๗ คือเธอ (๒)
ริมฝีปากหนาไม่ผละออกห่างผลเชอรี่แสนหวาน เขาเฝ้าดูดดึงก่อนจะเกี่ยวกระหวัดก้านเชอรี่จนพันกัน น้ำสีใสไหลเยิ้มนอกริมฝีปากและกองทัพก็จุมพิตซับไม่ให้มันเปื้อน เขาเลื่อนลงมาสูดดมความหอมจากลำคอยาวระหง
มือหนาที่ลูบวนแผ่นหลังบางเคลื่อนขึ้นมาจนถึงขอบชั้นในเขาใช้ความเชี่ยวชาญปลดมันอย่างรวดเร็วจนณชาห้ามเสียงสั่น
“ยะ อย่าค่ะ”
แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะตะขอหลุดออกแล้ว
“ถ้าป้อนไม่ตอบคำถาม พี่จะไม่หยุด ยอมรับเถอะว่าผู้หญิงคนนั้นคือป้อน” กระซิบข้างหูเสียงกระเส่าพยายามข่มความปวดที่จุดยุทธศาสตร์ซึ่งเริ่มนูนขึ้นเรื่อยๆ เขาจะต้อนเธอให้จนมุมแล้วคายความลับที่เก็บงำเอาไว้
ร่างบางเม้มปากหายใจเข้าพยายามโกยอากาศเข้าปอดหลังจากที่โดนเขาแย่งชิงลมหายใจไปหลายต่อหลายครั้ง ในขณะที่เธอใช้ความคิดกองทัพก็ใช้ช่วงเวลานั้นลูบไล้แผ่นหลังบางก่อนจะเคลื่อนมาที่หน้าท้องแบนราบไต่ระดับขึ้นไปสูงกว่านั้นจนแตะฐานอกนุ่ม
“พี่ทัพ!” จับมือเขาเอาไว้แล้วเรียกชื่อร่างสูงเสียงดัง ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจไม่คิดว่าเขาจะใช้ทีเผลอ
“จะยอมบอกพี่ได้รึยัง” มือหนาถูกมือเล็กจับเอาไว้ทั้งสองข้างเพราะกลัวคนมือปลาหมึกจะเลื้อยไปเรื่อย
ร่างบางคิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรดีเธอมองหน้าเขาก่อนจะนึกถึงคืนนั้น แม้จะสบตากันแต่ภายในแววตาของเขากลับไม่มีเธอ ริมฝีปากหนาพึมพำเพียงชื่อผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในใจ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นคือความผิดพลาดที่ไม่ควรจะถูกเอ่ยถึงอีก
เสียงกระซิบเรียกชื่อปลายฟ้ายังติดอยู่ในหูไม่อาจลืมได้ น้ำตาของเธอไหลอาบแก้มกองทัพจูบซับพร้อมพร่ำชื่อของผู้หญิงคนนั้น เธอยังจำได้มาถึงวันนี้
“ไม่ใช่ป้อนหรอกค่ะ เขาคือปลายฟ้าต่างหาก ผู้หญิงคนนั้นคือปลายฟ้า”
กองทัพส่ายหน้าทันที
“ไม่ใช่ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ปลายฟ้าแต่คือป้อนข้าวต่างหาก”
จ้องเข้าไปในดวงตาคมไร้แววของผู้หญิงคนเก่าแต่มันมีเธออยู่ในนั้น หัวใจกระตุกอย่างไม่คาดคิดมาก่อน
“คืนนั้นพี่พูดชื่อของปลายใช่ไหม” พอจะเดาได้ถึงความเศร้าในดวงตากลมโตจึงเอ่ยถามก่อนปลดมือของตนเองที่ณชากุมเอาไว้ออกโดยที่ร่างบางไม่รู้สึกตัวเพราะตกใจกับคำถามของเขา
ชายหนุ่มติดตะขอชุดชั้นในให้เธอก่อนจะยิ้มออกมา
“พี่ขอโทษนะ” เพียงคำพูดเดียวก็เหมือนทำลายความเย็นชาและกำแพงที่ณชาเพียรสร้างมาตลอดหลายปีพังลงอย่างไม่น่าเชื่อ
..ผู้หญิงใจง่ายอย่างเธอช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน
ดวงตากลมโตหลุบต่ำลงซ่อนน้ำตาที่กำลังจะไหล
กองทัพเห็นอย่างนั้นก็เชยคางมนขึ้นก่อนจูบซับน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา หัวใจสองดวงเต้นอย่างสงบไปพร้อมกัน
กระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ณชารีบลงจากตักของเขาดึงกระโปรงให้ยาวดังเดิมแล้วจัดเสื้อผ้าเข้ารูปพึ่งรู้ตัวว่าเขาติดตะขอเสื้อชั้นในให้เรียบร้อย
ร่างสูงขัดใจแต่ก็เลื่อนกระจกลงเห็นคนขับรถบ้านตนเองถือร่มเพราะฝนยังตกไม่หยุดแต่ก็เริ่มซาลงบ้างแล้ว
“ขอโทษที่มาช้าครับ พอดีรถติด”
ไม่บอกก็พอจะรู้ เขาส่งพิกัดให้คนขับรถอีกฝ่ายจึงมาถูกต้องขอบคุณเทคโนโลยีก้าวไกล ร่างสูงโบกมือบอกไม่เป็นไรแล้วพาณชาเปลี่ยนรถเป็นอีกคัน
ชายหนุ่มกางร่มให้เธอไปนั่งรถอีกคันแล้วขับออกไปปล่อยคนขับรถรอช่างอยู่ที่นี่ บนรถคันใหม่ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก แม้ไม่ได้คำตอบจากณชาโดยตรงแต่เขาก็รู้แน่ชัดว่าคือหญิงสาว ดวงตาของเธอบอกทุกอย่างทั้งอาการน้อยใจ เศร้าใจและเสียใจ เขารู้สึกผิดที่ครั้งแรกของเธอเกิดขึ้นเพราะความผิดพลาดและความเห็นแก่ตัวของตน
คืนนั้นจำได้ว่าตนเสียใจมากดื่มเหล้าจนไม่ได้สติหากยังจำคนที่มาส่งถึงห้องได้ คราแรกคิดว่าเป็นปลายฟ้าจนสิ้นสุดสัมพันธ์สวาทก็ยังคิดอย่างนั้นไม่เปลี่ยนกระทั่งเช้าวันต่อมาจึงรู้ว่าไม่ใช่ปลายฟ้า เฝ้าถามตนเองมาตลอดทว่าไม่มีคำตอบกลับมา
กระทั่งวันนี้ที่เขาแน่ใจแล้วว่าผู้หญิงปริศนาคือ..ณชา..ไม่ผิดคนแน่
รถยนต์เคลื่อนเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่ของตระกูลพิบูลกนก ร่างบางนั่งเงียบมาตลอดทางเมื่อรถจอดลงเธอจึงตั้งใจจะลงจากรถไม่มีแม้คำขอบคุณให้คนที่อุตส่าห์ขับมาส่ง
“รถป้อนอยู่บริษัทเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมารับ” คว้ามือเล็กเอาไว้แล้วบอกเสียงนุ่ม
ไม่กล้าสบตาเขาเพราะละอายกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไม่ต้องค่ะ ป้อนไปเองได้” ปฏิเสธเขาทันที
แต่กองทัพก็ไม่ยอมแพ้เอ่ยในเรื่องที่ทำให้น้องสาวต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาเพราะตกใจ
“เรื่องของเราพี่จะไม่ปล่อยไปอีกแล้ว” แววตาคมฉายความมุ่งมั่น
จนณชาเริ่มใจสั่น เธอหวั่นไหวไปกับคำพูดของเขา
“ต่อให้จะผิดบาปต้องตกนรกขุมไหน พี่ก็ยอม” มือหนาเอื้อมไปคว้าแก้มนุ่มสบตาเธอเนิ่นนานกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูรถจึงได้ผละออกจากกัน
ณชาลงจากรถยนต์เห็นคนที่มาเคาะประตูคือแฟนหนุ่มของตนเองที่หายหน้าหายตาไปหลายวัน
กองทัพลงมาจากรถจ้องหน้ากับหมอตฤณนิ่งก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างน่าหมั่นไส้ บรรยากาศระหว่างสามคนดูคุกรุ่นกระทั่งคุณหมอหันมาสบตากับณชาดึงเธอมาโอบไหล่บางเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของให้อีกคนได้รู้
“ขอบคุณที่มาส่งแฟนผมนะครับ เราเข้าบ้านกันดีกว่านะป้อนพี่มีเรื่องจะคุยด้วยพอดีเลย” พูดกับกองทัพเสียงแข็งแล้วหันมาคุยกับแฟนสาวเสียงอ่อน
จนหัวหน้าแผนกการตลาดยิ้มเยาะ เหลือบไปมองแขนหนาที่โอบไหล่เล็กก็ผินหน้าไปทางอื่น
“ค่ะ” คนตัวเล็กตอบรับเสียงแผ่วมองหน้ากองทัพสักครู่แล้วเดินไปพร้อมคุณหมอ
คนที่หันหน้าหนีจึงมองตามหลังชายหญิงคู่นั้นได้แต่กำมือแน่นกัดฟันข่มความเจ็บภายในใจ
..ต่อจากนี้จะไม่ยอมอีกแล้ว ในเมื่อทั้งใจและกายของณชาเป็นของเขาจะไม่ยอมให้ใครแย่งอีก
เช้าวันต่อมาตฤณมารับแฟนสาวแต่เช้าเพื่อไปส่งที่ทำงานหากครั้งนี้เขาไม่รีบไปทำงานกลับนั่งรออยู่บนรถยนต์กระทั่งคนที่ต้องการคุยด้วยเดินเข้าบริษัทร่างสูงจึงรีบเปิดประตูรถแล้วเข้าไปหาผู้ชายคนนั้นด้วยการยืนขวางหน้า
สองหนุ่มยืนอยู่ในระดับเดียวกันแต่เพราะกองทัพสูงกว่าคุณหมอจึงต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อสบตากับอีกฝ่าย
“ผมต้องการคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
กองทัพขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ปฏิเสธคำขอนั้น
ทั้งสองจึงเลือกคาเฟ่ใกล้ตึกแห่งนี้เพื่อคุยธุระสำคัญ ร้านกาแฟสไตล์ลอฟท์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเดินไม่นานก็ถึง อาจเพราะเป็นช่วงเช้าคนจึงไม่เยอะมากนัก พวกเขาเลือกโต๊ะค่อนข้างเป็นส่วนตัว
พนักงานเดินมารับคำสั่งก่อนจะปล่อยให้สองหนุ่มจ้องตากันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา
จนกาแฟที่สั่งมาเสิร์ฟตฤณจึงทำลายความเงียบ
“ผมไม่รู้ว่าอดีตที่ผ่านมาเป็นยังไง แต่ผมอยากให้คุณอยู่กับปัจจุบันและความจริง”
แค่เริ่มเรื่องก็ทำให้กองทัพรู้สึกอยากลุกขึ้นเสียแล้วแต่จำต้องนั่งกอดอกมองคุณหมอซึ่งทำหน้าเครียดเพราะกลัดกลุ้มกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน
“ความจริงที่ว่าผมกับป้อนเป็นแฟนกัน”