ตอนที่ : 12 เจ้าหนูทำพิษ
6
เจ้าหนูทำพิษ
นิภาใช้ชีวิตลำบากขึ้นในแต่ละวัน เพราะท้องเริ่มโย้และใหญ่ขึ้นทุกที ยายหนึ่งก็ประคบประหงม แทบไม่ให้หยิบจับอะไรหนัก ๆ อย่างมากก็ให้นั่งหั่นผักช่วยตอนทำกับข้าว ข่าวคราวของธาวิศเงียบ หายไปจากชีวิตของหญิงสาว นิภาคิดว่าเขาคงกำลังมีความสุขอยู่กับคนรัก และไม่ได้กลับมาเยี่ยมที่บ้านอีกจนถึงวันที่เธอได้กำหนดคลอดลูก
“ดีนะที่มีห้องเดี่ยวว่างอยู่พอดี ไม่งั้นแย่เลยยัยภา” นางเมธาวีบอกระหว่างใช้ปลายนิ้วเขี่ยแก้มน้อย ๆ ของทารกเพศชายในอ้อมแขน
“โรงพยาบาลรัฐก็แบบนี้แหละคุณมด หาเตียงว่างยากจะตายไป เราก็ไม่ได้ให้หนูภา เข้าไปเตรียมคลอดในตัวจังหวัดตั้งแต่แรกด้วย” นายอนุสรณ์นั้นมีความคิด อยากให้เข้าไปจองวันคลอดในโรงพยาบาลเอกชนในตัวจังหวัด แต่นิภาบอกมันเป็นเรื่องสิ้นเปลือง และยุ่งยากจนเกินไป เพราะนั่นเท่ากับว่าต้องให้ยายหนึ่ง ไปเฝ้าตั้งแต่ยังไม่ได้คลอดเลยด้วยซ้ำ
“ภาอยู่ได้หมดค่ะคุณลุงคุณป้า ความจริงห้องรวมที่นี่ภาก็อยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกหนูภา คุณป้าเขาอยากดูแลเรื่องคลอดให้ ดูสิเห่อหลานยังกับเป็นหลานแท้ ๆ ของตัวเอง”
คำพูดเปรียบเปรยของนายอนุสรณ์ ทำคนบนเตียงถึงกับสะดุ้ง นิภาก้มหน้าลงแล้วรู้สึกว่า เธอกำลังทำผิดอยู่หรือเปล่าที่ไม่ให้ปู่กับย่ารู้ ว่าเด็กคนนี้คือหลานแท้ ๆ ของพวกเขา แต่คิดอีกแง่หนึ่ง วันข้างหน้าธาวิศก็ต้องมีหลานให้พวกท่านอยู่แล้ว คงไม่เป็นไรหรอก
“แล้วตั้งชื่อไว้หรือยังยัยภา”
“ยังเลยค่ะคุณป้า คุณป้าช่วยคิดชื่อให้ลูกภาได้ไหมคะ โตขึ้นเขาจะได้รู้ว่าคุณย่าใจดีตั้งชื่อให้” นิภาต้องการให้ปู่กับย่า ตั้งชื่อให้หลานตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
“ต้องเรียกฉันว่าคุณยายสิ จะเรียกคุณย่าได้ไง เธอไม่ใช่ลูกสะใภ้ฉันนะยัยภา” นางเมธาวีหันมาเอ็ดคนบนเตียงเล็กน้อย แล้วยิ้มให้ทารกในอ้อมแขนอย่างคนมีความสุข
“ค่ะ ๆ ภาจำผิดไป” นิภายิ้มกลบเกลื่อนกับความจริง ที่เธอเจตนาพูดออกไปเช่นนั้นเอง เผื่อความผิดในใจจะได้น้อยลง
“ว่าแต่เราจะตั้งชื่อตาหนูนี่ว่าอะไรดีนะคุณนุ”
“ผมก็ไม่ได้นึกมาด้วยสิคุณมด”
“เอ ชื่ออะไรดีน้า ตาภูมิ น้องภีม น้องภัทร เออ ใช่น้องภัทรนี่แหละ จะได้คล้องจองกับตาภูมิไง ชื่อจริงณภัทรที่แปลว่าผู้ดีงามด้วยความรู้ ดีไหมคุณนุ” นางเมธาวีหันไปพูดกับสามี นิภาได้ยินก็ถึงกับนิ่งเงียบไปในทันที แอบกลืนน้ำลายลงคอเบา ๆ กับเรื่องที่ได้ยิน
“ฟังดูความหมายดีนะคุณมด แต่ทำยังกับเป็นลูกตาภูมิตั้งชื่อซะคล้องจองกันขนาดนั้น หนูภาล่ะเห็นด้วยไหมลูก” นายอนุสรณ์หันมาถามนิภาบ้าง
“ภาตามใจคุณลุงกับคุณป้าเลยค่ะ” นิภาอดคิดไม่ได้ว่านี่คงเพราะโชคชะตา ที่อยากให้ลูกได้ชื่อคล้องจองกับพ่อ
“งั้นก็ตามนี้ยัยภา น้องภัทรหลานของยาย น่ารักเนอะคุณนุ เมื่อไหร่ตาภูมิจะมีหลานแบบนี้ให้เราสักทีก็ไม่รู้”
“ช่างตาภูมิเถอะคุณมด ตอนนี้ก็เลี้ยงน้องภัทรไปก่อนก็แล้วกัน ดูท่าคุณจะเห่อหลานกว่าแม่แท้ ๆ ของแกอีกนะ”
“ก็ธรรมดาล่ะ ฉันไม่เคยมีหลานนี่นา สงสัยจะหิวนมแล้วไปหาแม่นะลูก เอ้า ยัยภาป้อนนมให้น้องภัทรด้วยอ้าปากรอแล้วนี่” นางเมธาวีอุ้มน้องภัทรไปยื่นให้คนเป็นแม่ นิภายื่นมือออกไปรับลูกชายของตนมาอุ้มไว้ แต่ยังไม่ทันให้นมในทันที
“ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับกันเลยก็แล้วกันเนอะคุณมด เดี๋ยวให้ยายหนึ่งมาเฝ้าหนูภาคืนนี้” นายอนุสรณ์ชวนภรรยากลับ เพื่อที่แม่จะได้ให้นมลูกสะดวก
“ดีเหมือนกันค่ะคุณนุ อยู่คนเดียวได้ไหมยัยภาระหว่างนี้”
“อยู่ได้ค่ะคุณป้า”
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็กดออดเรียกนางพยาบาลนะ ดูน้องภัทรดี ๆ ด้วยล่ะ มีอะไรผิดปกติอย่าวางใจเด็ดขาด เดี๋ยวไม่เกินชั่วโมงยายหนึ่งก็มาแล้ว”
“ขอบคุณคุณลุงกับคุณป้ามากนะคะ ที่เดินเรื่องทุกอย่างให้ภากับลูก”
“ไม่เป็นไรหรอกยัยภาไม่ต้องคิดมากนะ ให้นมลูกได้แล้ว ไปคุณนุเรากลับบ้านกัน” นางเมธาวีดันหลังสามีให้ออกจากห้องพักคนไข้ไป
ประตูปิดลงนิภาก็ก้มลงมองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน ใช้นิ้วชี้เขี่ยแก้มยุ้ย ๆ อย่างภาคภูมิใจ น้องภัทรคลอดออกมา ด้วยน้ำหนักสามกิโลกรัมกับอีกหนึ่งขีด ซึ่งถือว่าเป็นน้ำหนักตัวที่ค่อนข้างสมบูรณ์ หญิงสาวปลดสายชุดโรงพยาบาลออก เพื่อให้นมแก่ลูกน้อย
‘น้องภัทรลูกพ่อภูมิ เอาไว้โตขึ้นแล้วแม่จะบอกความจริงนะลูก’
ป้อนนมไปสักพักใหญ่ ๆ น้องภัทรก็หลับคาอกของแม่ นิภาค่อย ๆ พาลูกไปนอนยังเตียงเด็กด้านข้างอย่างระมัดระวัง เพราะกว่าจะนอนได้ในแต่ละครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอจึงรีบปีนขึ้นเตียงนอนตามลูกไปด้วย
ยายหนึ่งมาเฝ้านิภาที่โรงพยาบาลสามวันเต็ม ผลตรวจสุขภาพของแม่และลูกในวันที่สาม ปรากฏว่าแข็งแรงด้วยกันทั้งคู่ คุณหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ วันนี้นายอนุสรณ์ขับรถมารับนิภาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง เพราะนางเมธาวีนั้นมัวแต่เห่ออยู่กับซื้อของใช้ที่จำเป็นให้นิภากับลูก
ครั้นเดินทางมาถึงห้องนิภาถึงกับผงะ มีเตียงเด็กกับของใช้เด็กวางอยู่เต็มห้อง เพิ่มตู้เสื้อผ้าของเด็กเข้ามาใหม่อีกอันด้วย หญิงสาวหันไปมองทั้งคู่อย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณคุณลุงกับคุณป้ามากนะคะ ที่เมตตาภากับลูก”
“ไม่เป็นไรหรอกยัยภา มา ๆ ลองเอาน้องภัทรลงนอนในเตียงดู ถ้าให้นอนบนเตียงกับภาป้าว่ามันไม่ปลอดภัย เคยมีข่าวแม่นอนทับลูกตัวเองตายด้วยนะ ป้าเลยว่าให้นอนเตียงตั้งแต่เด็กนี่แหละ”
“ค่ะคุณป้า” นิภาค่อย ๆ วางตัวน้องภัทรลงบนเตียงเด็กอย่างเบามือ คนซื้อให้ก็ยืนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ด้านหลัง
“โตวันโตคืนเลี้ยงง่ายกินง่ายนะลูก” นางเมธาวีเดินเข้าไปอวยพรเด็กน้อยบนเตียง พลางลูบศีรษะน้อย ๆ อย่างเอ็นดู
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณป้า คุณลุงแล้วก็ยายหนึ่งด้วย” นิภาหันมายกมือขึ้นไหว้ขอบคุณทั้งสามคน ที่ช่วยกันดูแลเธอจนถึงวันนี้ วันที่น้องภัทรได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก
“ไม่เป็นไรหนูภา ยายจะช่วยหนูภาเลี้ยงน้องภัทรเองไม่ต้องกลัวนะลูก มีอะไรถามยายได้” ยายหนึ่งพูดแบบคนพร้อมจะช่วยนิภาเลี้ยงลูกอย่างเต็มใจ
“ยายหนึ่ง”
“คะคุณมด”
“เคยมีลูกเหรอ ได้ข่าวว่ายายหนึ่งโสดจนแก่ไม่ใช่หรือยังไง” นางเมธาวีทำหน้าเหมือนไม่ไว้ใจ ยายหนึ่งเลยยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะกลบเกลื่อนในประโยคต่อมา
“คุณมดล่ะก็ ถึงไม่เคยมีเป็นของตัวเอง แต่ก็เคยเลี้ยงหลานมาก่อนนะคะ”
ทุกคนพลอยหัวเราะไปกับคำพูดของยายหนึ่ง บรรยากาศของบ้านดูมีสีสันขึ้นมาทันตา แต่แล้วในความสุขใจนั้น ก็ดันมีความทุกข์กายแฝงอยู่ด้วย และคนที่ต้องรับกรรมหนักกว่าใครเพื่อน ก็คือนิภากับยายหนึ่ง
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน
“ยายหนึ่งเป็นไงบ้าง” นายอนุสรณ์ถามคนที่เดินตาลอย ๆ มาเสิร์ฟกาแฟให้ตนกับภรรยา
“ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยค่ะคุณนุ นี่สามวันติดแล้วนะคะ ขนาดหนูภาเอากระดาษมาอุดรูประตูไว้ เสียงร้องของน้องภัทรก็ทะลุมาที่ห้องยายทุกวันเลยค่ะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอยายหนึ่ง ทำไมตอนคุณมดคลอดตาภูมิไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย” นายอนุสรณ์หันไปถามภรรยา
“เด็กแต่ละคนมันไม่เหมือนกันค่ะคุณนุ แล้วนี่ร้องตอนกี่ทุ่มล่ะยายหนึ่ง”
“อย่าเรียกว่าทุ่มเลยค่ะ ร้องตั้งแต่เที่ยงคืนยันตีสองทุกวันเลยค่ะคุณมด หนูภาก็สลบตามลูกไปเหมือนกันค่ะตอนนี้ ข้าวปลาก็กินไม่ค่อยตรงเวลา ยายล่ะเป็นห่วงจริง ๆ”