๔ สัญญาณเตือน (๒)
คำถามเกิดขึ้นภายในใจมองปลายฟ้าผละออกแล้วยกมือขึ้นโบกลาชายหนุ่มพร้อมเดินจากไปปล่อยให้ร่างสูงยืนอยู่เพียงลำพัง
ตฤณที่เดินตามหลังมาหยุดมองแฟนสาวของตนเอง ใบหน้าหวานที่เห็นเพียงด้านข้างเศร้าสร้อยจนอยากเดินเข้าไปกอดปลอบ เขามองตามสายตาของเธอก่อนจะไปหยุดที่ร่างสูงคุ้นเคย ถ้าจำไม่ผิดผู้ชายคนนั้นคือกองทัพพี่ชายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กของณชา
..แต่ทำไมต้องมองด้วยสายตาแบบนั้น
สายตาที่แม้แต่คนเป็นแฟนอย่างเขายังไม่เคยได้รับ ความเจ็บปวดทว่ายังเปี่ยมไปด้วยความรัก
..หรือว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นรักแรกของเธอ
หมอตฤณไม่อาจทนมองอยู่เฉยได้จึงเดินเข้าไปโอบไหล่เล็กก่อนจะถามด้วยใบหน้าอมยิ้มปกปิดความรู้สึกผิดหวังในหัวอย่างมิดชิด
..เขาจะไม่แสดงอาการให้เธอรู้เด็ดขาด
“ป้อน ไม่เข้าไปเอากระเป๋าเหรอ”
“อ๋อ ไปค่ะ” ร่างบางตื่นจากภวังค์ก่อนจะตรงไปยังร้านอาหารที่เพิ่งออกมาเมื่อสักครู่ ภาพที่เห็นกองทัพกอดกับปลายฟ้ายังคงติดในความทรงจำไม่ลืมเลือนแม้จะได้กินของหวานก็ไม่อาจช่วยได้
หมอตฤณมองแฟนสาวก่อนจะชวนคุย
“ไปสัมภาษณ์งานเป็นยังไงบ้าง” เห็นเธอเหม่อลอยเขาจึงพยายามถามไถ่ไม่ให้บรรยากาศเงียบ
สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ภายในร้านบิงซูชื่อดังมีคนเต็มร้านเรียกได้ว่าแทบไม่มีโต๊ะว่างยิ่งเป็นช่วงเที่ยงแบบนี้ถึงขนาดมีคนยืนรอโต๊ะว่างหน้าร้าน
“ก็ดีค่ะ ไม่รู้จะได้หรือเปล่า” ก้มหน้าตักของหวานเข้าปากหลีกเลี่ยงการบอกสถานที่ทำงานแก่เขา
ตฤณไม่รู้ว่าณชาไปสมัครงานที่บริษัท วิจิตร จำกัด (มหาชน)
“งานอะไรเหรอ” คุณหมอดูแลแฟนสาวอย่างดีด้วยการตัดขนมปังให้มีชิ้นเล็กเพื่อสะดวกในการกิน
“ก็ทั่วไปค่ะ” ตอบแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง ไม่รู้ทำไมจึงไม่อยากบอกว่าทำงานกับใคร เรื่องราวความรักครั้งเก่าของตนหมอตฤณยังคงไม่ทราบและเธออยากให้มันเป็นความลับต่อไปเพราะรักครั้งนั้นมันไม่สมหวัง
“ว่าแต่วันนี้พี่หมอไม่มีตรวจเหรอคะ” ปกติช่วงเที่ยงเขาทำงานแทบไม่ได้กินข้าวแต่วันนี้กลับโทรชวนมาเดินเล่น รับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันก็สร้างความสงสัยให้ณชา
“มีครับ พี่มีเคสบ่ายสองยังไงก็ไปทัน” เขายิ้มให้เธอแล้วบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ก็เงียบลงเพราะต่างติดอยู่ในความคิดของตนเอง
หมอตฤณอยากถามเรื่องของกองทัพแต่ก็ไม่กล้า เขากลัวที่จะเผชิญความจริง หลายคนชอบเอาอาชีพมาตีกรอบความคิดว่าหมอควรเก่งไปเสียทุกเรื่อง หากในตำราเขาไม่เถียงว่าอาชีพหมอต้องเก่งเพื่อรักษาคนไข้แต่ในชีวิตจริงเรื่องความรักมันค่อนข้างยากสำหรับเขายิ่งแฟนสาวไม่ได้มีอาชีพเดียวกันเวลาระหว่างเราก็ยิ่งน้อยลงทุกที
หากหมอตฤณไม่เป็นคนนัดก็แทบจะไม่ได้เจอกับณชาเลยราวกับว่าสามเดือนที่คบกันไม่ต่างจากสามปีที่รู้จักกันมา เป็นเพียงแค่พี่น้องเท่านั้น แม้แต่จูบยังไม่เคยได้จากเธอ
“เมื่อกี้พี่เห็นคุณกองทัพกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเป็นแฟนกันเหรอ” ตัดสินใจเอ่ยถามในที่สุด
ณชาเงยหน้าสบตาเขาแววตากลมโตสั่นระริกก่อนก้มมองของหวานตรงหน้าแทน
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ป้อนไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไหร่”
เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออกว่าคำพูดนั้นไม่เป็นความจริงสักนิด ดูท่าว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นรักแรกและยังคงเป็นรักที่ฝังใจหญิงสาวมาตลอดไม่เว้นกระทั่งตอนนี้ เพียงแค่เอ่ยชื่อก็ทำให้คนตรงหน้าน้ำตาคลอได้
..ไม่ธรรมดาจริงๆ
“พี่ว่าเรากลับกันดีไหม พี่ลืมว่าต้องไปหาอาจารย์หมอปรึกษาเรื่องงานวิจัย” ตอนนี้เหมือนเขากำลังจะเป็นโรคหัวใจ ไม่เคยได้สัมผัสความเจ็บปวดแบบนี้มาก่อนเลย
ณชาพยักหน้ารับก่อนไปจ่ายเงินหลังจากนั้นคุณหมอก็ไปส่งแฟนสาวที่บ้านค่อยกลับไปทำงานที่โรงพยาบาล
ระหว่างทางเขาขับรถด้วยใจที่เหม่อลอยเป็นครั้งแรก ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงแต่กลับสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้น ความสงสัยที่ไม่อยากหาคำตอบเพื่อตอบคำถามในใจเคยเรียนรู้ความเจ็บปวดจากการไม่ถูกรักมาเป็นเวลาสามปีจนตอนนี้ที่เธอตอบรับเขาแต่กลับกลายเป็นว่าสถานะนั้นคือสิ่งลวง เหมือนเขากำลังไล่ตามฟองอากาศที่มีอยู่จริงแต่ไม่นานก็จะสลายไป
ณชาถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มแต่ก็เดินเข้าไปภายในแผนกการตลาด เธอยกมือไหว้พี่ฐานิดาผู้จะมาสอนงานเลขานุการให้เพียงวันเดียวก่อนจะลายาวถึงสามเดือน วันนี้กองทัพไม่เข้าบริษัทเพราะมีธุระสำคัญซึ่งไม่มีใครรู้ว่าธุระนั้นคืออะไรแต่เป็นหญิงสาวเองที่สงสัย
..หรือว่าธุระคือเรื่องของปลายฟ้า
รีบสลัดความคิดนั้นออกก่อนตั้งใจเรียนรู้งาน งานของเขาเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ เอกสารที่ต้องคัดกรองก่อนส่งถึงมือหัวหน้าแผนก พิมพ์รายงานประจำสัปดาห์ แปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ จัดการนัดหมายกับคู่ค้าตามเวลาที่ชายหนุ่มว่าง เห็นงานแล้วก็อยากจะเป็นลม
“น้องป้อนทำได้ใช่ไหมคะ”
อยากตอบเหลือเกินว่าไม่ได้แต่จำต้องพยักหน้ายิ้มเจื่อน ก้มมองเอกสารแล้วอยากถอนหายใจออกมาเสียงดัง
..การทำงานในออฟฟิศไม่ใช่สิ่งที่เธอชอบเลย
วันนั้นทั้งวันหญิงสาวหัวหมุนกับงานจนฐานิดาบอกให้ใจเย็น เธอพยายามสอนอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่เพราะงานเยอะจึงต้องใช้หลักสูตรเร่งรัด เวลาผ่านไปจนถึงห้าโมงเย็นงานตรงหน้าก็ยังไม่เสร็จ เธอต้องแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษซึ่งมีทั้งหมดกว่ายี่สิบหน้า
“พรุ่งนี้ค่อยมาทำก็ได้ กลับเถอะป้อน” ฐานิดาบอกอย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกไม่กี่หน้าก็เสร็จ พี่ฐากลับก่อนเลยเดี๋ยวป้อนค่อยกลับ”
คนท้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจพอดีกับที่สามีโทรศัพท์บอกว่ารอข้างล่างเธอจึงบอกลาน้องสาวที่พึ่งเจอกันแต่รู้สึกเอ็นดูมากเหลือเกิน เสียดายที่ไม่ได้ทำงานด้วยกัน
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ เสร็จแล้วรีบกลับเข้าใจไหม” พยักหน้าแล้วยิ้มกว้าง แม้จะมาทำงานวันแรกแต่คนในแผนกก็ต้อนรับสุดๆ ทั้งผู้ชายที่มักจะแวะเวียนมายังโต๊ะของผู้ช่วยเลขานำขนมนมเนยมาฝากจนไม่ต้องไปกินข้าวเที่ยง
ตอนนี้เหลือเพียงณชาที่ทำงานคนเดียวภายในแผนก เธอเร่งอ่านแล้วก็แปลจนไม่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามากระทั่งมีเสียงเคาะบนโต๊ะจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“ทำไมยังไม่กลับอีก” กองทัพยืนอยู่ตรงหน้าในชุดสูทเรียบหรู
ณชาที่รู้สึกว่าตนเองไม่พอใจเขาก็ไม่ตอบคำถามกลับก้มหน้าไปพิมพ์เอกสาร
..จะสนใจทำไมทีเขายังไม่บอกเลยว่าทำธุระอะไร
รู้ว่าความคิดของตนอาจดูไร้สาระแต่ก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกได้
“ผู้ใหญ่ถามไม่ตอบ เด็กดื้อ” เอื้อมมือมาบิดจมูกเล็กสองสามที
จนเธอต้องปัดมือเขาออกแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งอย่างหาเรื่อง
“ทำไมต้องตอบด้วยคะ พี่ทัพก็เห็นอยู่แล้วว่าป้อนทำอะไรยังจะมาถามอีก น่ารำคาญ”
ร่างสูงกอดอกมองคนตรงหน้า ไม่รู้ทำไมคำว่ารำคาญไม่ได้ทำให้เขาโกรธเธอแต่กลับย้อนนึกถึงเมื่ออดีตแทน เขาชอบพูดรำคาญเธอบ่อยครั้งเพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เขาไม่ได้รำคาญณชาเลยสักนิดกลับเพิ่มความเอ็นดูที่เห็นริมฝีปากบางยื่นออกมาอย่างคนขัดใจ
“รำคาญจริงเหรอ ไม่ใช่ว่างอนพี่นะ” ร่างสูงเดินอ้อมไปหาเธอก่อนจะหมุนเก้าอี้ที่ณชานั่งหันมาหาตนเอง
กองทัพนั่งลงเพื่อให้สบตาในระดับเดียวกันไม่ต้องก้มคุยจนรู้สึกเมื่อยคอ
“ใครงอนคะ ป้อนจะงอนพี่ทัพทำไม” ถามเสียงสะบัดพยายามหมุนเก้าอี้กลับไปทำงานต่อแต่เพราะแขนแข็งแรงทั้งสองข้างของเขาจับพนักเก้าอี้ไว้เสียแน่นจนไม่สามารถขยับไปไหนได้
ร่างบางพยายามหลบเลี่ยงสายตารู้ทันของชายหนุ่ม
“ไม่ได้งอนจริงเหรอ” ดวงหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
ณชาตาโตรีบเบี่ยงหน้าหลบเขาทันที
“อย่านะคะพี่ทัพ!” ตะโกนเสียงดังลั่น
จนหัวหน้าฝ่ายการตลาดหัวเราะเสียงดังเลิกแกล้งเธอเพราะใบหน้าหวานแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออายกันแน่ หากไม่คิดเข้าข้างตนเองจนเกินไปเขาขอเดาว่าเธออายก็แล้วกัน
“ตกใจอะไร พี่แค่จะเอาขนตาออกให้” หยิบขนตาที่ติดอยู่บนแก้มนวลออกแล้วลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋ายิ้มขันที่สามารถแกล้งผู้หญิงตรงหน้าได้
ส่วนณชาเองก็เกิดอาการกระดากอายคิดไปเองเป็นตุเป็นตะว่าเขาจะทำมิดีมิร้าย
“ก็ใครให้เข้ามาใกล้ขนาดนั้นล่ะคะ ทีหลังก็บอกกันดีๆ สิ” เช็ดแก้มตนเองแก้เก้อแล้วหันไปทำงานต่อ
“วันนี้พี่ไปทำบุญกับคุณแม่” ไม่รู้ทำไมถึงต้องบอก
..ก็แค่ไม่อยากให้คุณเลขาคนใหม่งอนเท่านั้นเอง
เขามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม อยู่ดีๆ ก็รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมา
“บอกทำไม ป้อนไม่ได้ถามซะหน่อย” ตามองเอกสารแต่ก็ไม่ได้รับรู้สักนิดว่าตัวหนังสือข้างหน้าอ่านว่าอะไรเพราะมัวแต่รู้สึกดีใจกับคำบอกเล่าเล็กน้อยนั้น
“แค่อยากบอกกลัวเด็กแถวนี้คิดมากหาว่าพี่เอาเวลางานไปเที่ยวหญิง”
ณชารีบหันมาสบตาเขา
“ป้อนไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย” ปฏิเสธเสียงแข็ง
จนกองทัพหัวเราะออกมา เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กเหมือนที่เคยทำครั้งเธอยังเป็นเด็ก การกระทำดังกล่าวทำให้หัวใจของสาวนอกเต้นโครมครามแทบหลุดออกจากอก เคยคิดอยากให้กองทัพมองเธอด้วยรอยยิ้มบ้าง รอมาแสนนานในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ถ้าทำงานเสร็จแล้วก็กลับนะ อยู่ค่ำน้าลิซได้ว่าพี่ใช้งานลูกสาวท่านหนักพอดี” ละมือออกจากกลุ่มผมสวยอย่างเสียดายแล้วกำชับเสียงเข้มก่อนเข้าห้องตนเอง เขามีเอกสารที่ต้องเคลียร์จึงบึ่งรถจากอยุธยากลับมาทำงานที่คั่งค้าง
ณชาแทบไม่มีสมาธิทำงานหลังจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ผ่านไป เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ยกมือขึ้นมาหยิกแขนตัวเองพอรู้สึกเจ็บก็ยิ้มอย่างยินดี
..ไม่ได้ฝันไปจริงด้วย เมื่อสักครู่คือความจริง
หัวใจดวงน้อยสัมผัสได้ถึงความสุขที่ห่างหายไปนาน เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กที่ยังมีพี่ชายแสนดีอยู่เคียงข้าง
เวลาดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหญิงสาวทำงานเสร็จบิดขี้เกียจสองสามครั้งมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้วจึงรีบปิดคอมพิวเตอร์ หยิบกระเป๋าลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้เข้าไปชิดโต๊ะก่อนมองห้องหัวหน้าแผนก
..เขาจะกลับตอนไหนนะ
“ไปดูสักหน่อยดีกว่า” พึมพำกับตนเองแล้วเดินไปเคาะประตูห้องเพียงสามครั้งจึงเปิดเข้าไปโดยไม่รอฟังคำอนุญาตจากเจ้าของห้องก่อนเลย“ป้อนกลับแล้วนะคะ” บอกอย่างรวดเร็ว
จนคนที่พึ่งเงยหน้าขึ้นจากเอกสารต้องรีบเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ” เห็นร่างบางทำท่าจะหมุนตัวออกไปก็เอ่ยเรียกแล้วรีบลุกขึ้นเดินไปหาเธอ ทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงก้าวเดินจนกระทั่งเขาหยุดตรงหน้า
“งานพี่ใกล้เสร็จแล้วรอก่อนได้ไหม แล้วจะพาไปกินข้าวเย็น” เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
จนคนตัวเล็กใจอ่อนระทวย
“ถ้าอย่างนั้นป้อนขอโทรบอกแม่ก่อนนะคะ” ตอบรับง่ายดายจนต้องก่นด่าตนเอง
..เพียงแค่เขาพูดจาอ่อนหวานออดอ้อนเข้าหน่อยก็ใจอ่อนเสียแล้ว เธอมันบ้าผู้ชายโดยแท้ โกรธให้นานกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้
“ครับ”
กองทัพจะทำให้หัวใจเธอทำงานหนักไปถึงไหน เพียงแค่เขาขานรับด้วยน้ำเสียงทุ้มร่างบางก็แทบทรุดตัวนั่งลงเพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร
ณชาเดินออกไปคุยโทรศัพท์กับมารดาบอกว่าจะเข้าบ้านค่ำ
คุณศลิษาเอ่ยถามเพียงเล็กน้อยก็วางสายเมื่อได้ความว่าจะไปกินข้าวเย็นกับกองทัพ ท่านไว้ใจหลานชายคนนี้จึงอนุญาตอย่างง่ายดาย ไม่รู้สักนิดว่าฝากปลาย่างไว้กับแมว
“ไปกันเลยไหม”
เธอพยักหน้ารับแล้วเดินเคียงข้างเขาออกจากแผนก ไฟตามทางเดินส่องสว่างไม่มืดน่ากลัวอย่างที่คิด ดีที่ฝ่ายการตลาดอยู่ไม่สูงนักใช้เวลาไม่นานจึงถึงชั้นหนึ่ง
ใบหน้าคมแอบมองณชาที่หันซ้ายขวาดูหลุกหลิกชอบกล
เขาแอบอมยิ้มเมื่อรู้ว่าอะไรที่ทำให้เธอกลัว หญิงสาวกลัวผีมาตั้งแต่เด็กทว่าก็ยังชอบดูหนังผีซึ่งหลอนจนนอนไม่หลับต้องให้แม่หรือพี่ชายนอนเป็นเพื่อน ทั้งยังชอบฟังเรื่องผีเป็นประจำแล้วเก็บเอามาคิดเองเป็นตุเป็นตะ
“เราจะกินอะไรกันดีคะ” รู้สึกว่าท้องจะเริ่มร้องเพราะหิวจึงหันมาถาม
“แล้วป้อนอยากกินอะไร”
โดนเขาถามกลับแบบนี้ก็นิ่งคิด
..อยากกินไปหมดทุกอย่างเลยทั้งอาหารญี่ปุ่น สุกี้ ชาบู เนื้อย่าง อาหารอีสาน อาหารใต้ คงต้องเลือกออกมาสักรายการเสียแล้ว
หนึ่งทุ่มกว่าแล้วจะให้กินของหนักกว่าจะย่อยคงใช้เวลานานณชาจึงเลือกอาหารที่คาดว่าย่อยง่ายสุด
“ชาบูแล้วกันค่ะ”
กองทัพไม่ขัดพยักหน้าอมยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าที่หน้าประตูมีคนของหญิงสาวยืนรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“ป้อน พี่มารับไปกินข้าวครับ”
ใบหน้าหวานค่อยๆ หุบยิ้มมองร่างสูงของหมอตฤณเดินตรงเข้ามาจับมือเธอแล้วออกแรงเพียงนิดให้หญิงสาวมายืนข้างตนเอง
กองทัพไม่อาจทำอะไรได้นอกจากมองสองคนที่มีสถานะเป็นแฟนกัน
“ขอตัวนะครับคุณกองทัพ” คุณหมอเปลี่ยนจากจับมือเป็นโอบไหล่เล็กเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
และนั่นทำให้ณชาตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงโสดที่จะปันใจให้ใครก็ได้ แต่สถานะตอนนี้คือมีแฟนแล้วไม่ควรทำแบบนี้อีก
เธอสบตากองทัพที่ส่งยิ้มให้เล็กน้อย
มันสายไปเสียแล้วสำหรับเรื่องของเรา..