บทที่ 2
มาเรียน... ผู้มีความแข็งแกร่งทั้งในกิริยาท่าทางและจิตใจ อย่างที่ผู้ชายหลายคนไม่อาจเทียบได้ ชีวิตที่ถูกหล่อหลอมให้ต้องรู้จักกับความรับผิดชอบในธุระกิจอันยิ่งใหญ่ของครอบครัว นับตั้งแต่บิดาและสามีของเธอถึงแก่กรรมลง นับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวเองมากขึ้น ผู้ใกล้ชิดทุกคนต่างรู้ดีว่า ไม่มีใครที่จะสามารถหยุดยั้ง……มาเรียน ฮิลยาร์ดได้
ดังนั้น ถ้าเธอไม่พึงประสงค์ที่จะให้ลูกชายแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน ก็จะไม่มีใครมีโอกาศได้ยินคำตอบผ่อนปรนหรือเปลี่ยนใจของเธอได้อย่างแน่นอน หรืออย่างที่ไมเคิลกำลังหลอกตัวเองกับแนนซี่อยู่ในขณะนี้...
เพราะแนนซี่ก็รู้ตัวดีว่า มาเรียน ฮิลยาร์ด มีความรู้สึกอย่างไรในตัวเธอ อย่างน้อยเมื่อตอนที่มาเรียนรับรู้ว่าไมเคิลกำลังมาหลงใหลจิตรกรสาวผู้นี้ใหม่ๆ เธอถึงกับเรียกตัวลูกชายลงไปนิวยอร์ก ทั้งปลอบทั้งขู่ให้เลิก
แต่ไมเคิลก็หนักแน่นพอที่จะปฏิเสธ มาเรียนจึงจำเป็นต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน ซึ่งแนนซี่ก็รู้ดีว่า นั่นไม่ใช่ชัยชนะที่ไมเคิลจะได้รับจากแม่ของเขาเลย เพียงแต่มาเรียนอ่อนข้อลงเพราะเห็นแก่ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของลูกชายเท่านั้น หลายๆ ครั้งที่แนนซี่สังหรณ์ใจว่า มาเรียนจะต้องรู้เบาะแสในประวัติและชีวิตความเป็นอยู่ของเธอ
อาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจที่ว้าเหว่ขาดที่พึ่งพิงนั่นเอง ที่แนนซี่เคยเอามารวมไว้ในความฝัน เป็นความฝันที่เพียรสร้างขึ้นเองว่า เธอกับมารดาของไมเคิลสามารถที่จะเข้ากันได้อย่างดี มีกิจกรรมต่างๆ ที่กระทำร่วมกันเพื่อความสุขของไมเคิล มาเรียนให้ความรักแก่เธออย่างมากมายและยอมรับนับถือในฐานะที่เธอเป็นคุณหญิงคนที่สองของตระกูลฮิลยาร์ดด้วย
แต่ความฝันนั้นก็ต้องสดุดหยุดลง เพราะในความเป็นจริงแล้ว มาเรียนจะไม่มีวันเข้ามาอยู่ร่วมกับเธอได้แม้ในความฝันด้วยซ้ำ อย่างน้อยช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ให้ประจักรชัดในข้อนี้ จะมีก็แต่ไมเคิลเท่านั้นที่พยายามต่อเติมความฝันของเธอให้ดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาให้ได้ และมั่นหมายว่าแม่ของเขาอาจจะพอใจในตัวเธอได้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ “อาจจะ” เท่านั้น
แนนซี่เองเคยตั้งคำถามกับไมเคิลอย่างจะบังคับให้เขาตอบว่า…ถ้ามาเรียนไม่ยอมรับในตัวเธอ ไม่ยินยอมอนุญาตให้แต่งงานกันแล้ว จะทำอย่างไรกันต่อไป…?
“เราก็จะกระโดดขึ้นรถแล้วไปที่ไหนก็ได้ที่ไกล้ที่สุดแต่งงานกันเสียให้สิ้นเรื่องก็เท่านั้นนะสิ เราโตแล้วนี่จริงไหมแม่หนู?”
ซึ่งแนนซี่ก็ยิ้ม เพราะรู้ดีว่า เรื่องจริงๆ แล้วมันไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เขาพูดเลย แต่ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน อย่างน้อย ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาก็เกือบจะเหมือนการแต่งงานกันจริงๆ อยู่แล้ว
ไมเคิลบีบมือเธอเบาๆ …
“ผมรักคุณจริงๆ นะสาวน้อย”
“ฉันก็รักคุณค่ะ” แนนซี่ตอบเรียบๆ “ค่ะ…แล้วฉันก็หวังว่าคุณจะสามารถทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นอย่างที่คิดไว้”
“ต้องได้สิน่า แล้วจะเห็นเองอย่าห่วงไปเลยนะ” เขายกมือขึ้นลูบปอยผมอย่างทะนุถนอม “เอาละ จะขี่รถกันต่อไปหรือว่าจะหยุดอยู่แค่นี้ล่ะ?”
แนนซี่ยิ้มให้เขา สลัดความรู้สึกที่คุกกรุ่นอู่ในใจออกไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำลายบรรยากาศอันน่ารื่นรมณ์ของเขาและเธอลง อย่างน้อย ตอนนี้ เธอก็ควรจะเสแสร้งแกล้งคิดเสียว่า มาเรียนจะไม่ขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้ของเธอกับไมเคิล…
อา…มาเรียน ผู้ไม่เพียงแต่จะกุมบังเหียนชีวิตของลูกชายตัวเองไว้เท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลเหนือชีวิตของเธออีกด้วย
แม้เมื่ออาทิตย์ลอยสูงขึ้นในท้องฟ้า แต่จักรยานคู่ของแนนซี่กับไมเคิลก็ยังเคียงข้างกันอยู่ และดูเหมือนต่างฝ่ายต่างจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดด้วยกันทั้งคู่ เกือบจะเที่ยงกว่าทั้งสองจะไปถึงหาดรีเวียรี่
“อ้าว…ไม่นึกเลยว่าจะมาพบกันที่นี่” ไมเคิลร้องเสียงดังและเมื่อแนนซี่มมองตามสายตาของเขาก็เห็นเบน อเวรี่กับคู่ควงคนใหม่หน้าตาน่ารัก
“เฮ้ย…นั่นใครน่ะ?” เบนทักเสียงดัง “นี่...มารู้จักเจเนตเพื่อนผมหน่อยสิ”
ทั้งคู่ต่างหันไปยิ้มให้กับเพื่อนใหม่ของเบน…
“จะเข้าไปเที่ยวกันในงานหรือไง?”
“งานอะไรคะ?” แนนซี่ถาม
“เขามีงานออกร้าน ก็งั้นๆ แหละ เจเนตซื้อของมาได้สองสามอย่าง”
“แล้วนี่คุณสองคนจะกลับกันละหรือ?”
“เออ…” เบนหันไปหัวเราะกับไมเคิล “เราออกกันมาตั้งแต่หกโมงเช้า คืนนี้นายพาแนนซี่ไปกินพิซซ่ากับเราที่หอสิ”
“เห็นจะไปไม่ได้ เพราะคืนนี้เรามีธุระสำคัญ เอาไว้วันอื่นก็แล้วกัน” ความคิดที่จะต้องไปพบมาเรียนเริ่มผ่านเข้ามารบกวนจิตใจของเขาอีกแล้ว
“โอเค เอาอย่างนั้นก็เอา แล้วพบกันนะ” เบนกับเจเนตโบกมือให้ก่อนจะไสจักรยานของตัวเองออกไป
ทันทีที่ลับร่างคนทั้งสอง แนนซี่ก็หันมาทางไมเคิล
“นี่คุณตั้งใจจะไปพบแม่คืนนี้จริงๆ น่ะหรือคะ?”
“อ้าว…ก็ใช่นะสิ แล้วคุณก็เลิกห่วงเรื่องนี้เสียที อะไรๆมันก็คงจะปลอดโปร่งขึ้นเองนั่นแหละ เออ…แต่เห็นแม่เล่าว่าเบนได้งานทำแล้วนี่”
“ใคร…อ๋อ…เบนนะหรือคะ แม่คุณเอาเขาไปทำงานด้วยอย่างนั้นหรือคะ?”
“ใช่ แม่หาตำแหน่งในบริษัทให้เราวันเดียวกันนั่นแหละแต่ให้อยู่กันคนละเมือง ใครๆ เขาว่าเบนกับผมเหมือนพี่น้องกันอยู่แล้ว”
“แล้วเขารู้หรือยังล่ะคะ?”
“ยังหรอก ผมคิดว่าควรจะบอกเขาให้เป็นเรื่องเป็นราวกว่านี้สักหน่อย ไม่อยากให้รู้ตัวล่วงหน้าเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น”
“คุณนี่ช่างเป็นคนดีจริงๆ เลยนะคะ ฉันรักคุณจริงๆ เลยค่ะไมค์”
“ครับ ขอบคุณมาก คุณนายฮิลยาร์ด”
“นี่...เลิกเรียกฉันอย่างนี้เสียทีเถอะค่ะ ไม่อยากได้ยินเลย…”
“อ้าว…ไม่ดีหรือ คุณจะได้ชินกับมันยังไงล่ะ”
“ไม่เอาหรอกค่ะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วยถ้ามันถึงเวลาเข้าจริงๆ ฉันก็คงคุ้นกับมันไปเอง เอาไว้ให้ถึงตอนนั่นจริงๆ เสียก่อนเถอะ คอยดูฝีมือแนนซี่ แม็คอริสเตอร์บ้าง”
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ต้องดูฝีมือไมเคิล ฮิลยาร์ดเสียก่อนรับรองว่าเรื่องจะต้องเรียบร้อยภายในไม่เกินสองอาทิตย์นี้แน่...ผมรับรองจริงๆ นะ…ว่าแต่ถ้าเราจะไม่เข้าไปในงาน ผมว่าเราไปเที่ยวหาดนาฮันกันยังจะดีเสียกว่า”
“ดีค่ะ ฉันชอบที่นั่น”
ทั้งคู่ขี่จักรยานเคียงข้างกันไปเงียบๆ บนเส้นทางที่ร่มรื่น ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในความคิดที่ลึกซึ้ง อย่างน้อยอิทธิพลของมาเรียน ก็ทำให้ใจคอหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
“เอ้า…ถึงแล้ว นั่นไง นาฮันที่คุณอยากเห็น”
สีหน้าของแนนซี่บอกความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“สวย…สวยจริงๆ เลยค่ะไมค์ ฉันไม่คิดเลยว่าบนพื้นโลกนี่จะมีที่สวยๆ งามๆ อย่างนี้”
ท่าทางตื่นเต้นของเธอจับใจเขาอย่างบอกไม่ถูก…
“ผมเคยคิดมานานแล้วว่าสักวันหนึ่งจะต้องพาคุณมาถึงที่นี่ให้ได้ ความจริงมันก็ไม่ได้ไกลจากที่พักของเราสักเท่าไหร่นัก แต่เราก็มาไม่ถึงกันสักที”
“นั่นนะสิคะ มันเป็นไปได้ยังไงที่มีเนินหญ้านุ่มๆ อยู่เหนือชายหาด…” เธอกวาดสายตามองไปโดยรอบ เต็มตื้นด้วยความสุข เกลียวคลื่นม้วนตัวเป็นระลอกอยู่เหนือผืนน้ำทะเลสีเขียวมรกต
“ผมเคยคิดว่า ที่ตรงนี้เหมาะที่สุดที่คุณจะเขียนรูปแล้วเราก็หาบ้านสวยๆ ให้รูปนั้น”
“อย่างนั่นหรือคะ…คุณใจดีกับฉันเสมอเลยค่ะไมค์” ดวงตาสีฟ้าเข้มของเธอเป็นประกาย แต่แล้ว เธอก็ทำท่าหันรีหันขวาง
“นั่นคุณจะทำอะไร?”
“กำลังคิดจะทำอะไรสักอย่างน่ะสิคะ”
“ไปทางโน้นแน่ะ หลังพุ่มไม้โน่น”
“บ้า…ไม่ใช่อย่างนั่นสักหน่อย” เธอหัวเราะเบาๆ เดินเกมวิ่งไปที่ก้อนหินใหญ่ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมหาด พยายามออกแรงผลักเพื่อให้มันเขยื้อนออกจากที่
“โธ่เอ๊ย…แม่หนู นั่นคุณคิดจะกลิ้งหินลงทะเลหรือยังไง…คนเดียวมันไหวเมื่อไหร่กันเล่า…มา…ผมจะช่วย”
“ก็ไม่ถึงกับให้มันตกทะเลหรอกค่ะ อยากจะทดสอบฝีมือกับธรรมชาติสักหน่อยเท่านั้น”
ดวงตาของเธอฉายแสงปริ่มสุข… ไมเคิลก้มลงมองใบหน้าเล็กๆ อย่างแสนรัก
“คุณเป็นสุขมากจริงๆ หรือแนนซี่?”
“ค่ะ…ทำไม เล่าคะ ในเมื่อเราโชคดีที่สุดแล้วที่มีความรัก เราก็ควรจะต้อนรับมัน สร้างบ้านที่อบอุ่นให้กับมัน...”
“ใช่…คุณถูก…ถูกต้องอย่างที่สุด ถ้าอย่างนั้น เอาที่ตรงนี้เป็นบ้านให้กับความรักของเราดีไหม?”
“ค่ะ…แต่ฉันไม่อยากให้มันเป็นบ้านที่เลื่อนลอยเลยเราอาจจะบ้าที่ทำเรื่องเพ้อๆ ฝันๆ ไปตามลมตามแล้ง แต่ฉันก็ยังอยากให้มันเป็นบ้านที่มีแต่ความอบอุ่นอย่างแท้จริงเราควรจะมีการให้คำมั่นสัญญากันด้วยดีไหมคะ…ฉันสัญญาว่าจะไม่ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคำพูดของคุณในวันนี้แล้วก็จะไม่ลืมด้วยว่า เราจะตั้งให้สถานที่นี้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักของเรา แล้วคุณล่ะคะ?”
“ผมก็จะขอสัญญาว่า จะไม่มีวันกล่าวคำอำลาจากคุณเลยจนชั่วชีวิต เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ”
ทั้งคู่ต่างเปร่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเริงรื่น ที่ได้ทำตัวเป็นเด็กอีกครั้ง
“เราบ้าไปแล้วหรือเปล่าคะนี่?”
“ถ้าเราบ้า คนที่มีความรักทั้งโลกก็ต้องบ้าด้วย จริงไหม?”
ต่างกุมมือกันและกันไว้ และต่างก็ครุ่นพะวงสงสัยอยู่ในส่วนลึกของหัวใจว่า… ความรักของเขาและเธอนั้นจะดำรงความเป็นนิรันดร์ได้จริงละหรือ?