บทที่ 1 รักใส ๆ วัยมัธยม (2)
“มีอะไรทำไมมานั่งเศร้าอยู่คนเดียวตรงนี้เนี่ย”
กรรณิกาเงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายตัวโต หน้าตาดุดันที่เต็มไปด้วยหนวดเคราที่ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วดึงสายตากลับไปที่ท้องฟ้ามืดมิดพร้อมกับถามขึ้นว่า “นี่พ่อ พ่อเคยอกหักไหมคะ”
“หน้าตาอย่างพ่อเนี่ยนะ ไม่อยากจะพูด ฮึ...” นายวศพลหัวเราะในลำคอพร้อมกับโยกตัวไปมาเล็กน้อยหน้าตาดูจะภูมิอกภูมิใจกับคำตอบที่จะให้ลูกสาว ทว่าสิ่งที่กรรณิกาได้ยินนั้นกลับเป็น “ตลอด”
“โธ่ ก็นึกว่าจะไม่เคย” กรรณิกามองค้อนคนเป็นพ่อแล้วส่ายศีรษะ เกริ่นนำมาซะดิบดีนึกว่าจะได้ยินคำตอบประมาณว่า ‘ไม่เคยอกหัก เคยแต่หักอกคนอื่น’ เสียอีก
“ผู้หญิงพวกนั้นตาไม่ถึง แม่แกคนเดียวเท่านั้นแหละที่ตาถึง เห็นไหมได้ของดีมาครอง” นายวศพลว่าพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อคิดย้อนไปถึงคำถามก่อนหน้านั้นของลูกสาว “ว่าแต่ลูกถามทำไม”
“ประสบการณ์เยอะอย่างนี้ พอจะบอกได้ไหมคะว่าอกหักแล้วพ่อทำยังไงถึงหายเศร้าได้ค่ะ” กรรณิกาถามแล้วตั้งตารอคำตอบจากผู้มีประสบการณ์ตรงอย่างโชกโชนด้วยสีหน้าจริงจัง ทว่านายวศพลกลับลุกขึ้นชี้หน้าลูกสาวแล้วถามเสียงเข้มว่า “นี่อย่าบอกน่ะว่า ลูกอกหักน่ะ ตัวเท่าลูกหมาริมีความรักแล้วเหรอ”
“พ่อสายตามีปัญหาเหรอคะ ถึงมองหนูตัวเท่าลูกหมา หนูสูงกว่าแม่แล้วนะจะบอกให้” กรรณิกาลุกขึ้นยืนแย้งกลับเสียงดังไม่ต่างกัน
“โตแต่ตัวสิไม่ว่ายังไงเรื่องผู้ชายก็ห้ามเด็ดขาด” นายวศพลยื่นคำขาด ลูกสาวที่น่ารักเพิ่งจะอยู่แค่ม.สามผู้ชายหน้าไหนก็อย่าริมาตอแยเด็ดขาด ไม่งั้นพ่อเอาตาย
“หนูบอกเมื่อไหร่ว่ามีแฟนแค่อยากฟังประสบการณ์เท่านั้นก็โวยวายซะใหญ่โต ไม่คุยกับพ่อแล้ว” กรรณิกาสะบัดหน้า แล้วเดินหนีคนเป็นพ่อเข้าไปในบ้านอย่างงอน ๆ และในขณะที่เธอกำลังจะเดินขึ้นบนห้องก็ได้ยินเสียงคนเป็นแม่เรียก
“ดรีม...ดรีม...ดรีมลูก พี่เซนต์มาหาแน่ะ”
ได้ยินชื่อของคนที่คนเป็นแม่เอ่ยถึง กรรณิกาก็รีบหมุนตัวกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปที่หน้าบ้านพร้อมกับขานรับขึ้นทันที
“ค่า”
และเมื่อมาถึงกรรณิกาก็ต้องชะงักเพราะชายหนุ่มไม่ได้มาคนเดียวแต่พ่วงแฟนสาวมาด้วย เธอปรับอารมณ์และสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้ทั้งธนาธิปและแฟนสาวด้วยรอยยิ้ม
“พี่เอาของมาฝากตามสัญญาแล้วนะ” ธนาธิปยื่นถุงขนมที่มีหลากหลายอย่างให้หญิงสาว ส่วนพวกผลไม้นั้นเขาให้กับนาง
ปวันรัตน์ไปก่อนหน้านั้นแล้ว
“ขอบคุณค่ะ” กรรณิกายิ้มน้อย ๆ รับถุงของฝากมาเปิดดูก็พบว่าข้างในคือขนมสองสามอย่างและทุกอย่างก็เป็นของชอบเธอทั้งนั้น เห็นแล้วก็อดที่จะอมยิ้มอย่างดีใจไม่ได้
“สวัสดีครับลุง” ธนาธิปยกมือไหว้ชายสูงวัยแต่ทั้งหน้าตาและร่างกายยังดูแข็งแรงกำยำอยู่เลย ก่อนจะสะกิดบอกว่าคนคนนี้เป็นใครให้แฟนสาวที่กำลังนั่งคุยอยู่กับนางปวันรัตน์ได้รู้ เธอจึงรีบยกมือไหว้พร้อมกับทักทายออกไป “สวัสดีค่ะ”
“หวัดดี แล้วนี่ใคร อย่าบอกน่ะว่าแฟน” นายวศพลที่รับไหว้แล้วย้อนถามธนาธิปยิ้ม ๆ
“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับพลางยกมือเกาศีรษะอย่างเขิน ๆ ในขณะที่กรรณิกานั้นระบายความไม่พอใจด้วยการแกะขนมใส่ปากและเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“สวยเชียว ตาถึงใช้ได้นี่พ่อหลานชาย” นายวศพลหัวเราะพลางตบที่ไหล่กว้างของธนาธิปอย่างชอบใจ
“ขอบคุณค่ะ” วัศยายกมือไหว้ชายสูงวัยกว่าที่แม้หน้าตาจะดูดุและโหดไปหน่อย ทว่ากลับพูดจาน่าฟังอย่างไม่น่าเชื่อ
“กินไม่พูดไม่จาเลยนะ” ธนาธิปหันไปแซวกรรณิกาที่นั่งกินขนมอยู่คนเดียวเงียบ ๆ นั่นทำให้หญิงสาวหันมายิ้มแหย ๆ แล้วพยักพเยิดหน้าชวน
“พี่เซนต์กับพี่ฝ้ายกินด้วยกันไหมคะ”
“ตอนเย็นเขางดกินทุกสิ่งทุกอย่างยกเว้นน้ำ กลัวอ้วน” ตอนท้ายธนาธิปยกมือป้องปากพูดเสียงกลัวหัวเราะนั่นทำให้แฟนสาวยกมือขึ้นฟาดเขาอย่างเขิน ๆ
“ดูตัวอย่างพี่เขาไว้ ไม่ใช่เรา อะไรขวางหน้ากินทุกอย่าง” นางปวันรัตน์แนะนำลูกสาวยิ้ม ๆ อย่างไม่จริงจังนัก
“วัยกำลังโตเนาะพ่อเนาะ กินน้อยเดี๋ยวขาดสารอาหาร” กรรณิกาที่กินไปพูดไปหันไปหาพรรคพวก ซึ่งคนเป็นพ่อก็เออออพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยที่สุด “จริง ลูกของพ่อจะอ้วนจะผอมยังไงก็น่ารักอยู่แล้ว”
“จริงที่สุด เพราะพ่อหน้าตาดีลูกก็เลยหน้าตาดีเหมือนกัน” กรรณิการีบรับมุก จากนั้นสองพ่อลูกก็แกะขนมกินด้วยกันเสียเลย
“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว” นางปวันรัตน์เห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้า นี่คือช่วงพูดถูกคอกกันนะแต่อย่าให้เถียงกันเชียว ไม่มีใครยอมใคร