๗ คือเธอ (๑)
๗
คือเธอ
วันเสาร์อาทิตย์ที่หยุดไปยังไม่อาจทำให้ณชาลืมเลือนเรื่องวันนั้นได้ เธอตื่นมาด้วยความคิดอยากลาออกจากงานอีกครั้งทั้งที่ยังทำได้ไม่ถึงเดือน หากบอกมารดาท่านจะต้องเทศน์เป็นการใหญ่แน่เพราะฉะนั้นเงียบไว้ดีที่สุด แค่ทนไปอีกไม่นานหน้าที่นี้ก็คงจบลงแล้ว คิดดังนั้นก็พอจะงัดตนเองขึ้นจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำได้บ้าง
“ทำไมวันนี้ลงมาช้ากว่าปกติ” คุณศลิษาเอ่ยถามบุตรสาวเพราะเห็นว่าลงมาสายกว่าปกติถึงสิบห้านาที ร่
างบางถอนหายใจอยากเอ่ยเรื่องคับอกแต่จำต้องเก็บเอาไว้
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลยตื่นสายค่ะ” ข้อแก้ตัวฟังขึ้น
แต่มารดาไม่ค่อยเชื่อจึงหรี่ตามองบุตรสาวตนเองพยายามจับผิด
“ไม่ใช่ขี้เกียจไปทำงานนะ” ดูเหมือนว่าณชาจะทำอะไรคนเป็นแม่ก็รู้ไปหมดทุกอย่าง
ร่างบางรีบส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธทั้งที่ในใจตอบรับไปแล้ว ใบหน้าหวานแสร้งยิ้มหวานหยดย้อยเกินความจำเป็นก่อนพูดปดให้คุณศลิษาฟัง
“ใครจะไปขี้เกียจได้คะ งานดีเจ้านายดีเงินเดือนดีขนาดนี้ อยากทำงานทุกวันเลยค่ะ”
พูดเกินจริงแบบนี้คนแก่กว่าก็ตกลงใจว่าลูกสาวคงขี้เกียจจริงดังที่คิดจึงได้แต่ส่ายหน้ารับประทานอาหารเช้าไปเงียบๆ บนโต๊ะยาวที่มีเก้าอี้กว่าสิบตัวแต่ถูกจับจองเพียงสองคนเท่านั้น
คุณยายของณชาไปปฏิบัติธรรมที่เนปาลกับเพื่อนๆ กำหนดกลับไม่มีเพราะวางแผนจะไปเที่ยวต่างประเทศต่อ ส่วนบิดาและพี่ชายก็ไปทำงานแต่เช้าหรือบางทีเมื่อคืนพ่อไม่ได้กลับด้วยซ้ำ คงนอนที่บริษัทยิ่งช่วงนี้ละครใกล้ออนแอร์ต้องนั่งตัดต่อกันไม่ได้หลับได้นอน
“ช่วงนี้คุณหมอไม่ค่อยมาเลย แม่คิดถึง”
ร่างบางนิ่งเงียบเมื่อเจอคำถามของมารดา ที่จริงตฤณหายไปตั้งแต่วันที่มาส่งเธอ ไม่โทรศัพท์มาหาหรือถ้าเธอโทรไปก็ไม่ค่อยรับบอกแต่เพียงว่ายุ่งกับงาน ติดเคสสำคัญมากไม่อาจมาหาได้
และนั่นทำให้รู้สึกว่าหมอกำลังหลบหน้า
..แต่ไม่เข้าใจว่าเขาจะหลบหน้าเธอทำไม
เรื่องของตฤณยังคงเป็นข้อสงสัยในใจหากไม่ใหญ่เหมือนเรื่องของกองทัพ ร่างบางกินข้าวเช้าอิ่มก็ขับรถไปทำงานเองเพราะตอนเย็นคุณหมอติดธุระไม่สามารถมารับได้และเธอก็ไม่อยากพึ่งพาคนอื่น แค่ขับรถไปทำงานไม่เห็นจะยากตรงไหนแม้ว่ายังไม่ได้ใบขับขี่แต่ว่าก็สามารถไปถึงบริษัทอย่างปลอดภัย
วันนี้เลขามาสายกว่าปกติเมื่อถึงแผนกจึงเห็นอัญชิสาถือถ้วยกาแฟเข้าไปในห้องกองทัพเสียแล้ว อีกฝ่ายหันมามองเธอเดินเข้ามาคุยด้วย
“วันนี้คุณทัพมาเช้าพี่เลยทำหน้าที่แทน”
พยักหน้าเข้าใจเลื่อนเก้าอี้เปิดคอมพิวเตอร์เตรียมทำงาน เป็นเช้าวันจันทร์ที่ไม่สดใสสักนิด เหนื่อยราววิ่งมาราธอนมากว่าสี่สิบกิโลเมตรทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วยซ้ำ
ณชาพยายามเพ่งสมาธิกับงานที่ทำโดยไม่สนใจกองทัพที่เดินออกจากห้องแล้วไปถามงานกับพนักงานชายคนหนึ่ง ดวงตากลมโตจ้องหน้าจอแล้วพิมพ์เอกสารการประชุมอย่างตั้งใจและเมื่อร่างสูงเดินเข้าห้องก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย
การทำงานวันนั้นสูบพลังจากร่างบางไปค่อนข้างมาก เธอเอนหายพิงเก้าอี้ถอนหายใจเสียงดังเพราะเลิกงานแล้วจึงไม่ค่อยมีคน เหลือเพียงน้องนักศึกษาฝึกงานซึ่งยกมือไหว้เธอเป็นการบอกลา
ณชารับไหว้ส่งยิ้มให้แม้จะไม่สนิทก็ตาม เธอก็ต้องรีบกลับเหมือนกันกลัวเจอเหตุการณ์อย่างวันนั้นอีก คิดดังนั้นก็รีบเก็บกระเป๋าจะเดินออกไป
กระทั่งร่างสูงเปิดประตูห้องออกมา
“เก็บของเสร็จแล้วใช่ไหม”
ไม่ได้คุยกันทั้งวันแต่ตอนเย็นเขากลับมายืนตรงหน้าเธอพร้อมกับคำถามที่ไม่อยากตอบ
เมื่อเห็นว่าเธอเงียบเขาจึงมองดูบนโต๊ะซึ่งเก็บเรียบร้อยก็พยักหน้าเบาๆ
“เราต้องไปคุยกับลูกค้า เดี๋ยวไปรถพี่” คว้าข้อมือเล็กแล้วเดินจูงออกจากห้องไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวเลย
ณชาอ้าปากค้างแล้วเอ่ยค้าน
“ไม่ได้นะคะ ป้อนมีนัดแล้ว” ไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรจึงจำต้องโกหกเขา
กองทัพหันมาจ้องใบหน้าหวานแล้วปล่อยมือเธอทันที ใบหน้าคมเรียบสนิทจนไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่จากการที่สบตาเขาจนต้องรีบหลบคงไม่พ้นคำดุด่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ยกเลิกนัดซะ เพราะเราจะต้องไปทำงาน”
“มันเลยเวลางานแล้ว” ยังคงดึงดันจะเถียง
จนชายหนุ่มถอนหายใจ
“แล้วป้อนจะทิ้งหน้าที่ของตัวเองเพียงเพราะมันถึงเวลาเลิกงานแล้วอย่างนั้นเหรอ”
ร่างบางก้มหน้าเม้มปากแน่นรู้สึกเหมือนกำลังถูกต่อว่า
“ไปก็ได้ค่ะ” ตอบเสียงเบาแล้วเดินตามร่างสูงเข้าไปภายในลิฟต์ และช่างโชคดีเหลือเกินที่มีคนอยู่ภายในนั้นไม่ต้องโดยสารเพียงลำพังกับเขา
ไม่นานตัวลิฟต์ก็ถึงชั้นหนึ่ง
“จะไปไหน” เห็นเธอแยกไปอีกทางจึงถามขึ้น
“ป้อนเอารถมาเราไปคนละคันแล้วกันค่ะ” เนื่องด้วยไม่อยากให้เขายุ่งยากในการมาส่งจึงเสนอทางเลือกโดยมีตนเองเป็นผู้ตัดสินใจ
กองทัพเดินมาหาร่างเล็กก่อนจะจับมือเธอให้ก้าวตามแรงดึงของตนเอง เขาไม่พูดแต่การกระทำก็ตอบทุกอย่าง
“พี่ทัพคะ!” ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะเอาแต่ใจขนาดนี้
“ไปด้วยกัน จะเอาไปหลายคันให้เปลืองน้ำมันทำไม” ใบหน้าหวานบึ้งตึงเพราะขัดใจกับความเจ้ากี้เจ้าการของชายหนุ่ม
เธอรีบแย้งทันที
“แต่ตอนกลับก็ต้องเสียเวลาวกกลับมาส่งป้อนที่นี่ ไม่เปลืองน้ำมันยิ่งกว่าเหรอคะ” ถามกลับเสียงแข็งจนลืมไปว่าตนเองอยู่ในฐานะอะไร
หากเป็นคนอื่นกองทัพคงไล่ออกไปแล้วที่เลขากล้าเถียงเจ้านายฉอดๆ หรือไม่ก็คงไม่รับเข้าทำงานตั้งแต่แรกทว่าณชาคือข้อยกเว้น
“ไม่เป็นไรหรอก บ้านพี่รวย” หันมาบอกพร้อมยักคิ้วกวนประสาท ประโยคนั้นสร้างความหมั่นไส้ให้ร่างบางเหลือเกินจึงเงียบเสียงหากในใจกลับเต้นระรัวเพราะแพ้เวลาพี่ชายยักคิ้ว เหมือนเขารู้จุดอ่อนของเธอหมดและใช้มันทำลายความเย็นชาของหญิงสาวนั้น
กองทัพขับรถพาเลขานุการคนสวยไปร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งนัดหมายกับลูกค้าเอาไว้ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนสมัยมัธยมจึงติดต่อกับกองทัพโดยตรงไม่ผ่านทางเลขา
ณชาแม้ทีแรกสงสัยว่าเขาอาจจะโกหกเมื่อเจอคู่สนทนาก็พับความสงสัยนั้นทันที
..ทำไมจะจำเพื่อนร่วมห้องของเขาไม่ได้เล่า เธอจำรายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับกองทัพได้หมดนั้นแหละ
การคุยกันเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่ได้เคร่งเครียดมากนัก เพื่อนของกองทัพเป็นกันเองและมีเรื่องสนุกเล่าให้ฟังเสมอโดยเฉพาะการเผาเพื่อนจนณชาหัวเราะท้องแข็งขณะเดียวกันคนถูกเผาก็นั่งหน้าตูมเป็นหมีกินผึ้ง
“ตอนมอหกไอ้ทัพมันโดนพวกกะเทยในห้องล้วงไข่เป็นการอำลาวันปัจฉิมด้วยนะ ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรต้องช่วยกันปลอบกว่ามันจะสงบลงได้”
ได้ฟังก็หัวเราะจนน้ำตาไหลต้องเอากระดาษทิชชูขึ้นมาซับน้ำตาส่วนคนที่นั่งข้างๆ ก็มองเพื่อนด้วยใบหน้าขึงขัง
“มึงช่วยเลิกพูดได้ไหม”
คนที่เป็นเพื่อนกันมานานรู้ดีว่านั่นไม่ใช่ประโยคขอร้องแต่เป็นประโยคคำสั่งมากกว่าจึงยกมือยอมแพ้ไม่เล่าต่อจากนั้น
ความเจ็บปวดในอดีตจะกลายเป็นเพียงความทรงจำและเมื่อวันเวลาผ่านไปมันก็จะเหลือเพียงร่องรอยซึ่งไม่สร้างความเจ็บปวดทว่าหากสะกิดก็ยังคงรู้สึก ณชาเข้าใจดีเลยล่ะเพราะผ่านมาหลายปีก็ยังไม่ลืมกองทัพเลย ทุกเหตุการณ์ยังจำได้แม้เพียงเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม แต่เหตุการณ์นี้เธอเองก็เพิ่งได้รู้จึงกระจ่างว่าทำไมชายหนุ่มถึงทำท่าขยาดเมื่อเจอเพศที่สาม
เมื่อคุยงานเสร็จก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้วณชาจึงโทรรายงานมารดาอีกครั้งกลัวท่านเป็นห่วง ออกมาจากร้านกองทัพก็กลับบริษัทเพราะต้องไปเอารถของหญิงสาวแต่เพราะรถติดทำให้การจราจรค่อนข้างช้ากว่าที่คิด
“ฝนเหมือนจะตกเลยนะคะ” มองบนฟ้าเห็นสายฟ้าแลบและหลังคำพูดของณชาไม่นานฝนก็ลงเม็ดทันทีจนแทบมองไม่เห็นทาง
“พี่ทัพจะไปไหนคะ” เห็นเขาตีไฟเลี้ยวก็เอ่ยถามด้วยความกังวล
“พี่จะพาไปอีกทาง เป็นทางลัดไม่นานก็คงถึง” เธอเองก็มองไม่เห็นทางข้างหน้าเท่าไหร่เพราะฝนตกหนักเหลือเกิน
กองทัพพาเข้ามาในซอยแห่งหนึ่งไม่คุ้นตาแต่คาดว่าอีกฝ่ายคงรู้ทางดี ขับได้ไม่นานก็เจอทางแยก รอบข้างมีแต่ต้นไม้อาจมีบ้านคนบ้างซึ่งแต่ละหลังก็ห่างกันพอสมควร
..เขาจะไม่พาเธอมาฆ่าใช่ไหมเนี่ย
ขับไปได้สักพักรถก็กระตุกก่อนจะดับลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ณชาตาโตรีบเขย่าแขนคนขับรถด้วยอาการตื่นตระหนก
“พี่ทัพรถเป็นอะไรคะ”
ซึ่งคนขับเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน เขาลองสตาร์ตอีกครั้งแต่ก็ไม่ติดจนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เปิดประตูรถจะลงไปดูแต่ว่าร่างบางคว้าแขนเขาเอาไว้แน่นมองรอบข้างแล้วไม่น่าไว้ใจ ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผีที่เธอกลัว พวกโจรขโมยก็น่ากลัวไม่ต่างกัน ยิ่งทางนี้เป็นทางเปลี่ยวก็เพิ่มความน่ากลัวให้มากขึ้นไปอีก
“จับทำไม พี่จะลงไปดูว่าทำไมรถเสีย” เสียงตกกระทบหลังคาของเม็ดฝนทำให้เขาต้องเพิ่มเสียงดังเพื่อคนตัวเล็กจะได้ฟังถนัด
“ไม่เอา ฝนก็ตกลงไปพี่ได้เปียกพอดี” เป็นฤดูหนาวแท้ๆแต่ฝนดันมาตกคงเป็นเพราะมรสุมเข้าอีกตามเคย เข้าบ่อยจนไม่ต้องแยกฤดูแล้วละ
กองทัพยิ้มออกมาเล็กน้อยพอจะรู้ถึงความกลัวของน้องสาวคนนี้เขาจึงลูบศีรษะเธออย่างนึกเอ็นดู
“ถ้าอย่างนั้นพี่จะโทรให้คนที่บ้านมาเปลี่ยนรถแล้วกัน ดีไหม” วิธีนี้คงจะดีสุด
ซึ่งณชาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเขา เธอมองร่างสูงคุยโทรศัพท์ก่อนจะเหลือบไปมองรอบข้าง เสาไฟมีเพียงดวงเดียวเท่านั้นอีกทั้งบ้านสักหลังก็ไม่มี หลังล่าสุดที่ขับผ่านมาก็อยู่ห่างจากจุดนี้ประมาณห้าร้อยเมตร
..พี่ทัพรู้จักทางนี้ได้ยังไงนะ อย่างกับแหล่งซ่องสุมไม่มีผิด
มือเล็กปล่อยลำแขนหนาแล้วกอดอกตัวเองเพราะหนาวจากเครื่องปรับอากาศภายในรถ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวังกระทั่งสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากมือหนาที่เอื้อมมือจับมือเธอเอาไว้
“ไปนั่งข้างหลังไหม” ถามเสียงนุ่มซึ่งร่างบางไม่ปฏิเสธปีนไปนั่งเบาะหลังรถพร้อมเสื้อสูทของเขาที่ชายหนุ่มยื่นมาให้เธอห่มไว้ แม้รถจะดับทว่าภายในรถกลับเย็นขึ้น
ริมฝีปากบางสั่นจนคนเห็นสงสาร เขาปีนมานั่งข้างเธอ
“ปีนมาทำไมคะ”
“เห็นคนแถวนี้หนาว เขาบอกว่ากอดกันจะช่วยเพิ่มความอบอุ่น” กองทัพไม่รอให้ณชาเอ่ยปากเขาก็ยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะกอดเธอเอาไว้ทันที
หญิงสาวอ้าปากค้างไม่นึกว่าชายหนุ่มจะทำแบบนี้ ลำแขนแกร่งโอบรอบเอวเธอแน่นเหมือนโดนงูเหลือมรัดไม่มีผิด
หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะและมันดังจนกลบเสียงฝนเสียมิด ใบหน้าคมแย้มยิ้มออกมาสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของร่างบาง
“ดังไปแล้วนะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู
คนเหม่อตกใจกับเสียงนั้นแต่ไม่กล้าหันไปมองจึงถามอย่างไม่เข้าใจ
“คะ”
“หัวใจเราน่ะ ดังเกินไปแล้ว”
หลังจบคำพูดนั้นณชาก็รู้สึกอายจนแก้มแดงไปหมดดีที่ภายในรถมืดจนไม่อาจมองเห็น ร่างบางพยายามขยับเพื่อจะนั่งบนเบาะแต่ว่าชายหนุ่มก็รัดแน่นจนไม่อาจทำอะไรได้เลย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันระงับอาการที่เกิดขึ้นตอนนี้ พยายามบังคับหัวใจไม่ให้สั่นไหวไปกับการกระทำของเขาแต่ก็ยากเหลือเกิน
แต่แล้วหัวใจของเธอที่ดังเพียงคนเดียวก็ถูกกลบด้วยอัตราการเต้นของหัวใจกองทัพที่เร็วไม่แพ้กัน ยิ่งได้สูดกลิ่นความหอมจากกายสาวก็สร้างอารมณ์หวามไหวให้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย เสียงฝน ลมหนาวจากอากาศภายนอก หัวใจสองดวงที่เต้นจังหวะเดียวกัน เขาอุ้มเธอให้หันหน้าเข้าหาตนเองจนกระโปรงเลิกขึ้นเห็นขาอ่อน
ณชาไม่อาจขัดขืนได้หรือแท้จริงแล้วเธอเต็มใจกับการกระทำของเขา
มือหน้าจับใบหน้าหวานเพื่อให้ได้องศาในการจูบ เขาไม่ได้เริ่มจากความอ่อนโยนแต่กลับเริ่มด้วยความหิวกระหายดูดกลืนริมฝีปากบางจนแทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ร่างเล็กสั่นด้วยความหวาดกลัวแต่อีกใจกลับอยากลองเดินเข้าไปใกล้เขาให้มากขึ้น
คนสองคนภายในรถที่มีอุณหภูมิต่ำและเสียงฝนภายนอกสร้างบรรยากาศชวนฝันให้เกิดขึ้นจนลืมความรู้สึกทุกอย่าง หัวใจสองดวงประสานเป็นหนึ่งเดียวกันลำแขนเรียวจากที่เคยวางแนบลำตัวก็ยกขึ้นคล้องคอเขาเอาไว้ อยากสัมผัสเขามากกว่านี้ อารมณ์รัญจวนตีขึ้นมาจนต้องกำกลุ่มผมสั้นของกองทัพรู้สึกราวตัวเองกำลังจะระเบิดด้วยไอร้อนจากร่างหนา
ใบหน้าคมผละออกให้คนบนตักได้หายใจเพียงไม่นานก็ดึงเธอเข้ามาจุมพิตอีกครั้ง มือหนาข้างที่ว่างลูบไล้เรียวขาขาวที่ลื่นมือเสียเหลือเกิน เขาหลงใหลเธอเข้าให้แล้ว
“คืนนั้น เป็นป้อนใช่ไหม”
อารมณ์ที่กำลังจะจุดติดกลับมอดดับไปด้วยคำถามเพียงประโยคเดียว ดวงตากลมโตลืมขึ้นมองเขาอย่างตกใจ
“พี่ทัพพูดเรื่องอะไรคะ” เสียงเธอสั่นไม่อาจควบคุมได้ มือเล็กเย็นเฉียบเริ่มกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทั้งที่เธอกลบมันฝังลงดินแล้วหวังให้เป็นความลับไม่มีวันที่เขาจะได้รู้แต่กองทัพกลับถามมันขึ้นมาหน้าตาเฉยราวกับว่าเขารู้อยู่แล้ว
“คืนนั้นเมื่อหกปีก่อน พี่เมามากจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับมาที่ห้องยังไง แต่พี่จำสัมผัสของผู้หญิงคนนั้นได้ พี่ไม่เคยลืม” หากคนไม่รู้เรื่องอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเล่า
ทว่าณชาที่รู้เรื่องดีกลับเข้าใจตั้งแต่ประโยคแรก เธอจะลงจากตักเขาแต่กองทัพก็ไหวตัวทันกอดร่างเล็กเอาไว้แน่นไม่ให้เธอหนีไปไหนได้
“ปล่อยป้อนนะคะ” ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรง รู้ว่าไม่อาจสู้แรงเขาได้แต่ก็ดีกว่านั่งเฉยๆ ให้เขาไต่ความ
“ถ้าดิ้นมากกว่านี้พี่จะไม่ทนแล้วนะ”
เพราะท่านั่งของเธอและเขาช่างล่อแหลมเหลือเกิน ร่างเล็กนั่งหันหน้าเข้าหาร่างสูงและส่วนนั้นของเขาก็เริ่มคับพองขึ้นจนณชาสัมผัสได้ ใบหน้าหวานแสดงออกถึงอาการตกใจแล้วหยุดดิ้นทันที เธอสบดวงตาคมที่มีเพียงความเสน่หาในนั้น
“พี่ทัพ..” เสียงครางแผ่วเบาทำให้เส้นความอดทนขาดลงทันที เขาจูบเธออีกครั้งอย่างเร่าร้อนแม้กระทั่งความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถดับอารมณ์ลงได้
ณชากำลังดำดิ่งเข้าสู่ตัณหาที่เขามอบให้ มือเล็กลูบลำคอเกร็งที่แข็งแกร่งในขณะที่กองทัพเองก็ใช้มือลูบวนขาเนียนอีกมือลูบแผ่นหลังบางก่อนจะดึงเสื้อเชิ้ตออกจากกระโปรงทรงเอสีครีมสอดมือเข้าไปลูบไล้ผิวเนียน
ฝนตกกระทบหลังคาไม่ได้สร้างความรำคาญให้สองหนุ่มสาวเพราะหูอื้ออึงไปด้วยเสียงครางแผ่วเบา
“อือ”