๘ แย่งชิง (๑)
๘
แย่งชิง
กองทัพเดาะลิ้นมองตฤณแล้วแสยะยิ้มราวกับไม่สนใจในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการจะสื่อทั้งที่ในใจก็รู้สึกผิด คำพูดของน้องชายแวบเข้ามา
‘คนที่ใช่ถ้ามาในเวลาที่ไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่เคยได้ยินไหมพี่’
เขาคือคนที่ใช่ซึ่งมาผิดเวลา
..แต่แล้วยังไงล่ะ เขาจะทำให้ทุกอย่างมันใช่เองแหละ
“เลิกยุ่งกับป้อนเถอะครับ ระหว่างคุณสองคนขอให้อยู่ในสถานะเจ้านายกับลูกน้อง”
หนุ่มนักบริหารยกกาแฟขึ้นจิบทำท่ากวนจนคุณหมอต้องข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมกับป้อนมีอะไรเกินเจ้านายลูกน้อง คิดไปเองหรือเปล่าครับคุณหมอ” วางแก้วกาแฟลงแล้วยกมือกอดอกอีกครั้งราวต้องการปกปิดความรู้สึกบางอย่าง
ตฤณกำมือแน่น เขารักณชาจนไม่อาจทนเสียเธอไปได้จึงยอมทิ้งศักดิ์ศรีมาขอร้องผู้ชายคนนี้ที่กำลังจะเข้ามาทำลายความสัมพันธ์ที่เขาพยายามรักษาเอาไว้
“หรือว่าป้อนบอกคุณแล้ว” ทำท่าตกใจเกินจริงราวกับต้องการยั่วให้หมอโมโห
“ว่าที่จริงคนที่ป้อนรักคือผมไม่ใช่คุณ”
ตฤณตบโต๊ะเสียงดังลุกขึ้นจ้องมองกองทัพอย่างหาเรื่อง อยากตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อคนตรงหน้าไว้แล้วชกสักหมัดแต่ก็ต้องห้ามใจหันมองโดยรอบผู้คนเริ่มแตกตื่น ทั้งพนักงานที่ทำเหมือนจะเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยเพราะกลัวร้านเสียหายทำให้คุณหมอจำต้องข่มใจนั่งลงดังเดิม
“ไม่ใช่ ป้อนไม่ได้รักคุณ” กัดฟันโต้ตอบทั้งที่ในใจรู้ว่าความจริงคืออะไร ดวงตากลมโตตอบทุกอย่างหมดแล้ว
“คุณรู้อยู่แล้วคุณหมอว่าป้อนรักใคร ไม่อย่างนั้นคุณหมอก็คงไม่มาคุยกับผมหรอก”
ตฤณรู้สึกโกรธที่กองทัพพูดถูกทุกอย่างเหมือนมานั่งอยู่ในใจของเขาแต่เขาจะยอมให้ความสัมพันธ์ที่ผิดนี้พัฒนาไปได้
“ผมยอมรับก็ได้ ผมรู้” ตฤณยอมรับโดยตรงหลังจากที่ปฏิเสธกองทัพมาตลอด เขาถอนหายใจพยายามเรียบเรียงความคิดในหัวกลั่นเป็นคำพูดเพื่อโน้มน้าวไม่ให้อีกฝ่ายเข้าหาณชาไปมากกว่านี้ด้วยเชื่อว่าหากกองทัพพูดอะไรเธอคงยอมโดยง่ายดาย
“แต่คุณเองก็รู้ว่านั่นมันคืออดีตไปแล้ว”
“แล้วถ้ามันไม่ใช่อดีตล่ะ ถ้าป้อนยังรักผมไม่เปลี่ยน คุณจะว่ายังไง”
สองหนุ่มจ้องตากันราวต้องการหยั่งเชิง
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก” ตฤณหลุบตามองพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้า“เพราะอีกไม่นานผมกับป้อนเราจะหมั้นกัน”
ประโยคไม้ตายทำให้กองทัพนั่งนิ่งเหมือนโดนค้อนฟาดศีรษะอย่างแรง ดวงตาคมหรี่ลงต้องการค้นหาความจริงจากแววตาของตฤณว่ามันคือความจริงหรือไม่ก็พบเพียงรอยยิ้มสมใจ
“เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ได้แล้วครับ คุณมันก็แค่อดีตแต่ผมคือปัจจุบันและอนาคตของป้อน อย่ามาแทรกกลางระหว่างเราอีกเลย”
เห็นแววเยาะเย้ยในดวงตาของคุณหมอเส้นความอดทนของกองทัพก็ขาดผึงตบโต๊ะเสียงดังลุกขึ้นคว้าคอเสื้อตฤณแน่น
“ไม่จริง”
คนที่ถูกคว้าคอเสื้อลุกขึ้นยืนให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนจะยิ้มมุมปากค่อยๆ แกะมือหนาออก
“ลองถามน้าลิซดูสิครับ เมื่อคืนเราคุยเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว” ย้อนไปถึงเมื่อวานที่ตฤณไปรอณชาถึงบ้านแล้วบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย
นักบริหารหนุ่มหัวใจกระตุกก่อนจะชาวาบปล่อยมือแนบข้างลำตัวอย่างคนอ่อนแรง
อาการนั้นสร้างความสะใจให้คุณหมอยิ่งนัก เขาอมยิ้มแล้วตบบ่าหนาเป็นการปลอบใจแต่แฝงความนัยว่าตอนนี้คนที่เหนือกว่าไม่ใช่กองทัพเสียแล้ว
“เลิกยุ่งกับป้อนเถอะครับ ต่อให้รื้อฟื้นไปก็ไร้ประโยชน์ คุณมาช้าเกินไป”
ประโยคนั้นย้ำเตือนให้เขาตื่นจากความฝันเพื่อพบกับความจริงเสียที
“คุณต่างหากที่มาช้าเกินไป” กองทัพหยิบประเป๋าเงินออกมาแล้วควักแบงค์พันออกมาวางไว้บนโต๊ะ ดวงตาคมมีแววแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว เขาจ้องตฤณนิ่งราวกำลังมองเหยื่อที่ตนจะขย้ำให้ตายก่อนจะเอ่ยด้วยคำพูดธรรมดาแต่บาดไปถึงใจ“ผมจะแย่งป้อนมาจากคุณให้ได้ คอยดูก็แล้วกัน”
..ไม่ใช่คำขู่แต่เขาเอาจริง
ร่างสูงของนักธุรกิจยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินออกจากร้านแห่งนี้ทันทีไม่รอฟังตฤณพูดอะไรอีก ในขณะที่คนนั่งอยู่ในร้านกำมือแน่น มันคือคำท้ารบซึ่งเขาประมาทไม่ได้เพราะเดิมพันครั้งนี้หมายถึงหัวใจของตน
ไม่มีทางยอมเสียณชาให้ใครแน่ เขาเฝ้ามองมานานกว่าจะได้เธอเคียงกายลำบากแค่ไหนจะให้คนอื่นมาชุบมือเปิบได้อย่างไร
กองทัพเดินเข้าแผนกอย่างหัวเสียไม่มองหน้าใครกระทั่งสบตากับณชา เขาจับข้อมือเล็กแล้วจูงเธอเดินเข้าห้องท่ามกลางสายตาของคนทั้งชั้น เริ่มมีเสียงซุบซิบและคนจับกลุ่มคุยถึงเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อครู่ก่อนจะแยกย้ายเพราะอัญชิสาพูดขึ้น
“ทำงานให้ตั้งใจเหมือนอยากรู้เรื่องคนอื่นบ้างนะคะ”
จากคนอยากรู้เรื่องคนอื่นแต่กลับเลือกปกป้องน้องสาวที่รู้สึกเอ็นดูก่อนจะหันไปมองสจีวรรณที่ชูนิ้วโป้งให้เป็นการชม
ทุกคนกลับไปทำงานอย่างตั้งใจอีกครั้งแม้จะอยากรู้ว่าระหว่างสองคนเกิดอะไรขึ้น
“อะไรคะพี่ทัพ” คนถูกดึงเข้าห้องถามเสียงตื่นขณะที่ร่างสูงผลักเธอติดกำแพงจ้องใบหน้าหวานนิ่ง
“ป้อนจะหมั้นกับหมอตฤณจริงหรือเปล่า”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจยิ่งสร้างความร้อนรนให้แก่หัวหน้าแผนกการตลาดจนเผลอบีบไหล่เล็กแน่นขึ้น
“พี่ทัพรู้มาจากไหนคะ”
“แล้วตกลงมันจริงหรือเปล่า” อยากตะคอกถามให้แน่ใจแต่จำต้องข่มใจเอาไว้ เห็นใบหน้าหวานเหยเกจึงคลายมือตนเองออกไม่อยากให้ณชาเจ็บเพราะเขาอีกต่อไปแล้ว
บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความตึงเครียดก่อนที่หญิงสาวจะบอกความจริงแก่เขา
“เปล่าค่ะ ไม่ได้จะหมั้น”
คำตอบของเธอสร้างรอยยิ้มให้ผู้ชายตรงหน้า เขาดึงร่างบางเข้าไปกอดเอาไว้ด้วยความรู้สึกดีใจ เธอยังไม่ได้เป็นของคนอื่นอย่างสมบูรณ์
ดวงตากลมโตหลับลงซึมซับความอบอุ่นจากเขานึกไปถึงเมื่อวานที่มารดาเข้ามาคุยกับตนในห้องนอน ท่านเอ่ยถามเรื่องการหมั้นหมายกับตฤณเพราะคุณหมอเคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ เพียงแค่คิดใจดวงน้อยก็วูบลง เธอไม่ควรปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดไปมากกว่านี้
แล้วตอนนี้ก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกทางไหน..
มือเล็กค่อยๆ เลื่อนขึ้นเพื่อกอดตอบเขา ดวงหน้าหวานซบลงบนแผงอกหนาตอบรับสัมผัสจากเขาอย่างเต็มใจ คนที่เธอเลือกคือผู้ชายที่อยู่ในใจตลอดมาอย่างกองทัพ วิจิตรประภาไม่ใช่คุณหมออนาคตไกลอย่างตฤณ ศิลาชัย
สุดท้ายความรักแสนบริสุทธิ์ของคุณหมอก็ไม่อาจสู้รักฝังใจได้
ตกเย็นณชาเดินลงมาข้างล่างพร้อมกองทัพก่อนสายตาจะหยุดลงที่ร่างสูงคุ้นตา รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้แฟนสาวพร้อมกับเดินมาโอบไหล่บางเอาไว้มองเลยไปยังกองทัพ การเข้าสังคมทำให้ตฤณสามารถใส่หน้ากากเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทได้อย่างแนบเนียนทั้งที่ใจจริงไม่อยากแม้แต่จะเสวนากับผู้ชายที่คิดจะแย่งแฟนคนอื่น
“พี่มารับกลับบ้านครับ เดี๋ยวจะอยู่กินข้าวเย็นด้วย” ใบหน้าหวานหันมามองชายหนุ่มอีกคนทันทีก่อนจะยิ้มให้ตฤณ
“ค่ะ” เธอจะทำอะไรได้ในเมื่อตนเองเป็นคนผิดแท้ๆ
กองทัพแสยะยิ้มหลังจากรู้ความจริง ในเมื่ออีกฝ่ายมาไม้นี้เขาก็จะตามเกมแล้วกัน
“กลับบ้านดีๆ นะ” หัวหน้าแผนกการตลาดเอ่ยบอกเสียงนุ่มก่อนจะมองไปที่หมอตฤณราวตนเองเป็นผู้เหนือกว่า
สงครามระหว่างสองหนุ่มได้เริ่มขึ้นและณชาก็เริ่มจะรับรู้ถึงความแปลกของคนสองคน คุณหมอกัดฟันแน่นระงับอารมณ์โกรธ
“ไปกันเถอะ” ตฤณเปลี่ยนจากโอบไหล่เป็นจับมือเล็กจูงไปยังรถยนต์ของตน
กองทัพมองตามทั้งคู่แล้วแสยะยิ้มออกมา เขาเลือกแล้วว่าจะเดินหน้าต่อไปแม้จะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นชู้หรือน้องชายทำนายว่าจะตกนรกก็ตาม
เขาเลือกแล้วและไม่มีใครมาเปลี่ยนใจได้
ติ๊ง
‘ทัพว่างไหม ปลายคิดถึงทัพ’
ข้อความธรรมดาแต่กลับสั่นคลอนหัวใจเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เจอกันเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่ปลายฟ้าจะหายไปจากสารบบแล้ววันนี้เธอก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับคำว่าคิดถึง
‘เรามาเจอกันหน่อยได้ไหม’
เหมือนเห็นใบหน้าหวานออดอ้อนอยู่ตรงหน้า เขากำโทรศัพท์แน่นภาพวันที่เธอเลือกพณณกรยังจำไม่ลืม และเขาก็ไม่ลืมแววตาเสียใจที่เพื่อนมามองเช่นเดียวกัน ใบหน้าคมถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
‘ขอโทษด้วย ผมไม่ว่าง’
เมื่อเห็นข้อความถูกส่งก็ปิดโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋าของตนเองเดินไปยังรถยนต์ก่อนกลับบ้านซึ่งมีมารดารออยู่ข้างนอกข้างกันนั้นคือนักรบที่กำลังนั่งล้างรถมอเตอร์ไซค์คันโปรด
เขาขับรถไปจอดยังที่ประจำเหลือบมองน้องชายที่ใส่เพียงเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นนั่งล้างรถฮัมเพลงอย่างมีความสุข
“หวัดดีพี่” ช่วงนี้รู้สึกว่าน้องชายจะกลับบ้านแทบทุกวันทั้งที่ปกติหากมารดาไม่เรียกหรือต้องกลับมาเอาของก็ไม่ค่อยจะเห็น
“ทัพมาก็ดี แม่มีเรื่องจะคุยด้วย” คุณเปมิกามีหน้าตาเคร่งเครียดจนบุตรชายคนโตเริ่มสงสัยว่าเรื่องที่คุยนั้นคงสำคัญมาก
เขาเดินตามท่านเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นขณะที่นักรบก็มองตามแต่ไม่สนใจ สิ่งที่ดึงดูดนักศึกษาคณะวิศวกรรมได้คงมีแต่ลูกรักที่กำลังทำความสะอาดเท่านั้น
สองคนต่างวัยเข้ามาภายในห้องแล้วนั่งตรงข้ามกัน มารดามีสีหน้าเครียดจนบุตรชายเริ่มอยากรู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่
“ทัพว่าตารบจะเป็นเกย์ไหม”
หลังจบประโยคนั้นเขาก็หลุดยิ้มทันทียิ่งมองหน้าคุณเปมิกาที่เครียดหนักหนาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมนักรบถึงกลับบ้านแทบทุกวัน ไม่พ้นมารดาเรียกตัวกลับนั่นเอง แม้ทุกวันนี้จะเปิดกว้างเรื่องเพศและแม่เขาก็บอกว่ารับได้ถ้าลูกจะรักหรือชอบใครแต่ก็ยังกังวลเพราะลูกชายคนเล็กไม่ได้บอกแต่เนิ่นๆ ให้ท่านทำใจไว้ก่อน
“ไม่หรอกครับ รบมันแค่แกล้งแม่เท่านั้นเองอย่าคิดมากเลย” ถึงลูกชายจะย้ำแบบนั้นคุณเปมิกาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
“ถ้าแม่จะหาคู่หมั้นให้รบตอนนี้ทัพว่าดีไหม”
เขารีบลุกไปนั่งข้างมารดาทันที
..น้องชายพึ่งอายุ 21 ปีแต่กำลังจะถูกคลุมถุงชน ด้วยความเป็นพี่ชายที่แสนดีเขาจะไม่ยอมเด็ดขาด
หึ ซะเมื่อไหร่ล่ะ เขาจะสนับสนุนมารดาอย่างเต็มที่ต่างหาก
“ดีครับแม่จะได้ศึกษานิสัยใจคอกัน ผมว่าแม่เริ่มหาเลยก็ได้รบมันไม่ว่าอะไรหรอก มันชอบ” ยิ้มอย่างมีเลศนัย
หากคุณเปมิกาเป็นคนบังคับนักรบไม่มีทางปฏิเสธได้แต่เชื่อเถอะว่าน้องเขาคงไม่ยอมง่ายๆ
“แม่จะต้องนัดดูตัวให้รบ” คิดดังนั้นก็ลุกขึ้นหารายชื่อคนรู้จักเริ่มโทรหาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องลูกๆ
กองทัพมองมารดาก็ได้แต่ยิ้ม ไม่คิดว่าท่านจะเป็นห่วงลูกชายคนเล็กขนาดนี้ สายตาคมเหลือบไปเห็นน้องชายล้างรถอย่างมีความสุขก็ส่ายหน้า
..ภัยกำลังจะมาถึงตัวยังไม่รู้อีก ยังไงก็ขอให้โชคดีนะน้องชาย