บทที่ 5 ดินแดนลึกลับ
"นั่นน่ะสิ ทำยังกับว่าเราจะไปเที่ยวชายทะเลริมชายหาด จะได้ขนชุดว่ายน้ำมาเยอะ ๆ อ่อยฝรั่งนั่นแหละ" เพื่อนหญิงสาวทุกคนในกลุ่มกล่าวยอกล้อลิลลี่อย่างสนุกสนาน
"นี่พวกแก เลิกล้อฉันเลยนะ อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน ฉันทั้งสวยทั้งสูงยาวเข่าดีขนาดนี้อิจฉาใช่มั้ยล่ะ" ลิลลี่กล่าวอย่างอารมณ์ดี
"แหวะ!..."
ทั้งสี่สาวแกล้งทำน้ำเสียงอ้วกใส่ให้กับลิลลี่อย่างขำ ๆ ก่อนทุกคนจะรีบเดินตามหลังไกด์นำทางเพื่อจะให้ทันตั้งแคมป์ในคืนนี้
หลังกางเต้นเสร็จ สาวน้อยและเพื่อน ๆ รวมถึงไกด์นำทางอีกสองคน ก็รีบก่อกองไฟและเตรียมอาหารปิ้งย่างเพื่อที่จะให้ทันงานสังสรรค์ในค่ำคืนนี้
"ว้าว… ปลาตัวใหญ่มากอ่ะแก… กลับไปคราวนี้พวกเราต้องเพิ่มทิปหนัก ๆ ให้พี่ไกด์หน่อยแล้วแหละ" หนึ่งในหญิงสาวของสาวน้อยกล่าวอย่างระริกระรี้
"ว่าแต่ยัยของขวัญ หายไปไหนแล้วเนี่ย"
"อ๋อ… เมื่อกี้เห็นบอกว่า ขอไปทำธุระส่วนตัวทางด้านโน้นน่ะ"
"อ้าว… แล้วมีใครไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า"
"แหมก็จะเป็นใครไปได้ก็ยัยลิลลี่ไง"
"อดฟังเพลงเลยอ่ะแก แถวนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วยสิจะเปิดเพลงโปรดของฉันก็ไม่ได้ โอ๊ย… เสียอรรถรสหมดเลยแต่ไม่เป็นไรหรอก ฟังเสียงนกเสียงกาเอาแล้วกัน หลอนดีนิด ๆ นะเธอว่าแมะ" เหล่าหญิงสาวกล่าวหยอกล้อกันเล่นอย่างสนุกสนาน
"มาแล้วเหรอของขวัญยัยลิลลี่นึกว่าเสือคาบไปกินซะละ ไปตั้งนาน"
"แหม… ปากเธอหรือนั่น เดี๋ยวแม่ก็กระชากมาตบจูบเลยเธอ"
"แหวะ!… ถ้าจูบกับแกนะยัยลิลลี่ ฉันขอกินยาตายดีกว่ามั้ง"
เพื่อนคนอื่นก็ได้แต่นั่งขำมองดูลิลลี่กับเพื่อนสาวในกลุ่มเถียงกันอย่างสนุกสนาน
ในขณะที่อีกมิติหนึ่งกำลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายชาวบ้านเกิด ปัญหาการทำมาหากินผู้คนยากจนแร้นแค้น มีแต่กลางคืนไม่มีกลางวันผู้คนจึงอยู่ด้วยกันอย่างอดอยาก มหานครดินแดนลึกลับที่เป็นตำนานเล่าขานกันมานานจากรุ่นสู่รุ่น บ้างก็ว่าเป็นดินแดนแห่งเทพผู้ก่อสร้างบ้างก็ว่าเป็นดินแดนแห่งปีศาจที่เข้ามาแล้วไม่สามารถออกไปได้ ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นหินราวกลับต้องคำสาป มีเพียงสายน้ำที่ไม่แห้งไหลเต็มธารา สิ่งที่เป็นอาหารจึงมีเพียงแค่สัตว์ต่าง ๆ จากสายน้ำเท่านั้น ปราสาทราชวังใหญ่โตกลับไร้กษัตริย์ผู้ปกครอง ชาวบ้านที่อยู่อาศัยมาหลายหมื่นปี จากรุ่นสู่รุ่นก็ไม่เคยเห็นหน้าผู้ปกครองดินแดน กลายเป็นปราสาทร้างที่เริ่มผุพังมีเพียงท่านโหราศาสตร์ที่ทุกคนในดินแดนให้ความนับถือ เล่าลือกันว่าท่านเป็นลูกหลานสืบทอดมาจากผู้ติดตามของเทพผู้สร้างดินแดนลึกลับ ทุกคืนวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสามของทุกปีพระจันทร์เต็มดวงชาวเมืองในดินแดนลึกลับต่างก็ต้องเดินทางมาไหว้เคารพบูชาที่หน้าปราสาท เพื่อทำความเคารพผู้ปกครองดินแดนลึกลับที่ใคร ๆ ก็ไม่เคยเห็นหน้ามีเพียงแต่คำเล่าลือเท่านั้น ที่แท่นหินศิลาที่มีขนาดใหญ่ถูกแกะสลักไว้ด้วยตัวอักษรภาษาจีนโบราณเอาไว้ว่า "ดินแดนแห่งข้า จะหวนพื้นคืน เมื่อดวงจิตแห่งข้า ได้คืนกลับมา ด้วยรักนิรันดร์" ท่านโหราศาสตร์บอกกับชาวบ้านในดินแดนลึกลับว่า นี่คือคำสั่งของผู้สร้างดินแดนลึกลับหากวันใดเป็นไปตามคำบนแท่นหิน ดินแดนแห่งนี้ก็จะคืนสู่ความสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
แต่เวลาผ่านมาแล้วนับหลายหมื่นปีก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย จนชาวบ้านต่างนึกว่าเป็นเพียงแค่คำโกหกของท่านโหราศาสตร์
"นี่เจ้าซูซาน… ข้าอุตส่าห์อธิฐานทุกวันให้พวกเรากินดีอยู่ดี หลุดพ้นจากความมืดสักทีอยากให้มีโลกที่ปกติกับคนอื่นเค้า เมื่อไหร่คำทำนายจะเป็นจริงสักที" หญิงสาวกล่าวกับเพื่อนที่เดินทางมาด้วยกัน
"อืม… แต่ที่ข้ารู้มาว่าดินแดนภายนอก มีกลางวันและกลางคืนที่เท่าเทียมกัน มีแต่ความมั่งคั่งต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีผู้คนล้วนไม่อดอยาก"
"แล้วเจ้าเคยไปที่นั่นมาแล้วหรือ"
"ข้าไม่เคยหรอก ข้ารู้แต่ว่าดินแดนแห่งนี้ มีแต่คนเข้าแต่ไม่มีคนออกไปได้ ถึงแม้จะย้อนกลับไปทางที่เข้ามา แต่ก็ออกไม่ได้อยู่ดี" สองหญิงสาวผู้มากราบไหว้ต่างเล่าสู่กันฟัง
"เคยได้ยินท่านปู่ข้าเล่าว่า เมื่อก่อนดินแดนแห่งนี้เทพผู้สร้าง ๆ มาเพื่ออยู่กับคนรัก แต่พอคนรักจากไปท่านเทพได้ถอดดวงจิตไปกับตัวนางด้วย เพราะเหตุนี้จึงทำให้ดินแดนของเราต้องดับมืดไร้ซึ่งแสงต้นไม้ใบหญ้าล้วนกลายเป็นหิน"
"นั่นสินะ ไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ เราคงได้แต่นับวันรอว่าจะเป็นดังคำทำนายบนแท่นหินหรือไม่"
"ข้าก็ว่าอย่างเช่นเจ้านั่นแหละ ไปกันเถอะเดี๋ยวเราต้องกลับบ้านกันแล้ว"
หญิงสาวทั้งสองต่างรีบทำธุระก่อนจะกลับบ้านของตนเอง รวมถึงชาวบ้านในมหานครดินแดนลึกลับ ที่ทุกคนจะต้องมีตะเกียงพกติดตัวอยู่ตลอดเวลาและต้องใช้ชีวิตต่อสู้กับความมืดอีกไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน
หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์เล็ก ๆ รอบกองไฟจบลงอย่างสนุกสนาน จนทุกคนถึงกับเหน็ดเหนื่อยจากการร้องเล่นเต้นรำรอบกองไฟ โดยมีไกด์ผู้นำทางที่ร่วมสังสรรค์ด้วย ทำให้ทุกคนถึงกับเหนื่อยล้าและรีบเข้าพักเพื่อที่จะได้ทัน กับการลุกขึ้นมาชมถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าบนยอดดอยสูง
