๘ แย่งชิง (๒)
หมอตฤณกดล็อกรถแล้วเดินเข้ามาภายในคอนโดใกล้โรงพยาบาล เขาซื้อไว้เพื่อสะดวกต่อการทำงานหากวันไหนเลิกดึกจะได้ไม่ต้องขับรถกลับบ้านให้เหนื่อย ใบหน้าคมมีแววอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด เขากลับจากบ้านณชาโดยไม่ได้ลงไปไหว้คุณศลิษาด้วยซ้ำ แค่มองตาแฟนสาวเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะบอกเลิกตนเอง
คิดแล้วก็กลุ้มจนถอนหายใจออกมาเสียงดังระหว่างรอลิฟต์
“ถอนหายใจดังจังเลย”
หันไปมองต้นเสียงก็พบเพื่อนสนิทอย่างคุณหมอหวานใจที่หอบเอกสารมากมายกลับบ้านด้วย เขายิ้มออกมาแล้วแย่งเอกสารในมือหญิงสาวมาถือเสียเองจนคนตัวเล็กมองตาโตภายใต้แว่นกลม
“ของเรานะ”
“ขอถือให้แล้วกัน กลัวว่าหวานจะแขนหัก”
หนังสือที่ถือก็ไม่ได้เล่มหนาอีกอย่างแขนเธอก็ไม่ได้เล็กเสียหน่อย เธอส่ายหน้ารู้ดีว่าเป็นเพียงข้ออ้างของชายหนุ่มเท่านั้น แค่บอกว่าอยากช่วยก็พูดไม่ได้
“ทำไมวันนี้กลับเร็ว ปกติถ้าไม่ถึงหกทุ่มคุณหมอณัชชาไม่กลับไม่ใช่เหรอครับ” เอ่ยล้อเลียนจนเพื่อนต้องถอนหายใจใส่บ้าง
ลิฟต์เปิดออกทั้งสองจึงยุติการสนทนาเข้าไปภายในลิฟต์กดชั้นปลายทาง ระหว่างนั้นหมอตฤณก็ชวนคุยเรื่องงานกระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านอกจากจะอยู่คอนโดเดียวกันแล้วห้องของพวกเขายังตรงข้ามกันอีกด้วย ณัชชามาเช่าคอนโดแห่งนี้เพราะเห็นว่าใกล้ที่ทำงานไม่ต้องนั่งรอรถติดเป็นชั่วโมง และตฤณก็คงคิดแบบเดียวกันไม่เช่นนั้นคงไม่มาอยู่คอนโดแห่งนี้
แต่การที่ห้องของพวกเขาอยู่ตรงข้ามกันนั้นสร้างความตกใจให้ทั้งสองจนเอามาพูดหลายต่อหลายครั้ง ช่างบังเอิญเสียเหลือเกินจนณัชชาแอบคิดว่าพระพรหมคงเป็นใจให้ได้ใกล้ชิดกันเผื่ออีกฝ่ายจะหันมามองบ้าง
แต่เปล่าเลย..
ตฤณมีแฟนแล้ว และดูเหมือนจะรักหญิงสาวคนนั้นมากเสียด้วย
“กินข้าวเย็นรึยัง” ชายหนุ่มหันมาถามด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าคุณหมอณัชชาไม่ชอบกินข้าว ส่วนมากก็มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นเพื่อนคู่ใจ
“เราไม่หิว”
ได้ยินก็ถอนหายใจทันที
“ไม่ได้ ทำงานมาทั้งวันต้องกินข้าวเพิ่มพลัง”
ร่างบางยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา
“แต่มันสองทุ่มแล้วนะ กินแล้วก็อ้วน”
..ไม่อยากจะเชื่อว่าคนผอมเหมือนไม้ตะเกียบเดินได้จะกลัวอ้วน เป็นแบบนี้สิยิ่งต้องขุนให้ดูมีน้ำมีนวลมากกว่านี้
ตฤณคว้าข้อมือเล็กแล้วกดรหัสประตูห้องตนเองอย่างรวดเร็วจูงกึ่งลากร่างบางเข้ามาด้วยกัน
เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าห้องของอีกฝ่ายจึงอดสำรวจไม่ได้ เหมือนที่ทางคอนโดจัดให้ไม่มีผิดเจ้าของห้องแทบไม่เปลี่ยนอะไรเลย เข้ามาก็เป็นชั้นวางรองเท้า มีห้องอาหารอยู่ด้านขวาแยกโซนชัดเจน โต๊ะอาหารและเก้าอี้สี่ตัว
“รอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวจะทำอาหารเย็นให้รับประทานนะครับคุณหนู” พาเธอมาที่ห้องนั่งเล่นวางของทั้งหมดไว้บนโซฟาส่วนตนเองก็พับแขนเสื้อขึ้นเพียงศอก เดินเข้าครัวเปิดตู้เย็นดูของสดว่าพอจะทำอะไรให้แขกกินได้บ้าง ใบหน้าคมยิ้มออกมาเมื่อคิดเมนูได้ เขาหยิบอกไก่ออกมาพร้อมกับผักสดที่ซื้อไว้ตั้งแต่วันก่อน
“มีอะไรให้เราช่วยไหม”
เขาหันหลังมามองเห็นคนตัวเล็กมองอย่างเกรงใจก็กวักมือเรียกเธอ
“ล้างผักให้หน่อยแล้วกัน เราจะทำสลัดกับสเต๊ก”
พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน หยิบผักสดออกมาล้างอย่างชำนาญ เธอตามคุณป้าเข้าครัวบ่อยครั้งแต่ก็ได้แค่ช่วยเล็กน้อย ฝีมือการทำอาหารของณัชชาเข้าขั้นแย่จึงไม่ค่อยทำกิน ที่เห็นจะรอดก็มีแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น
ดวงตากลมโตแอบเหลือบมองชายหนุ่มที่ดูชำนาญในการทำอาหาร แอบอมยิ้มคนเดียวไม่เคยเห็นมุมนี้ของเขาเลย ส่วนมากตฤณมักจะซื้ออาหารมาให้แต่เธอไม่รู้ว่าเขาทำอาหารเป็นด้วยเขาดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีกจนละสายตาไม่ได้
ระหว่างที่ชายหนุ่มจัดการทอดเนื้อไก่ลงบนกระทะร่างบางก็เอ่ยถาม
“ทำไมทำอาหารเป็นล่ะ”
“น้องชายเราเป็นคนกินยาก แม่บ้านทำอะไรมาให้ก็ไม่ชอบเราลองทำให้กินดันชอบซะอย่างนั้น หน้าที่ทำอาหารให้น้องชายเลยเป็นของเรา” นึกถึงอดีตก็ทำให้มีรอยยิ้มแต่แววตากลับเศร้าด้วยความคิดถึงน้องชายคนเล็กซึ่งจากโลกนี้ไปแล้ว
ณัชชาเองก็เงียบไปเพราะรู้เรื่องน้องของตฤณเป็นอย่างดี
“ไม่เหมือนเรา ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” เป็นผู้หญิงแท้ๆ กลับไม่มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน
“ทำไม่เป็นก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แค่กินเป็นก็พอแล้วดูสิตัวแค่นี้เองถ้าบอกว่าเป็นนักศึกษาเราก็เชื่อ” หญิงสาวตัวเล็กมากเข้าข่ายผอมกว่าเกณฑ์ด้วยซ้ำ
ตฤณบอกให้กินเยอะๆ ก็ไม่เป็นผลเพราะณัชชายังกินเหมือนแมวดมเช่นเคย
สองคนช่วยกันทำอาหารเย็นจนเสร็จเรียบร้อย คุณหมอหวานใจเป็นคนจัดโต๊ะแล้วแอบถ่ายรูปเอาไว้ไม่ให้ชายหนุ่มรู้ เขาตักเนื้อสเต๊กมาวางลงตรงหน้าเธอพร้อมทั้งสลัดผักชามใหญ่มองแล้วก็ได้แต่คิดว่า
..ไม่มีทางหมดแน่
“ต้องกินให้หมด ถ้าไม่หมดเราไม่ให้ออกจากห้อง”
เจอมาตรการบังคับก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอ จะหมดได้อย่างไรแต่ก็ดีเหมือนกันเธอจะได้ไม่ต้องออกจากห้องนี้ ก้มหน้าลอบยิ้มเพียงลำพังโดยที่คนตัวสูงไม่เห็นมัวเพราะแต่หยิบน้ำส้มออกจากตู้เย็นรินมาเสิร์ฟแขกสาว
“ลงมือได้เลยครับผม” เมื่อตฤณนั่งลงฝั่งตรงข้าม
ณัชชาก็เริ่มรับประทานอาหารเย็นทันที เพียงเนื้อไก่แตะที่ลิ้นก็สัมผัสได้ถึงความละมุนและรสชาติที่อร่อยจนต้องยิ้มออกมา
“อร่อยใช่ไหม” ทำหน้าลุ้นก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเธอพยักหน้าแข็งขันเป็นการการันตีว่าฝีมือเชฟสมัครเล่นไปได้สวย “นึกว่าจะไม่ชอบซะแล้ว ยังไม่เคยทำให้ป้อนกินเลย อืม..พรุ่งนี้ลองทำไปให้บ้างดีกว่า” พึมพำกับตนเอง
โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของคุณหมอหวานใจเริ่มหายไปเพียงได้ยินชื่อคนรักของชายหนุ่ม
เธอเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นครั้งหนึ่งเมื่อณชาถามทางไปห้องพักหมอที่ตฤณพักอยู่ ยังจำใบหน้าหวานของอีกฝ่ายได้ขึ้นใจ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังอดชื่นชมไม่ได้ สวยหวานยามยิ้มเหมือนมีดอกไม้ผลิบานรอบตัวให้ความสดชื่นน่าเข้าใกล้ ไม่เหมือนเธอ..หน้าตาจืดชืด แว่นตาหนาเตอะ แค่ได้เห็นก็เหมือนชีวิตหม่นหมองลง
หลายปีที่ผ่านมาช่วงที่เขาไปเรียนต่างประเทศไม่อาจทำให้ณัชชาตัดใจจากเพื่อนชายคนนี้ได้เลย ยิ่งเรียนหนักก็ยิ่งคิดถึงเขา เหมือนว่าตฤณคือที่พึ่งทางใจเพียงคนเดียวของเธอ เคยร้องไห้เพราะคิดถึงจนทนไม่ไหวก็มีกว่าจะผ่านมาแต่ละวันต้องใช้หนังสือช่วย
“หวานว่าถ้าเราจะขอป้อนแต่งงาน ควรจะขอที่ไหนดี”
คนหัวใจบอบช้ำไม่อาจตอบได้ เธอกลืนก้อนสะอื้นที่จุกลำคอเพื่อจะได้ตอบเขา
“ไม่รู้สิ เราไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้” ตอบเสียงเบาหั่นไก่ชิ้นเล็กแต่ไม่รู้ทำไมมันถึงหั่นยากแบบนี้
จนตฤณยื่นมือมาช่วยหั่น
..เขาใจดีแบบนี้เธอจะตัดใจได้อย่างไร
“เฮ้อ เราเครียดจริงๆ นะ”
“ลองถามกูเกิลดูสิ น่าจะมีความเห็นดีๆ บ้าง”
ใบหน้าคมยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้รับคำแนะนำ ตลอดการรับประทานอาหารมื้อนั้นตฤณเป็นผู้กุมบทสนทนาทั้งหมดและส่วนมากก็เป็นเรื่องของณชาทั้งสิ้นจนคุณหมอหวานใจอยากลุกออกจากห้องไปเสียเดี๋ยวนี้
“ถ้าหิวก็แวะมาเคาะห้องได้นะครับ” เดินมาส่งหญิงสาวที่หน้าห้องหลังจากเธออาสาล้างจานให้เสร็จเรียบร้อย
คุณหมอณัชชาพยักหน้าส่งยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนเดินไปเปิดประตูเข้าห้องตนเอง เธอพิงร่างที่ประตูก่อนทิ้งกายและหนังสือลงบนพื้นชันเข่าขึ้นมากอดปล่อยน้ำตาไหลออกมาระบายความเจ็บปวดภายในหัวใจ
ยิ่งใกล้เท่าไหร่ก็เหมือนจะห่างไกลเข้าไปทุกที
เช้าวันต่อมาตฤณมารับณชาแต่เช้าเพื่อไปส่งที่ทำงานแม้เธอบอกว่าไปได้เองก็ตามเขากลัวจะเกิดเหตุการณ์เหมือนวันก่อนอีก ไม่อยากให้สองคนนั้นอยู่ใกล้กันมากเกินความจำเป็น
ระหว่างมาบริษัทณชาไม่ได้พูดอะไรเอาแต่เหม่อมองนอกหน้าต่างราวกับว่าอยู่กับเขาแล้วอึดอัดหนักหนา
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” ถึงหน้าบริษัทเธอก็หันมาส่งยิ้มให้เขา
“พี่เต็มใจครับ เดี๋ยวตอนเย็นจะมารับนะ”
ขัดไปก็เท่านั้นเพราะตฤณดื้อกว่าที่คิด ณชาพยักหน้ารับแล้วลงจากรถโดยมีร่างสูงเดินตามมา
“อ้าว พี่ตฤณไม่ไปทำงานเหรอคะตามป้อนมาทำไม” หันมาถามเขาด้วยความสงสัย
คุณหมอคนหล่อจึงตอบไขความกระจ่าง
“พี่จะไปส่งป้อนที่ทำงานก่อนแล้วค่อยไปทำงาน”
..มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมตฤณต้องตามติดเธอราวกับเป็นนักโทษด้วย
ร่างบางเผชิญหน้ากับเขาจ้องเข้าไปในดวงตาคมที่มีเพียงความจริงใจให้ต่างจากเธอที่หลอกลวงเขา
หลอกให้รักทั้งที่ใจไม่มีตฤณอยู่ในนั้นเลย
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ป้อนไปเองได้พี่ตฤณรีบไปทำงานเถอะนะเดี๋ยวจะสายเอา” ปฏิเสธเสียงอ่อนไม่อยากเป็นเหมือนเด็กน้อยต้องให้ผู้ปกครองมาส่งหน้าห้องเรียน
“แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ค่ะ เดี๋ยวป้อนขึ้นไปเองส่วนพี่ตฤณก็ไปทำงานแล้วเจอกันเย็นนี้ค่ะ บ้ายบาย” ตัดบทพร้อมโบกมือลาเขารีบเดินแกมวิ่งเข้าไปข้างในตึกจนคนมองได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของณชาก็เหมือนเติมพลังให้ตนเองแล้ว
เมื่อร่างบางหายลับเข้าไปภายในตึกเขาจึงเดินขึ้นรถแต่แล้วกลับมีผู้ชายมายืนขวางทางไว้เสียก่อน
“ช่างเป็นฉากบอกลาที่น่าประทับใจจริงๆ ว่าไหมครับคุณหมอ” กองทัพยืนพิงรถของตฤณเอาไว้พลางกอดอกก่อนจะยืนตรงแล้วถอดแว่นตาสีเข้มออกเพื่อสบตากันโดยตรงไม่มีแว่นขวางกั้น เห็นแววความตรึงเครียดแผ่จากตัวของคุณหมอก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสะใจ“อย่าตึงเกินไปเลยครับ ผมกลัวว่าสักวันมันจะขาด”
คำเตือนที่เหมือนคำขู่สร้างความไม่พอใจให้คุณหมอหนุ่มจนต้องกำมือแน่นกลัวจะไปชกหน้าหล่อๆ ของหัวหน้าแผนกการตลาดที่หน้าบริษัท
“คุณก็ไม่ควรมายุ่งกับแฟนคนอื่นเหมือนกัน รู้จักไหมครับศีลห้า หัดท่องจำให้ขึ้นใจซะบ้าง” โต้ตอบกลับ
ซึ่งกองทัพก็ไม่สนใจสักนิด เขาไหวไหล่ไม่แคร์ต่อคำพูดจากระทบกระทั่งนั่นแล้วสวมแว่นปกปิดดวงตาเรียวของตนเอง
“พอดีไอ้ผมมันเป็นคนบาปซะด้วยสิ ขอโทษแล้วกันนะหมอ บางทีการอกหักมันก็เป็นรสชาติหนึ่งของชีวิตเหมือนกัน ลองดูสักครั้งคงไม่เป็นไรมั้ง” ตบบ่าตฤณก่อนเดินเข้าบริษัทด้วยมาดผู้บริหาร
ปล่อยให้คนข้างหลังมองด้วยความคับแค้นใจ ไม่เคยเห็นใครเลวเท่านี้มาก่อน
..บางทีถ้าเขาอาจจะต้องรีบขอเธอแต่งงานเสียแล้ว และผลลัพธ์ต้องออกมาที่ณชาตอบตกลงเท่านั้น