๕ วันคืนหวนมา (๒)
ช่วงบ่ายการทำงานราบรื่นดีไม่มีติดขัดจนกระทั่งกองทัพเรียกเลขาเข้าไปหาพร้อมทั้งสั่งให้แปลเอกสารภาษาอังกฤษเป็นปึกใหญ่ ใบหน้าหวานเหลือบมองนาฬิกาข้างผนังห้องบอกเวลาบ่ายสามแล้ว ทำไมเขาต้องมาสั่งงานตอนที่ใกล้เลิกงานด้วย
“พี่ต้องการเร็วที่สุดนะ” กำชับท้ายประโยคหลังสั่งงานซึ่งลูกน้องอย่างเธอก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับคำหอบเอกสารปึกหนาออกไปข้างนอก
ไม่ทันได้เห็นร่างสูงยกยิ้มมุมปาก
ภายในออฟฟิศคนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เพราะถึงเวลาเลิกงาน ณชาได้แต่มองตามตาละห้อยทั้งที่ใจอยากกลับบ้าน หอบไปทำที่บ้านดีไหมนะ..ไม่เอาดีกว่าทำให้เสร็จที่นี่แหละ สูดลมหายใจเข้าลึกเรียกกำลังใจให้ตนเองก่อนจะเริ่มงาน แต่ทำไปได้เพียงครู่เดียวก็รู้สึกห่อเหี่ยวอีกครั้ง หางตาเหลือบไปมองประตูบานหนาซึ่งปิดไม่ให้เห็นคนข้างในก็ก่นด่าเขาในใจ
..เผด็จการที่สุด เอกสารก็ไม่เห็นจะสำคัญทำไมต้องสั่งเร่งทำด้วย
ณชาทำงานให้เขาไม่ได้สนใจรอบข้างเลยว่าไฟเริ่มปิดไปทีละดวงกระทั่งเธอทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงเงยหน้าขึ้นมองพบว่าออฟฟิศที่เคยมีคนเต็มห้องกลับเหลือเพียงเธอคนเดียว อยู่ดีๆ ขนแขนก็ลุกชันด้วยจินตนาการของตนเอง
“อยู่ไม่ได้แล้ว” มองเวลาที่หน้าจอคอมพึ่งรู้ว่าทำงานถึงสองทุ่ม ไม่ใช่แค่ข้างมืดภายในห้องก็มืดด้วย เธอเก็บของบนโต๊ะจัดเรียบร้อยก่อนจะหยิบกระเป๋าลุกขึ้น
“ป้อน”
“ว้าย!” คนตัวเล็กตกใจแทบสิ้นสติเมื่อกำลังจะลุกขึ้นก็มีคนมาเรียก ดวงตากลมโตมองตามเสียงเห็นเป็นกองทัพก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“พี่ทัพเล่นอะไรคะ มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงตกใจหมดเลย” แหวใส่เสียงดังพลางจับหัวใจรับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นที่เร็วกว่าปกติ
..เกือบหัวใจวายตายแล้วไหมล่ะ
“ยังกลัวผีไม่หายอีกเหรอ” ถามเสียงกลั้วหัวเราะ เขารู้ว่าณชาค่อนข้างที่จะกลัวผีแต่ก็ยังชอบดูหนังผีฟังเรื่องเล่าผีจนเก็บเอาไปคิดมากนอนไม่หลับลำบากคนอื่นต้องไปนอนเป็นเพื่อน หรือบางครั้งแค่ความมืดก็ทำให้เธอเริ่มจินตนาการถึงเรื่องราวอีกโลกไปไกลแล้ว
“ใครว่าป้อนกลัว ไม่ได้กลัวสักหน่อยแค่ตกใจ ตกใจเท่านั้นเองค่ะ” ย้ำให้เขารู้พลางเชิดหน้าขึ้นก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงของตก ร่างบางผวาเข้าไปเกาะแขนคนตัวสูงซึ่งเป็นที่พึ่งเดียวของตนในตอนนี้ บดเบียดร่างกายให้ใกล้ชิดเขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“มือพี่ปัดไปโดนกล่องปากกาตกน่ะ” เมื่อทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบกองทัพจึงกระซิบแผ่วเบาข้างหูเธอที่หลับตาปี๋ ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองเขาในระยะประชิดแล้วรีบออกห่างทันที
“พี่ทัพแกล้งป้อนใช่ไหม” กล่าวหาเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“เปล่า พี่จะไปแกล้งป้อนทำไมไม่กลัวผีไม่ใช่เหรอ” ใบหน้าคมอมยิ้มอย่างมีความสุขซึ่งไม่ได้เห็นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
คนตัวเล็กส่งสายตาค้อนใส่เขาแล้วเดินนำออกไปข้างนอกก่อนจะนึกได้จึงรีบกลับมาเดินข้างกองทัพ
“อ้าว ไม่ไปก่อนเหรอ” หันไปเย้าแม้จะรู้เหตุผลที่ณชาเดินเคียงข้างตน
“ไม่ค่ะ” อยากกอดแขนเขาด้วยซ้ำแต่ไม่อยากเสียฟอร์มไปมากกว่านี้จึงทำเพียงเดินใกล้กองทัพแทน มองซ้ายขวาเพื่อดูความผิดปกติก็ไม่เห็นมีอะไร ไฟในแผนกถูกปิดจนหมดเหลือเพียงไฟตามทางเดินเท่านั้น ทั้งสองรอลิฟต์ด้วยกันไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก
“เข้ามาเร็วสิคะ” ร่างบางก้าวเข้าไปก่อนแต่กองทัพเหมือนจะรีรอกระทั่งตัดสินใจเดินเข้าไป ใบหน้าคมมีแววครุ่นคิดแล้วกดชั้นหนึ่ง
ณชาถอนหายใจด้วยความโล่งอกคิดว่ารอดแล้ว
“กลับค่ำแบบนี้แฟนไม่รอแย่แล้วเหรอ” ร่างสูงหันไปถามเสียงเรียบ
“ไม่ค่ะ พี่ตฤณติดเคสมารับไม่ได้” แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ณชามองเลขชั้นก่อนจะขมวดคิ้วเพราะลิฟต์ไม่เคลื่อนไปไหน
“พี่ทัพทำไมลิฟต์ไม่ไป” ถามเขายังไม่ทันได้คำตอบไฟในลิฟต์ก็ดับรับรู้ได้ถึงแรงสั่นหนึ่งครั้งก่อนทุกอย่างจะเงียบลง ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นคว้าแขนหนากอดเข้าทันที หัวใจเต้นระรัวด้วยความกลัวหลับตาแน่นพร้อมทั้งสวดมนต์ในใจ
“พี่ทัพลิฟต์ค้าง ทำไงดี พี่ทัพ” เขย่าแขนเขาทั้งที่ตนเองยังไม่ลืมตาในขณะที่คนตัวสูงมีสติจึงกดปุ่มฉุกเฉินภายในลิฟต์ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูสัญญาณก็พบว่าไม่สามารถโทรออกได้ สัญญาณอินเตอร์เน็ตก็ไม่มีคงต้องรอเวลาอย่างเดียว
“ใจเย็นก่อนนะ” เพราะไฟดับทุกอย่างจึงไม่สามารถติดต่อคนข้างนอกได้เลย สงสัยต้องรอไฟมา ก่อนเข้าลิฟต์ก็นึกเอะใจว่ามีการแจ้งเตือนจะซ่อมไฟในเวลาสองทุ่มถึงสองทุ่มครึ่ง ยกมือถือขึ้นมาดูเวลาเหลืออีกตั้งยี่สิบนาที
..หวังว่าณชาคงไม่เป็นลมไปก่อนนะ
“ป้อนกลัว” บอกเสียงสั่นเหมือนคนร้องไห้
เขาพาเธอมาชิดผนังแล้วให้คนตัวเล็กนั่งลงมือหนาโอบไหล่บางเอาไว้ซึ่งหญิงสาวก็เบียดตัวเข้าใกล้ร่างสูงด้วยความกลัว เธอยังคงหลับตาไม่กล้ามองฝ่าความมืด
“เดี๋ยวพี่เล่านิทานให้ฟัง”
เหมือนย้อนไปครั้งยังเป็นเด็ก เด็กชายกองทัพชวนเด็กหญิงณชาเล่นซ่อนแอบ สาวน้อยเข้าไปหลบในห้องเก็บของจนพี่ชายตามมาเจอแต่ก็เพราะประตูเสียจึงไม่สามารถออกไปไหนได้กระทั่งตะวันตกดิน
เด็กหญิงณชาร้องไห้งอแงโดยมีพี่ชายปลอบไม่ห่าง เขาเล่านิทานให้เธอฟังจนน้องน้อยนอนหลับและมีคนมาเจอพาทั้งสองออกจากห้องนั้น ต่อมาห้องเก็บของจึงถูกปิดตายกลัวเด็กเข้าไปเล่นอีก
“ไม่เอาเด็กเลี้ยงแกะแล้วนะ”
ใบหน้าคมหลุดยิ้มเพราะนิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องหากินของเขา ใช้ได้กับทุกสถานการณ์
“ถ้าไม่เอาเรื่องนี้พี่ก็ไม่รู้จะเล่าอะไรแล้วนะ มีอยู่เรื่องเดียว”
ณชาขำเสียงดังเพราะตั้งแต่เล่นมาด้วยกันก็เห็นกองทัพมีนิทานในใจก็แค่เรื่องนี้เท่านั้น สงสัยชอบเด็กเลี้ยงแกะ ใบหน้าหวานลืมตาและเงยหน้าขึ้นไปมองเขาพลันทั้งสองก็สบตากันในความมืด
ทุกอย่างเหมือนเดจาวูในคืนนั้น..คืนที่เขาเมาไม่ได้สติ
มือหนาจับที่ใบหน้าหวานก่อนจะโน้มตัวไปจุมพิตเธออย่างรวดเร็ว เขาดันตัวณชาให้ติดผนังจนไม่สามารถหลีกหนีสถานการณ์ตรงหน้าได้ ริมฝีปากหนาดูดดึงริมฝีปากบางในขณะที่ดวงตาคมก็จ้องมองอีกฝ่ายในความมืดมิด
ณชารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจจริงๆ หัวใจเต้นรัวเพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่กองทัพทำ มือเล็กทุบอกเขาแรงแน่นอนว่าร่างหนาเจ็บแต่ไม่อาจผละไปได้
“อื้อ” ประท้วงเขาเพราะเริ่มหายใจไม่ออก
ชายหนุ่มจึงผละออกเพื่อให้เธอได้สูดอากาศที่มีน้อยเข้าไปแต่ไม่ปล่อยให้ห่างนานเขาก็เลื่อนใบหน้าเข้าไปจูบอีกครั้งและครั้งนี้เนิ่นนานกว่าเมื่อครู่ราวกับต้องการย้ำเตือนบางสิ่งให้กระจ่าง
พรึบ
ไฟสว่างขึ้นก่อนตัวลิฟต์จะเคลื่อนลงไปข้างล่าง ณชาใช้แรงผลักเขาออกไปทันทีแล้วรีบลุกขึ้น ดวงตากลมโตแดงก่ำเพราะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
เพียะ
ใบหน้าคมหันตามแรงตบก่อนที่ประตูลิฟต์จะถูกเปิด ร่างบางวิ่งหนีเขาอย่างไร้ทิศทางออกมานอกตึกก็เห็นช่างไฟยืนกันเต็มจึงเดินเลี่ยงหนีไปอีกทางโดยมีร่างสูงเดินแกมวิ่งตามออกมา
“เดี๋ยวก่อนป้อน” ตะโกนเรียกเธอไม่ได้ดูทางจนชนเข้ากับช่างไฟทำให้เห็นร่างเล็กวิ่งไปโบกรถแท็กซี่แล้วหายลับไม่อาจตามทัน
เขาสบถอย่างขัดใจแล้ววิ่งไปที่รถยนต์ของตนเองหวังจะตามอีกฝ่ายทว่าก็ไม่กล้าไปบ้านของณชา
“โธ่เว๊ย”
เขาเป็นพี่ชายจะให้เอาเหตุผลอะไรขอพบลูกสาวคุณศลิษา หากบอกว่าจูบลูกสาวท่านคงถูกไล่ตะเพิดออกจากบ้านแทบไม่ทัน อีกทั้งป้อนข้าวมีแฟนอยู่แล้วด้วย
กองทัพทุบพวงมาลัยอย่างขัดใจก่อนจะนึกได้ว่าควรไปที่ไหน..
คอนโดของตนเองเพื่อพิสูจน์บางเรื่อง
โรงพยาบาลยามค่ำคืนช่างเงียบเหงาและดูอ้างว้างเหลือเกิน คุณหมอตฤณเดินออกจากห้องทำงานหลังเปลี่ยนชุดเรียบร้อย เขาโทรหาแฟนสาวแต่เธอก็ไม่รับสายไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ชายหนุ่มยิ้มให้คุณพยาบาลที่อยู่เวรทักทายเพียงเล็กน้อย
“อ้าวหวานยังไม่กลับเหรอ” คนตัวเล็กในชุดเสื้อกาวน์เดินออกมาจากห้องตรวจเจอกับเพื่อนชายคนสนิทก็ส่ายหน้า
“เรามีเคสเลยต้องศึกษาข้อมูลไว้ก่อน”
หวานใจหรือคุณหมอณัชชา ศรีส่องกังวานเป็นสูตินรีแพทย์และยังเป็นแพทย์หญิงเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของตฤณอีกด้วย รู้จักกันตั้งแต่เรียนคณะแพทย์ศาสตร์ปีหนึ่ง หญิงสาวเป็นคนเงียบ ตัวก็เล็กผิวขาวซีดราวไม่เคยโดนแดด ใส่แว่นตาหนาเตอะจนโดนล้อบ่อยครั้งซึ่งณัชชาก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เย็นชาแต่จริงใจ
“สู้ๆ นะครับ” เอื้อมมือไปยีผมสวย
“เราไม่ได้สระผมมาสามวันแล้วนะ”
ชายหนุ่มรีบชักมือกลับทันทีจนณัชชาอมยิ้ม
“ล้อเล่น”
ตฤณยิ้มออกมารู้สึกเอ็นดูเพื่อนเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ณัชชาชอบทำงานจนลืมเวลาหรือบางครั้งก็อ่านหนังสือหนักจนลืมกินข้าวลำบากเขาต้องพาไปโรงพยาบาลเพราะโรคกระเพาะกำเริบ
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับแล้วนะ”
โบกมือลากันเรียบร้อยร่างบางก็มองตามหลังของเพื่อนชายก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา ตฤณก็ยังคงเป็นตฤณวันยังค่ำ แม้เธอจะบอกความในใจกับเขาแล้วอีกฝ่ายก็ให้ได้เพียงสถานะเพื่อน ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
เขาที่คิดแค่เพื่อนและเธอที่คิดมากกว่าเพื่อน
ตฤณขับรถพลางฟังเพลงอย่างมีความสุข ณชาโทรกลับมาหาเขาบอกว่าถึงบ้านเรียบร้อยแล้วที่ไม่ได้รับเพราะปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้ เพียงเท่านี้จากอารมณ์กระวนกระวายก็มลายราวไม่เคยเกิดขึ้น
..เท่านี้ก็ถือเป็นสัญญาณอันดีว่าไม่นานหญิงสาวอาจมีใจให้เขาบ้าง เธอจะไม่หวั่นไหวกับคนดีๆ อย่างเขาเลยหรือ
คิดอย่างเข้าข้างตนเองกระทั่งผ่านสะพานแห่งหนึ่งดวงตาคมเหลือบไปมองเห็นผู้หญิงกำลังจะกระโดดน้ำเขารีบมองรถข้างหลังแล้วตีไฟเลี้ยวทันที จอดรถเสร็จรีบวิ่งไปหาร่างบางแล้วคว้าเอวบางเอาไว้
“ว้าย” หญิงสาวร้องตกใจที่มีผู้ชายมาคว้าเอวแล้วยกตัวเธอให้ลงมายืนที่พื้นจากราวสะพาน“ทำบ้าอะไรของคุณ” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วตะคอกใส่เสียงดัง ใบหน้ามีแววหงุดหงิดแล้วถอยห่างจากชายแปลกหน้า
“คุณนั้นแหละทำบ้าอะไร” คุณหมอถามกลับเสียงดังไม่แพ้กัน เขาหายใจเข้าออกระงับความโกรธเอาไว้ ไม่ชอบสักนิดที่มีคนเห็นชีวิตเป็นของเล่น
“ฉันทำอะไร”
“คุณกำลังจะฆ่าตัวตายไง” ระเบิดอารมณ์ใส่เธอจนคนที่โดนเข้าใจว่าคิดสั้นสะดุ้ง มองดวงตาคมที่แดงก่ำของเขาก็เริ่มรู้สึกผิดทั้งที่ไม่รู้ว่าทำถึงรู้สึกแบบนั้น
“ฉันไม่ได้จะฆ่าตัวตาย แค่มีอะไรให้คิดนิดหน่อยเลยมานั่งเล่น” ตอบเสียงแผ่ว
แต่ตฤณกลับหัวเราะเสียงขึ้นจมูก ร่างสูงเข้าไปจับไหล่เล็กเอาไว้เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องเขา
“อย่าทำแบบนี้อีก ชีวิตคุณมีค่าอย่าคิดว่าไม่มีใคร อย่าแบกรับความทุกข์ไว้คนเดียว หรือถ้าจะฆ่าตัวตายอีกก็นึกหน้าผมไว้ ถ้าคุณตายผมจะสาปแช่งไม่ให้คุณไปผุดไปเกิด”
ร่างบางนิ่งอึ้งก่อนจะผลักชายหนุ่มออกห่างตนเอง
“ไอ้บ้า ฉันไม่ได้จะฆ่าตัวตายอยู่ดีๆ มาสาปแช่งกันบ้าหรือเปล่า!” ว่าจบก็หันหลังกลับเดินไปที่รถของตนเองขับออกไปทันที
ฝ่ายหมอหนุ่มก็ทรุดลงนั่งบนพื้นสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เขาคิดถึงภาพวันนั้น วันที่เห็นศพของน้องชายขึ้นมาจากน้ำ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปีก็ไม่เคยลืมภาพนั้นได้เลย
กลายเป็นความทรงจำที่เลวร้ายในชีวิตของเขา