บทที่ 1
จักรยานคู่นั้นขับคลอกันไปบนเส้นทางที่อาบด้วยแสงตะวันยามอรุณรุ่งแห่งเช้าของวันในเดือนพฤษภาคมบ่อยครั้งที่สองหนุ่มสาวจะหันมาตบตากัน ยิ้มให้กันอย่างอ่อนหวาน ใบหน้าที่อ่อนเยาว์สดชื่นแจ่มใสด้วยวัยแรกรัก
“ว่ายังไงคะ ท่านสถาปัตย์บัณฑิต ทำไม เงียบไป เกิดคิดอะไรขึ้นมาอีกล่ะ?”
“เอาไว้อีกสองอาทิตย์ค่อยถามผมอย่างนี้ได้ไหม ไว้ให้รับปริญญาเสียก่อน” เขาสะบัดไหล่ไล่เส้นผมที่ปรกลงบนหน้าผาก
“แหม…ไม่ได้ถามเรื่องนั้นสักหน่อย ฉันหมายถึงงานเต้นรำเมื่อคืนนี้ต่างหาก”
“อ๋อ…เยี่ยมมาก แล้วคุณล่ะ คุณแม็คอลิสเตอร์ ยัง เดินไหวอยู่หรือเปล่า?” เขาทำเสียงล้อเลียนเธอด้วยอารมณ์รื่นเริง
“ก็คุณละคะ…?” เธอย้อนถาม หัวเราะระรื่น หักแฮนด์จักรยานเข้าไปหา
ในยามอรุณรุ่งที่แสนหวานเช่นนี้ ไมเคิลเริ่มจมดิ่งลงสู่ภวังค์แห่งความคิด เมื่อสองปีก่อนหน้าที่เขาจะได้รู้จักกับเธอชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดดูช่างแห้งแล้งเสียเหลือเกิน แม้จะมีเพื่อนหญิงที่สนใจในตัวเขาอยู่มากมาย แต่ก็เป็นเพียงเพื่อนเที่ยวสนุกกันเท่านั้น ไมเคิลรู้ตัวอยู่เสมอว่า มันมีบางสิ่งบางอย่างของวัยหนุ่มที่ขาดหายไปจากตัวเขา แม้ว่าเมื่อฤดูร้อนปีกลาย เขาจะมีสาวน้อยถึงสามคนเป็นคู่ควง
และในตอนหนึ่งของช่วงนั้น ที่เขาเกิดไปมีความสัมพันธ์เข้ากับบรรณาธิการข่าวสตรีของนิตยสารโว้ก ซึ่งเป็นเพื่อนของแม่ เขาตื่นเต้นไปพักหนึ่งกับความสัมพันธ์ที่ลักลอบ เพราะแม่ไม่รู้ หรืออาจจะคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ก็ตาม เพราะเธอผู้นั้นอายุสามสิบกว่าเข้าไปแล้ว ทุกวันนี้เขาก็ยังอดคิดด้วยความวาบหวานใจไม่ได้ ไฟหนุ่มแทบจะคุโชนขึ้นเมื่อรำลึกถึงความสวยสด ทันสมัย ปราดเปรียวแต่อ่อนหวานยิ่งนักของเธอผู้นั้น ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะลักษณะดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้เธอใจกว้างพอจะรับการเลิกลาอย่างหน้าชื่น…แต่แนนซี่ไม่ใช่คนแบบนั้น
เขารู้ได้ทันทีว่าเธอไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เขาเคยผ่านมา นับแต่นาทีแรกที่ได้เห็นกันในบอสตัน แกลเลอรี่ ซึ่งเธอจัดนิทรรศการภาพเขียนของตัวเองขึ้น ร่างเล็กๆ นั้นนั่งอยู่โดดเดี่ยวในท่ามกลางผู้คนที่กำลังเข้าชมงาน แต่งเนื้อตัวด้วยเสื้อผ้าที่แสนจะธรรมดาออกจะค่อนข้างเก่าเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้น ความผ่องใสของผิวพรรณก็ยังฉายออกมาให้เห็นอยู่เด่นชัด ดวงตาเป็นประกายสดใส รอยยิ้มมีชีวิตชีวา ทันใดนั้นเขาก็บังเกิดความปรารถนาขึ้นมาอย่างลึกลับ เขายอมรับว่า มันเป็นความปรารถนาอย่างที่ไม่เคยมีต่อผู้หญิงคนไหนมาก่อน…
วันนั้น… เขาซื้อภาพของเธอถึงสองชิ้น พร้อมทั้งเชิญให้ไปดินเนอร์ที่ล๊อคโคเบอร์ด้วย… และแล้ว… แนนซี่ แม็คอลิสเตอร์ ก็เป็นเช่นที่เขาคิดไว้จริงๆ เธอไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายที่จะตื่นเต้นไปกับฐานะอันมั่งคั่งของเขา และความรักเป็นสิ่งที่จะต้องใช้เวลาพอสมควรสำหรับเธอ
อาจจะเป็นเพราะความอ้าว้างว้าเหว่ที่เคยได้รับมาแต่วัยเด็กนั่นเอง ที่ทำให้เธอไม่กล้าพอที่จะตกลงปลงใจกับใครง่ายๆ แม้จะอยู่ในวัยเพียงสิบเก้าปี แต่แนนซี่ก็รู้จักกับความเจ็บปวดของชีวิตมามากและฉลาดพอที่จะปกป้องตัวเองไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้อีก…ความเจ็บปวดที่ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่แต่เพียงลำพัง อย่างโดดเดี่ยว ไร้ที่เพิ่งพิง…ถูกเลี้ยงและเติบโตขึ้นมาในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่อ่อนเยาว์ แม่ที่เธอรู้จักก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ส่งเธอเข้าไปอยู่ที่นั่น ก่อนที่จะตายจากไปในเวลาต่อมาไม่นาน
ในวัยที่เริ่มจะจำความได้ แนนซี่รู้จักเพียงแต่กลิ่นของคนแปลกหน้า ทุกยามเช้าที่สำเนียงแห่งอรุณรุ่งเริ่มขึ้น ที่เธอต้องกล้ำกลืนน้ำตาแห่งความขมขื่น ความโหยหาอาวรณ์อ้อมอกที่อบอุ่น ความทรงจำเช่นนั้นฝั่งลึกลงไปในจิตใต้สำนึกย้ำเตือนจนเธอไม่กล้าพอที่จะก้าวเกินขอบขั้นของเส้นชีวิตที่ขีดไว้ให้ ความเดียวดายอ้างว้างนั้นมากมายจะไม่คิดว่าจะมีสิ่งอื่นใดในโลกนี้มาเติมให้เต็มได้อีก…แต่ในยามนี้ เธอเริ่มจะแน่ใจว่าเธอมีไมเคิลแล้ว…
แม้ว่า มันจะเป็นสัมพันธภาพที่สร้างขึ้นไม่ง่ายนักแต่ก็ฟักตัวแข็งแกร่งขึ้นทุกวารวัน… เป็นความสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือนเอาโลกของคนสองคนมารวมกันเข้า ก่อให้เกิดประติมากรรมอันวิจิตรและมั่นคง
แต่ไมเคิลรู้ดีว่า มารดาของเขาจะไม่มีวันยินยอมรับแนนซี่เข้ามาร่วมสกุลได้อย่างเต็มใจ เพราะเขาเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลฮิลยาร์ด ซึ่งมีทั้งพลังและอำนาจทางการเงินอย่างมหาศาลและอำนาจนั้นก็อยู่ในมือมาเรียน ฮิลยาร์ด แต่เพียงผู้เดียว นับตั้งแต่เฟอเดอริค ฮิลยาร์ด ผู้สามีถึงแก่กรรมลง
ไมเคิลลอบชำเลืองมองสาวน้อยที่กำลังขี่จักรยานอยู่เคียงข้าง ผู้หญิงซึ่งมีลักษณะเชื่อมั่นในตนเองคนนี้ที่เขากำลังหลงรักจับใจ ผู้หญิงที่เขาเชื่อแน่ว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าจะสามารถรับผิดชอบในกิจการงานและการเงินของตะกลูร่วมกับเขาได้ แม้ว่าโรงเลี้ยงเด็กำพร้าแห่งนั้นจะไม่ได้สั่งสอนอบรมให้เธอพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นคุณหญิงคนต่อไปของฮิลยาร์ดก็ตาม แต่ไมเคิลเชื่อตัวเองว่าเขาได้พบคนที่ต้องการแล้ว
อารมณ์ของเขาเริงรื่นขึ้นเมื่อเห็นเธอปั่นจักรยานห่างออกไป…
“เดี๋ยวสิ…คอยผมด้วย แม่กระต่ายน้อย” จักรยานคันของเขาปั่นขึ้นไปจนทันเธอ “คุณคนสวย รู้หรือเปล่าว่าวันนี้คุณสวยมาก…แล้วรู้บ้างไหมว่าผมน่ะรักคุณมากแค่ไหน?” เขาถามยิ้มๆ
“ก็คงสักครึ่งหนึ่งที่ฉันรักคุณละมังคะ” เธอหันมายิ้มหวานให้
“ครับผม นั่นแสดงว่าคุณรู้จริงๆ นั่นแหละว่าผมรักคุณแนนซี่…แล้วก็จะบอกให้ด้วยว่าที่จริงแล้ว ผมรักคุณถึงเจ็ดเท่าที่คุณรักผมต่างหากถึงจะถูกต้อง”
“ไม่จริงหรอกค่ะ เพราะถึงยังไงฉันก็ยังรักคุณมากกว่าอยู่นั่นเอง”
“คุณจะมารู้ใจผมได้ยังไง?”
“ก็ซานตาคอสบอกฉันน่ะสิคะ” เธอหัวเราะเสียงใสก่อนจะปั่นจักรยานขึ้นหน้าเขาอีกครั้ง
ไมเคิลมองตามร่างเล็กๆ ที่นั่งอยู่บนอานอย่างรักใคร่ตัวเธอเล็กนิดเดียว เอวคอดกิ่ว สเวตเตอร์สีแดงที่คลุมไหล่ดูจะหลวมไปเสียด้วยซ้ำ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเลื่อนลายอยู่ในสายลมปานเส้นไหม เขาไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะมองดูเธอเลยและในยามนั้นที่ไมเคิลคิดว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะได้พูดเรื่องสำคัญที่คิดไว้ในใจเสียที พูดในเช้าวันนี้เลย เพราะเป็นการตัดสินใจที่เขารอเวลามานานหลายวันแล้ว
เขาแตะมือลงบนไหล่เธอเบาๆ ทันทีที่ปั่นจักรยานขึ้นไปทันกัน...
“ขอโทษครับ คุณนายฮิลยาร์ด…”
แนนซี่ถึงกับสะดุ้ง หันมายิ้มให้เขาอายๆ
“คุณพูดว่าอะไรนะคะ?”
“ผมเรียกคุณว่าคุณนายฮิลยาร์ดยังไงล่ะ”
“ไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ ไมเคิล?”
ไมเคิลส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาเป็นประกายพราว รู้สึกกังวนลึกๆ อยู่ในใจเมื่อนึกไปถึงมารดา…มาเรียนอาจไม่ทันคิดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายคนเดียวกับสาวน้อยคนนี้จะก้าวไปไกลถึงเพียงนี้
“ไม่เร็วหรอก… แล้วผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่า เราควรจะแต่งงานกันเสียทีในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้แหละ ทันทีที่ผมรับปริญญาเรียบร้อยแล้ว…ที่จริง ผมกำลังคิดว่าจะลงไปนิวยอร์ก ไปพูดกับแม่เสียให้เสร็จเรื่องคืนนี้เลยด้วยซ้ำ”
“คืนนี้เลยหรือคะ?” น้ำเสียงของเธอบอกความหวาดหวั่นอย่างช่วยไม่ได้ แนนซี่ชะลอจักรยานลงทันทีหันไปมองหน้าเขาและไมเคิลก็ผงกศีรษะรับคำถามนั่นอย่างหนักแน่น
“ว่าแต่…คุณคิดว่าคุณแม่ของคุณจะตอบว่ายังไงคะไมค์...?” เธอกลั้นใจถาม กลัวคำตอบที่จะได้รับอย่างเหลือประมาณ
“นั่นสิ…แต่ทำไม คุณจะต้องไปกังวนกับคำตอบนั่นด้วยเล่า…?” เขาหันไปเลิกคิ้วถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า เขากำลังตั้งคำถามโง่ๆ ให้กับทั้งตัวเองและแนนซี่ เพราะเขารู้อยู่เต็มหัวใจว่า จะไม่มีวันพูดเรื่องนี้กับมาเรียนได้ง่ายๆ