๓ ช้าไปไหม (๒)
“อ่า เกือบลืมไปเลยฉันจะชวนเธอไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน” รีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นใบหน้าของบุตรชายที่นิ่งสนิท
ร่างสูงยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มข่มอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นภายในหัวใจ เขาไม่ชอบอาการแบบนี้ของตนเองเลย
เหมือนกับว่าจะหวงทั้งที่ไม่มีสิทธิ์
..เกิดอะไรขึ้นกับเขากัน ไหนตอนแรกบอกรำคาญณชาที่ตามตื้อไม่เลิกรา แต่พอหญิงสาวไปคบคนอื่นเขาก็ร้อนรนจนร้อนภายในทรวงอกอย่างที่เป็นอยู่
อาการหมาหวงก้าง
เคยค่อนขอดเพื่อนเอาไว้เรื่องนี้แต่ตนเองดันมาเป็นเสียเอง เขาเคยคิดอยากให้ณชามีแฟนเป็นตัวเป็นตนจะได้เลิกยุ่งกับเขาเสียทีแต่เมื่อเกิดขึ้นจริงดันเป็นตนเองที่ไม่อยากให้ณชามีคนอื่น อยากให้เธอมีเพียงเขาเท่านั้น
“คุณแม่สวัสดีค่ะ อ้าวน้าเปรม” เสียงใสดังขึ้นทำให้กองทัพที่นั่งหันหลังต้องหันไปมอง สองสายตาสบกันทำเอา
ณชาที่เคยยิ้มแย้มก็นิ่งค้างทันที เธอกำลังจะเอ่ยทักชายหนุ่มแต่ก็มีอีกเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน
“ป้อนลืมของ ขี้ลืมจริงนะเรา” หมอตฤณปรากฏกายขึ้นท่ามกลางอารมณ์ขุ่นมัวของกองทัพ คุณหมอหันมาเห็นแขกของบ้านก็ยกมือไหว้ทั้งยังยิ้มให้อย่างมีไมตรีแต่กองทัพกลับหันหลังให้เพราะไม่ต้องการรับไมตรีนั้น
“ขอบคุณนะคะ พี่ตฤณนั่นน้าเปรมค่ะ แม่ของพี่ทัพ”
คุณหมอยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มให้ทันที คุณเปมิการับไหว้แล้วนึกประเมินอีกฝ่ายในใจ
..หน้าตาดีแม้จะไม่ได้หล่อเหลาเท่าลูกชายของเธอแต่ดูท่าทางอบอุ่นอย่างที่ผู้หญิงหลายคนชอบ ไม่แปลกที่จะคว้าใจของณชาเอาไว้ได้
มองบุตรสาวของเพื่อนก็นึกเสียดายในใจ ถ้าได้มาเป็นลูกสะใภ้คงจะดี
“แล้วไม่คิดจะแนะนำพ่อหนุ่มคนนี้ให้น้ารู้จักเหรอ” ถามเสียงล้อเลียนในขณะที่กองทัพก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วดับความร้อนรุ่มในใจ
“เอ่อ พี่ตฤณเป็นแฟนของป้อนค่ะน้าเปรม” ใบหน้าหวานแดงปลั่งอย่างเขินอาย เธอไม่เคยแนะนำใครว่าเป็นแฟนต่อหน้าคุณน้าเพราะหมายมั่นว่าจะเป็นลูกสะใภ้ของท่านให้ได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว หัวใจของกองทัพไม่ได้มีไว้ให้เธอ
ร่างสูงได้ยินก็เกิดอาการไม่ชอบใจอยากลุกขึ้นเดินไปแยกสองคนนั้นออกจากกัน แต่เพราะรู้ว่าไม่ควรจึงทำเพียงแค่นั่งกำมือนิ่งข่มอารมณ์เอาไว้ เขาเกลียดความรู้สึกของตนเองตอนนี้ที่สุด
เหมือนพวกขี้แพ้ชวนตีไม่มีผิด
“เหมาะสมกันดีนะลูก” ฝ่ายชายก็รูปงามทั้งยังเข้าทางผู้ใหญ่ดูจากแววตาแล้วไม่มีทางที่จะทำให้ณชาเสียใจอย่างแน่นอน แม้จะเสียดายแต่ก็ปลื้มใจที่หลานคนโปรดเจอคู่ครองที่ดี ส่วนลูกชายของตนก็ไม่รู้จะได้ใครเป็นแฟนไม่อยากเร่งรัดมากนักเพราะอายุอานามก็ยังไม่เยอะ
“คุณหมอจะกินข้าวด้วยกันไหม แม่จะได้ให้คนตั้งโต๊ะเลย” คนปลื้มว่าที่ลูกเขยอย่างออกหน้าออกตาเอ่ยถาม
คุณหมอมีสีหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัดก่อนตอบปฏิเสธ
“วันนี้คงไม่ได้แล้วละครับ ผมมีงานด่วนขอโทษนะครับคุณแม่”
คุณศลิษามีสีหน้าเสียดายในขณะที่กองทัพกลับก้มหน้าอมยิ้มมุมปากด้วยความดีใจ
..ไปซะได้ก็ดี
“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ ถ้ามาต้องบอกก่อนแม่จะได้ทำอาหารที่คุณหมอชอบไว้ให้”
เห็นเพียงเท่านี้คนที่เป็นเพื่อนกันมานานอย่างเปมิกาก็รู้เลยว่าศลิษาสนับสนุนคุณหมออย่างออกหน้าออกตาและคงหมายมั่นให้ลูกแต่งงานกับหมอตฤณแน่นอน
“ครับ คราวหน้าผมจะมาฝากท้องไว้ที่นี่นะครับ” คุณหมอยกมือลาผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะขอตัวกลับโดยมีแฟนสาวเดินไปส่ง
“กลับดีๆ นะคะ” วันนี้เธอไปตะลอนเที่ยวกับเขาเสียทั่วเมืองกรุงจนล้าไปทั้งตัว
หมอตฤณตามใจแฟนทุกอย่างซื้อของให้มากมายจนณชารู้สึกเกรงใจแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้
“ครับ ถ้าถึงบ้านแล้วพี่จะโทรหานะ” เป็นปกติที่มักจะโทรรายงานตลอดเวลาไม่อยากให้เธอเป็นห่วงหรือกังวลและยังสร้างความมั่นใจให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยคิดจะนอกใจนอกกายเลยสักครั้ง เขามั่นคงกับณชาเสมอ
“ค่ะ” ยิ้มหวานให้เป็นปกติ
จนคุณหมออดใจไม่ไหวดึงร่างบางเข้ามากอดเอาไว้ “พี่ไม่อยากห่างจากป้อนเลย อยากกอดทั้งวัน ลาออกดีไหมนะ”
คนฟังหัวเราะออกมาเสียงใสแต่ก็ไม่ได้กอดตอบเขา
“ถ้าลาออกจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงป้อนล่ะคะ บอกเลยนะว่าป้อนกินจุมากๆ”
หมอตฤณผละออกจากร่างบางเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงกอดเธอไว้หลวมๆ
“กินจุมากเลยเหรอ พี่ก็คงต้องขายบ้านพาเด็กดื้อไปตระเวนกินรอบโลกดีไหม” หัวใจของชายหนุ่มบอกว่าเธอคือความสุข
ณชาเป็นผู้หญิงสดใสที่เพียงแค่อยู่ใกล้ก็มีชีวิตชีวา เหมือนได้ชาร์ตพลังจากการทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน
“ขอคิดดูก่อนแล้วกัน แต่ตอนนี้พี่หมอต้องปล่อยป้อนแล้วก็กลับบ้านได้แล้ว จะค่ำเอานะคะ”
ถอนหายใจแสนเสียดาย มองใบหน้าหวานเพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ ของวันนี้เอาไว้ อยากเร่งวันเร่งคืนพาผู้ใหญ่มาสู่ขอหญิงตรงหน้าโดยเร็ว
“ครับ พี่ไปแล้วนะ”
ใบหน้าหวานพยักหน้าโบกมือลาก่อนจะตาโตเพราะคุณหมอโน้มหน้าลงมาจุมพิตที่หน้าผากเธอโดยเร็วก่อนจะส่งยิ้มหวานให้
“หมอ!” เรียกเสียงเข้มทั้งยังทำตาดุใส่อีกฝ่ายต่างหาก
ตฤณหัวเราะเสียงดังเอ็นดูในความน่ารักเหมือนกระต่ายน้อยของเธอ แก้มนวลแดงปลั่งด้วยความเขินเพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว แค่รู้สึกว่าณชายังมีความรู้สึกกับเขาหัวใจก็พลันชุ่มชื่น
“เดี๋ยวโทรหานะ”
“ไม่รับแล้ว!” โวยวายกลบเกลื่อนอาการอายแต่ก็ยังคงรอส่งร่างสูงจนอีกฝ่ายขึ้นรถขับออกไปจากบ้านหลังนี้ก่อนจะหันหลังกลับเข้าบ้าน
แต่แล้วขาเรียวก็ชะงักราวถูกตรึงไว้อยู่กับที่เมื่อสบเข้ากับดวงตาคมที่หลงใหลมาโดยตลอด กองทัพยืนพิงเสาหน้าบ้านกอดอกมองมาที่เธอด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บอกอารมณ์ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเป็นเด็กที่ทำความผิดกำลังจะถูกครูฝ่ายปกครองลงโทษ
บรรยากาศโดยรอบพลันหนาวเหน็บขึ้นทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาว ณชาเอามือถูกางเกงเพราะรู้สึกว่ามือมีแต่เหงื่อจนชื้นไปหมด
“ไม่กลับไปด้วยเลยล่ะ”
น้ำเสียงกึ่งประชดนั้นณชาไม่ชอบเอาเสียเลย เขามองมาและตัดสินไปแล้วว่าเธอเป็นคนผิดทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด
“นั่นสิคะ คราวหน้าป้อนกลับไปกับหมอดีกว่า” อารมณ์ที่เคยกลัวถูกตีให้ขุ่นมัว ร่างบางเดินขึ้นบันไดมายืนตรงหน้ากองทัพ ในเมื่อเขาเอามือกอดอกเธอก็ทำเช่นเดียวกันเสียแต่ว่าส่วนสูงที่ต่างทำให้ดูเหมือนเธอจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มการปะทะ
“ทำอะไรก็ไว้หน้าพ่อหน้าแม่บ้าง ไม่ใช่ทำประเจิดประเจ้อกอดกันหน้าบ้านไม่อายผีสางนางไม้” ร่างสูงเอามือแนบลำตัวเดินมายืนตรงหน้าสาวนักเรียนนอกมากขึ้นจนเธอต้องเงยหน้ามองเขา
..ให้ตายเถอะ เขากำลังทำตัวเหนือกว่าชัดๆ
“บ้านป้อนไม่มีผีสางนางไม้ค่ะ มีแต่เทวดาแล้วที่ป้อนทำมันผิดตรงไหน คนเป็นแฟนกันจะกอดกันก็ไม่เห็นแปลกเลย ทีบางคนไม่ได้เป็นแฟนยังทำมากกว่ากอด” รู้ว่ากำลังพาลและเอาเรื่องเก่ามาพูดซ้ำอีกครั้งกวนตะกอนให้ขุ่น
จนกองทัพทนไม่ไหวคว้าแขนเรียวมาบีบเอาไว้
“ป้อน!” เรียกเสียงดังเพื่อเตือนไม่ให้หญิงสาวพูดอะไรอีก ใบหน้าคมแดงก่ำด้วยความโกรธกระทั่งมีเสียงเรียกจากข้างในบ้าน
“ตาทัพ หนูป้อน มากินข้าวนะลูก” เป็นคุณเปมิกาที่ร้องเรียกเสียงดังจนณชาสะบัดแขนตัวเองออกห่างจากเขาพลางลูบแขนปอยๆ
..เจ็บไม่ใช่เล่นก็เขาบีบเธอเสียแรงไม่ออมมือแม้แต่น้อย เห็นเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตหรือยังไงถึงได้ทำจนแดงขนาดนี้
“ค่ะ” ตอบรับเสียงดังแล้วเดินแกมวิ่งเข้าบ้านไม่รอคนตัวสูงที่เดินตามหลังเข้ามา
ยอมรับว่าหัวเสียไม่น้อยกับบทสนทนาเมื่อครู่ ความจริงเขาหัวเสียตั้งแต่เห็นผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนหนุ่มของณชาโผล่มาแล้ว ไหนจะเห็นทั้งสองพลอดรักกันเต็มตาก็เกิดอารมณ์หลากหลายที่หลอมรวมกัน
ยอมรับว่าเขาพาลใส่เธอทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของตนเอง
แต่จะให้ทำอย่างไรเพราะเรื่องนี้มันอยู่เหนือการควบคุม เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมถึงทำราวกับว่าชอบณชาทั้งที่ตลอดมาแทบไม่เคยนึกถึงเธอเลย อาการเท่าที่วิเคราะห์ออกมาได้ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหวงของเหมือนพวกหมาหวงก้าง หึงที่เห็นเธออยู่ใกล้ชิดคนอื่นแม้แต่เด็กประถมยังดูออกว่ามันคืออะไร
อยู่ที่ว่าจะยอมรับหรือไม่ และคนอย่างกองทัพ..ไม่ยอมรับ
เขาไม่มีวันชอบเด็กที่ตนเองเคยรำคาญได้หรอก อีกทั้งเด็กคนนั้นยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตน นายกองทัพจะไม่มีวันกลับไปชอบคนมีเจ้าของแล้วกลายเป็นคนที่ไม่ถูกเลือกอีกครั้งอย่างนั้นหรือ..
เมินเสียเถอะ ณชาก็แค่น้องเท่านั้น แค่น้องสาว
บนโต๊ะอาหารคุณแม่ทั้งสองคนรับรู้ถึงความผิดปกติ กองทัพถึงแม้จะเงียบอยู่แล้วแต่ใบหน้าก็ไม่เรียบเฉยขนาดนี้ในขณะที่ณชาจะเป็นคนร่าเริงแต่วันนี้กลับหน้าตาบูดบึ้งเหมือนไปกินรังแตนมาเสียอย่างนั้น
ศลิษามองลูกสาวสลับกันจานข้าวจนมึนศีรษะ
“ป้อน เป็นอะไร” เมื่อทนไม่ไหวก็ต้องเอ่ยถามบุตรสาวเสียงเข้ม
“เป็นอะไรคะ เป็นลูกแม่ไง” เห็นตอบโต้กลับมาแบบนี้ได้ก็พลอยเบาใจได้บ้าง
ส่งค้อนให้ลูกสาววงใหญ่จนณชาหัวเราะออกมา
“ไม่พูดด้วยแล้วลูกคนนี้ คุยกับกองทัพดีกว่า ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้างลูก” ว่าลูกสาวก่อนจะหันไปถามลูกชายของเพื่อนสนิท
“ยุ่งครับ เลขาผมใกล้จะลาคลอดก็เลยยิ่งยุ่งไปใหญ่ ต้องหาเลขามาช่วยชั่วคราว” กองทัพทำงานในตำแหน่งหัวหน้าการตลาดกำลังอยู่ในช่วงทำผลงานให้เหล่ากรรมการพึงพอใจแต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่คือคุณฐานิดาเลขาของตนใกล้คลอดแล้วอีกทั้งเจ้าตัวยังลางานล่วงหน้าสามเดือนค่อนข้างกระทบกับงานพอสมควร ตอนนี้ให้ฝ่ายHRหรือแผนกบุคคลช่วยหาคนมาแทนชั่วคราว
“จริงเหรอ! ป้อนไง ตอนนี้น้องยังว่างให้น้องไปช่วยก่อนไหม” ถามเสียงตื่นเต้นลืมอาหารตรงหน้าไปเสียสนิท
คนที่ถูกกล่าวถึงก็เช่นนั้นหญิงสาวหันไปมองมารดาตาโตไม่คิดว่าคุณแม่จะทำแบบนี้กับเธอ
“อะไรกันคะแม่ งานป้อนก็มีนะ” ท้วงทันทีหากช้าคุณแม่คงรีบพาเธอขึ้นไปเลือกชุดเพื่อใส่ไปทำงานกับกองทัพ
“มีอะไรกัน แม่เห็นเราลอยไปลอยมา”
“แม่คะ ป้อนไม่ใช่กระสือสักหน่อยที่เอาแต่ลอยไปลอยมาน่ะ ป้อนช่วยงานร้านแม่ตั้งเยอะ” ไม่สนใจอาหารตรงหน้ายกมือขึ้นกอดอกพลางทำปากยู่จนจะชิดปลายจมูกแล้ว
“ไม่ต้องมาเถียงเลย ทัพช่วยรับน้องไปเป็นเลขาหน่อยสิ เห็นว่างงานแล้วน้าขัดใจจริงๆ”
คุณเปมิกามองลูกชายนิ่งก่อนจะแอบอมยิ้มเพราะเห็นแววตาเป็นประกายของกองทัพ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาราบเรียบดังเดิม
“จะให้ป้อนไปเป็นเลขาพี่ทัพได้ยังไงคะ ป้อนเรียนบริหารนะแม่ไม่ได้เรียนเลขา”
“เดี๋ยวนี้มันสอนกันได้ จบมาทำงานไม่ตรงสายก็เยอะ คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับพรุ่งนี้ให้ป้อนไปยื่นใบสมัครที่บริษัทได้เลย”
คุณศลิษายิ้มหน้าบานทันทีเมื่อดูท่าว่าลูกสาวจะผ่านเข้าทำงานตั้งแต่ยังไม่ได้สมัคร คนคุ้นเคยกันหากช่วยกันเรื่องงานก็ไม่แปลก
“แต่ว่า”
“พอได้แล้วป้อน ไปทำงานกับพี่เขานั่นแหละมีอะไรจะได้บอกได้สอน ดื้อจริงเชียวลูกคนนี้” เมื่อมารดาตัดบทแล้วลูกสาวจะทำอะไรได้
ณชากินข้าวด้วยความไม่สบอารมณ์ตลอดมื้อนั้นต่างจากกองทัพที่ยิ้มแย้มไม่เหมือนเมื่อครู่ราวหน้ามือเป็นหลังมือ เหลือบมองคนตัวเล็กที่นั่งตรงข้ามก่อนจะยักคิ้วให้ทีหนึ่งทำเอาณชาที่มีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่เป็นทุนเดิมเพิ่มความโมโหมากขึ้นไปอีก
รับประทานอาหารเย็นเสร็จก็กินของหวานต่อ คุณศลิษาลงทุนทำปลากริมไข่เต่าเป็นขนมโบราณที่เมื่อก่อนพากันเรียกว่าขนมแชงม้า แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตามสมัยนิยมและให้เรียกง่าย ขนมชนิดนี้เป็นที่โปรดปรานของลูกสาวเธอยิ่งนัก
“แล้วทริปครอบครัวเราว่าไงเปรม”
“รอให้พ่อกับลูกว่างก่อน พี่ดลก็งานเยอะส่วนลูกชายฉันก็งานเยอะพอกัน”
ดูท่าว่าทริปจะล่มตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม
“ถ้าตกลงได้แล้วบอกฉันนะ ครอบครัวฉันว่างเสมอ เอ๊ะ แต่ป้อนก็ทำงานกับทัพแล้วถ้าอย่างนั้นรอให้สองคนนี้ว่างแล้วกัน”
สรุปเสร็จสรรพไม่ได้หันมาถามเหล่าลูกชายลูกสาวเลยสักคำ
“แม่นะแม่” บ่นงึมงำอยู่คนเดียว ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้เจอกองทัพบ่อยกว่าเมื่อก่อน ถ้าเป็นสมัยเรียนนะเธอต้องหาตารางเรียนของเขาเดินผ่านห้องเรียน วนเวียนใกล้โต๊ะกินข้าวที่โรงอาหาร ขยันอ่านหนังสือเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่สุดท้ายเป็นยังไง..
เขาไม่เห็นหัวด้วยซ้ำ
มาตอนนี้แทบไม่ต้องเสาะแสวงหาก็ดูเหมือนว่าจะเจอโดยง่าย ขนาดกลับมาบ้านตนเองยังพบกองทัพนั่งอยู่ห้องรับแขกทั้งที่ร้อยวันพันปีแทบไม่เคยโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ
สงสัยโลกคงใกล้แตกแล้วแน่เลย