล้แผ่นหลังของสตรีที่ยืนโก่งตัวอาเจียน ก่อนจะรีบวางมือกลับลงข้างตัวเหมือนเดิม
นางเป็นสตรี แล้วยังเป็นภรรยาของผู้อื่น เขาไม่ควรจะทำการใดที่ละลาบละล้วงนาง
คิดดังนั้นถังหยางเจี้ยน จึงรีบหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านของตน ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจเขาก็กลับออกมา แต่คราวนี้มีหญิงวัยกลางคนติดตามออกมาด้วย
“เจี้ยเอ๋อร์ เป็นอะไรมากหรือเปล่าลูก”
หลังจากบุตรชายเข้าไปบอก ว่าเพื่อนบ้านของนางอาการไม่สู้ดีนัก หลี่ซื่อก็รีบออกมาดูด้วยความเป็นห่วง พอเห็นหญิงสาวที่นางรักเหมือนลูกกำลังอาเจียนออกมาไม่หยุด จึงรีบเข้ามาลูบหลังให้ทันที
“ตื่นมาก็ไม่รู้เป็นอะไรเจ้าค่ะ เวียนหัวอยากแต่จะอาเจียนออกมา”
หลังจากอาเจียนออกมาจนหมดแล้ว ไป๋เจี้ยก็เอ่ยตอบผู้อาวุโส ที่กลายมาเป็นมารดาคนที่สองของนางไปแล้ว
“ไป ๆ เข้าไปนั่งในบ้านก่อน”
เมื่อเห็นใบหน้างามเริ่มซีดเซียว หญิงวัยกลางคนก็ประคองพาร่างบาง เข้าไปนั่งพักภายในบ้านก่อน แล้วสั่งให้บุตรชายไปหากระโถนมาไว้รองรับอาเจียน พร้อมกับสอบถามอาการของหญิงสาวให้แน่ชัด
“เป็นมากี่วันแล้ว”
“สองสามวันแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วระดูของเจ้าล่ะ ยังมาอยู่หรือเปล่า”
พอหญิงวัยกลางคนเอ่ยถามเรื่องนี้ จ้าวไป๋เจี้ยฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าเลือดของนางไม่มาสามเดือนแล้ว จึงตอบผู้อาวุโสกว่าออกไปตามตรง
“ไม่มาสามเดือนแล้วเจ้าค่ะ”
“นั่นไงว่าแล้วเชียว”
หลี่ซูเซียวฟาดฝ่ามือลงบนเข่าของตนเอง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจ จังหวะนั้นบุตรชายของนางที่ไปหากระโถนก็กลับเข้ามาพอดี
“ว่าอะไรหรือเจ้าคะ” จ้าวไป๋เจี้ยกับถังหยางเจี้ยนจ้องมองมาทางหญิงวัยกลางคนเป็นตาเดียว ต่างไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ซื่อถึงดูดีอกดีใจขนาดนั้น
“ข้าสงสัยว่าเจ้ากำลังท้องแล้วนะสิ” หลี่ซื่อเคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน ไม่ต้องตามท่านหมอมาตรวจนางก็แน่ใจว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังตั้งครรภ์แน่นอน
“ท้อง...ลูก”
จ้าวไป๋เจี้ยก้มลงมองหน้าท้องแบนราบของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าอีกหนึ่งชีวิตกำลังก่อตัวอยู่ในนั้น มือเรียวยกขึ้นมาลูบหน้าท้องอย่างทะนุถนอม
“ข้ากำลังจะเป็นแม่คนจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
“จริงสิ อาการแบบนี้ป้าก็เคยเป็น ดีใจด้วยนะลูก” หลี่ซื่อดีใจกับหญิงสาวด้วยจริง ๆ “ว่าแต่ตอนเช้ากินอะไรหรือยัง”
“ยังเลยเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร นั่งพักอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวป้าไปทำให้” หญิงวัยกลางคนเสนอตัวอย่างเต็มใจ เท่านั้นยังไม่พอ นางยังหันไปสั่งบุตรชายของนางอีกด้วย “อาหยาง ไปดูซิน้ำเต็มโอ่งอยู่หรือไม่ แล้วฟืนได้ผ่าหรือยัง คนท้องไม่สมควรทำงานหนัก”
“อย่าเลยเจ้าค่ะ ข้าเกรงใจ” ไป๋เจี้ยรีบร้องห้าม
“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจ” ถังหยางเจี้ยนพูดเพียงเท่านั้น ก็ลงมือทำงานบ้านทุกอย่างให้หญิงสาว...