บทที่ 3
มาเรียน ฮิลยาร์ด กำลังนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหาร เบื้องหน้าเธอคือโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ปูด้วยผ้าลินินเนื้อดีสีฟ้าอ่อน เครื่องตั้งโต๊ะทั้งชุดกาแฟและเครื่องชุดรับประทานอาหารเงิน ตั้งอยู่ทางด้านหนึ่งของโต๊ะ ตรงกลางเป็นพานแก้วสีอ่อนใส ประดับดอกไม้สดบานสะพรั่ง เครื่องประดับห้องทุกชิ้น ล้วนเป็นงานสั่งทำที่ฝีมือประณีตงดงามจัดวางไว้อย่างเหมาะสมตามตำแหน่งของมัน แม้แต่พรมปูพื้นก็สั่งทอเป็นพิเศษได้ขนาดพอดีกับเนื้อที่ของห้องเป็นพรมยกดอกขาวบนพื้นสีฟ้าเข้ม ดูประหนึ่งยอดคลื่นที่พราวพรายอยู่เหนือพื้นน้ำทะเลสีฟ้า แสงไฟจากช่อโคมระย้าเหนือเพดานนวลสกาวส่องต้องเครื่องตกแต่งห้องทุกชิ้น ราวจะชี้ชัดให้เห็นของคุณค่ากับราคาที่แพงลิบลิ่วของมัน
เธอแอ่นร่างพิงพนักเก้าอี้ สูงบุหรี่เงียบๆ ด้วยท่าทางค่อนข้างอิดโรย วันอาทิตย์ดูจะเป็นวันที่น่าเหนื่อยที่สุดสำหรับเธอ ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุด แต่มาเรียนได้กำหนดวันนี้ไว้เป็นวันสะสางงานที่บ้าน ซึ่งหนักกว่าการทำงานที่สำนักงานหลายเท่าเพราะเป็นวันที่จะต้องร่างจดหมายตอบส่วนตัวให้หมดตรวจรายการอาหารจากแม่บ้าน ตรวจตรารายการที่จะต้องซ่อมแซมปรับปรุงบ้าน ไปลองเสื้อและเตรียมรายการอาหารสำหรับอาทิตย์ต่อไปซึ่งแม้จะเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ จิปาถะที่อาจจะใช้คนอื่นทำได้ แต่เธอก็ยังชอบที่จะลงมือทำด้วยตัวเองและปฏิบัติเช่นนี้จนเป็นกิจวัตรมาเป็นเวลานานนับปีแล้ว แม้ว่าเธอจะต้องเข้าบริหารงานของตระกูลก็ตาม
เธอหลับตาลง ความทรงจำรำลึกถึงวันเวลาที่เคยอยู่ร่วมกับสามี ทำให้รอยยิ้มนั้นผ่องใสขึ้น เป็นการรำลึกนึกถึงชั่วครู่ชั่วยามที่เธอรู้ว่า ไม่มีวันที่เขาจะพรากจากหายไปจากหัวใจของเธอได้เลย แม้คืนวันแห่งมรณกรรมของเขาจะได้ล่วงเลยมาเป็นปีแล้วก็ตาม น้ำตาหยดเล็กๆ ไหลรินลงตามร่องแก้ม วันแห่งความสุขเก่าๆ ได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว ทิ้งไว้แต่ความทรงจำรำลึกที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย
ภาพของลูกชายคนเดียวปรากฏขึ้น เธอนึกย้อนไปถึงเมื่อเขาอายุได้เพียงหกขวบเขาเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่อารมณ์แจ่มใส น่ารักสุดหัวใจ เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่สามีมอบไว้ให้ และเธอก็รักเขาจนหมดหัวใจ สัญญากับตัวเองบนความเหนื่อยยากทั้งหลายว่า เธอจะทำทุกอย่าง เพื่อให้เขาได้มีชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุด และบัดนี้ เธอก็ทำสำเร็จแล้วด้วยการสร้างอนาจักรไว้รอท่า เพื่อที่ไมเคิลจะได้ครอบครองมันต่อไป และมันจะต้องป็นของขวัญชิ้นที่ทรงคุณค่าที่สุดที่เธอจะมอบให้แก่ลูกรักคนเดียวของเธอ
ซึ่ง…ความรู้สึกเช่นนี้ที่ทำให้เธอเกิดพละกำลังขึ้นอีกครั้งมันเป็นพลังที่ทำให้เธอมุมานะกับงานมากขึ้น เท่าๆ กับความรักในตัวลูกชายที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน อาณาจักรแห่งฮิลยาร์ดจะต้องไม่มีวันสูญสลาย สักวันหนึ่งเมื่อไมเคิลแต่งงานกับผู้หญิงที่เธอเลือกให้… เขาก็จะมีลูกเล็กๆ ที่จะสืบทอดและครอบครองฮิลยาร์ดต่อไป…
“วันนี้ แม่สวยจังนะครับ”
มาเรียนลืมตาทันทีที่ได้ยินเสียงทัก แปลกใจที่ได้เห็นไมเคิลยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง เธอยิ้มอ่อนๆ ให้ลูกชาย
“แม่ไม่ยักได้ยินเสียงลูกเข้ามา ก็กำลังคิดถึงอยู่เหมือนกัน” เธอบังคับใจตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นและเดินเข้าไปโอบกอดเขาไว้อย่างที่อยากจะทำ เหมือนสมัยที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ เธอมักจะซ่อนเร้นปิดบังความรู้สึกในใจ ความอ่อนโยนที่เธอมีต่อไมเคิลเสมอ จนไม่มีใครสามารถจับความรู้สึกได้ว่า เธอคิดอย่างไรต่อไมเคิล
“ครับ ผมใช้กุญแจส่วนตัวไขเข้ามา ให้ผมเข้าไปได้หรือยังละครับ?” เขาถามอย่างมีพิธีรีตอง
“อ่อ…ได้สิจ๊ะ กินอะไรมาแล้วหรือยังล่ะ?”
ไมเคิลมองมารดา ยิ้มคลาดๆ ฉาบขึ้นบยริมฝีปาก
“อืม…นั่นอะไรล่ะครับ หน้าตาเหมือนช็อคโกแลตด้วย…” เขาพยามทำให้ซุ่มเสียงรื่นเริงเข้าไว้
ผู้เป็นมารดาหยักไหล่ ส่ายหน้าช้าๆ เมื่อคิดขึ้นมาว่า…ไมเคิลก็ยังคงเป็นลูกชายเล็กๆ ที่ชอบกินขนมอยู่นั่นเอง…
“โปรฟิทเตอร์โรล…เอาไหมล่ะลูก แมทตี้ยังอยู่ในห้องเตรียมอาหารแน่ะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ มีอะไรก็กินอย่างนั้นแล้วกัน” เขาหัวเราะเบาๆ แต่มาเรียนเอื้อมมือไปสั่นกระดิ่งเงินที่วางอยู่ข้างโต๊ะแล้ว
แมทตี้เดินเข้ามาในห้องในชุดเครื่องแบบสีดำ เสื้อตัวในประดับด้วยลูกไม้สีขาวสวยงาม มาเรียนใช้เวลาแทบจะตลอดชีวิตเพื่อสรรหาสิ่งที่เหมาะสมและดูดีที่สุดให้กับบ้าน
“ครับ คุณนาย…?”
“เอากาแฟมาให้คุณฮิลยาร์ด…แมทตี้ แล้วก็อะไรดีจ๊ะลูก…ถ้าไม่ต้องก็เอาแต่กาแฟก็แล้วกัน”
“ครับ คุณนาย”
ไมเคิลมักจะคิดด้วยความสงสัยเสมอว่า ทำไม แม่ของเขาจึงไม่เคยกล่าวคำ “ขอบใจ” กับคนรับใช้ ดูคล้ายกับว่าคนเหล่านั่นไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรตรงไหนเลยด้วยซ้ำทั้งๆ ที่ล้อมรอบตัวแม่ก็มีแต่พวกคนรับใช้และเลขานุการ ซึ่งพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการอยู่ตลอดเวลา ผมจึงดูเหมือนคนที่มีความสุขสบายทั้งๆ ที่ออกจะเหงาอยู่ไม่น้อย
“การเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะลูก?”
“ก็กำลังจะได้รับปริญญาอยู่แล้วละครับ อีกสองอาทิตย์เท่านั้น ขอบคุณพระเจ้าที่เสร็จเรื่องนั่นเสียที”
มาเรียน…ชะโงกหน้าเข้ามาหาลูกชายอย่างกระตือรือร้น
“ดีมากไมค์ รู้ไหมว่าแม่ภูมิใจในตัวลูกมาก การเป็นบัณฑิตน่ะมันเป็นสิ่งสูงค่ามาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับด้านสถาปัตย์ด้วยแล้ว”
“โธ่…แม่”
“โธ่อะไรกัน นี่เราจัดเตรียมงานไว้ให้เบนแล้ว ลูกบอกเขาหรือยังล่ะ?”
“ยังเลยครับ แต่ผมคิดว่าถ้าเขารู้เขาจะต้องดีใจมากทีเดียวที่จะออกมาแล้วมีงานทำเลย”
“อ๋อ…เขาจะต้องดีใจมากกว่าที่ลูกคิดแน่ เพราะแม่สั่งให้เขาหาตำแหน่งดีๆ ไว้ให้ ถ้าไม่มีก็ให้ตั้งตำแหน่งขึ้นมาใหม่เชียงนะ”
“ถึงอย่างนั้นเชียวหรือครับ แต่ก็ดี เพราะเบนเป็นคนเอางานเอาการ ผมว่าเขาต้องทำได้แน่เลย”
“นั่นสิ แม่ก็หวังไว้อย่างนั้นเหมือนกัน แล้วลูกล่ะไมค์พร้อมที่จะทำงานหรือยัง สำนักงานของลูกจะเสร็จเรียบร้อยภายในอาทิตย์หน้านี่แหละ” ดวงตาของมาเรียนเป็นประกายห้องส่วนตัวของไมเคิลห้องนั้นจะต้องได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม เหมือนห้องทำงานที่พ่อของเขาเคยมี มาเรียนนึกถึงภาพตัวเองที่เดินเลือกซื้อเครื่องประดับห้องนั้นแต่ละชิ้นอย่างภาคภูมิใจ และบางชิ้นอย่างเช่นโต๊ะ เก้าอี้ทำงานที่บุด้วยหนังก็สั่งตรงมาจากลอนดอนเลยทีเดียว
“แม่จะบอกให้ว่า ห้องทำงานของลูกน่ะ น่าสบายมากเชียวนะจ๊ะ”
“ดีครับ ผมก็อยากเห็นอยู่เหมือนกัน มีรูปบางรูปที่ผมอยากเอาใส่กรอบประดับไว้ในห้องนั้นด้วย แต่รอให้พ้นวันรับปริญญาเสียก่อน”
“โอ๊ย…ไม่ต้อง…ไม่ต้องวุ่นวายอะไรเลย แม่เลือกไว้ให้หมดแล้ว”
ผมก็หาไว้เหมือนกัน...ไมเคิลเถียงอยู่ในใจ รูปเหล่านั้นเป็นฝีมือแนนซี่ทั้งหมด และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเอาไปติดไว้ในห้องทำงานส่วนตัว อย่างน้อยมันก็เป็นห้องของเขาไม่ใช่ของแม่ ประกายกล้าจุดขึ้นในดวงตาทันทีเมื่อมาถึงตรงนี้ และมาเรียนก็ดูเหมือนจะอ่านสีหน้าลูกชายออก
“แม่ครับ” ไมเคิลขยับขาที่ทอดตามสบายเข้ามาใกล้ตัว
“แม่คิดว่าเราเข้าไปคุยกันในห้องสมุดดีไหมจ๊ะ…?” มาเรียนมองไปทางแมทตี้ที่กำลังรินกาแฟให้ไมเคิลและวางลงให้ตรงหน้า “ถือกาแฟไปด้วยสิลูก”
“ดีครับ” เขาออกจะขอบใจในคำแนะนำของมารดาบางที การคุยด้วยเรื่องสำคัญอย่างนี้ก็ต้องการบรรยากาศที่สงบอยู่มาก ห้องกินข้าวของแม่เตือนใจให้นึกถึงแต่งานบอลรูมตามโรงแรมหรุหราทุกครั้ง ไม่ก่อให้เกิดความประทับใจในการสนทนาเลยสักครั้ง
เขาเดินตามมารดาออกไปจากห้องนั้น เดินลงบันไดที่พรมหนาเพียงสามขั้นก็ถึงห้องสมุด ซึ่งกรุผนังด้วยกระจกใสทิ้งม่านลูกไม้สีขาวเบาบางดูสว่างไปทั่วห้อง จากห้องสมุดนี้จะสามารถมองออกไปเห็นถนนสายฟิฟท์ อเวนิวกับเซ็นทรัลปาร์ก ซึ่งอยู่เลยไปไม่ไกลนัก มุมหนึ่งของห้องเป็นเตาผิงแบบโบราณ…ผนังทึบอีกสองด้านเต็มไปด้วยหนังสือที่มีคุณค่าและเหนือขึ้นไปคือรูปคุณพ่อ
พ่อผู้มีแววตาอบอุ่น แจ่มใส เหมือนใครสักคนหนึ่งที่เราใคร่ได้รู้จัก เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ ไมเคิลจำได้ว่า เคยหลบเข้ามาคุยกับรูปคุณพ่อ เขาจะพูดคุยกับพ่อด้วยเสียงที่ดังมาก เพราะแกรงว่าถ้าคุยค่อยแล้วพ่อที่อยู่ในรูปจะไม่ได้ยิน
และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่เข้ามาพบเขาตอนที่กำลังคุยอยู่กับพ่อพอดี แต่แม่กลับบอกว่า…เขาทำอะไรโง่ๆ ที่ไม่มีใครจะทำพิเรนได้ขนาดนี้…แต่แล้วก็ครั้งนั้นนั่นเอง ที่เขาแอบเห็นแม่นั่งร้องไห้และเงยหน้าขึ้นดูรูปพ่อเช่นเดียวกับที่เขาทำ…