๓ ช้าไปไหม (๑)
๓
ช้าไปไหม
เวลาเย็นอย่างนี้คุณผู้หญิงของบ้านวิจิตรประภามักจะเข้าครัวเพื่อดูแลอาหารเย็นสำหรับสามีและลูกชายคนโต โดยไม่ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของนักรบซึ่งขับเข้ามาภายในบ้านเสียงดัง
ร่างสูงอยู่ในชุดนักศึกษาซึ่งผิดจากระเบียบของทางมหาวิทยาลัยกำหนดเอาไว้ เสื้อสีขาวแขนสั้นปล่อยชายเสื้อออกจากกางเกงไหนจะกางเกงยีนส์สีดำจนมองแล้วไม่แน่ใจว่าได้ผ่านการซักมาบ้างหรือเปล่า
นักรบไม่ได้มาคนเดียวแต่เขายังพาเพื่อนสนิทอีกคนมาด้วย อีกฝ่ายมีใบหน้าพิมพ์นิยมที่สาวชอบไม่ว่าจะเป็นใบหน้าตี๋ที่ค่อนไปทางน่ารัก ผิวขาวสว่าง รูปร่างสูงโปร่งไม่ค่อยมีมัดกล้ามเพราะไม่ได้ออกกำลังกายเหมือนเพื่อน นักรบกอดคออีกฝ่ายเดินเข้ามาภายในบ้านพอเห็นไร้คนก็ชวนเพื่อนขึ้นบนห้องทันที
สองหนุ่มมาเพื่อเอาของสำคัญก่อนจะรีบกลับไปช่วยกันปั่นงานที่ได้รับมอบหมายต่อ
หลังกำกับแม่ครัวเพื่อให้ทำอาหารเย็นเสร็จ เปมิกาออกเดินออกมาที่โถงกลางบ้านพบรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อลูกชายตัวดีก็นึกเอะใจ
“เอ๊ะ รถตารบ”
‘มาตั้งแต่เมื่อไหร่’
ไม่เห็นพ่อตัวดีกลับบ้านมากว่าหนึ่งสัปดาห์ครั้นจะกลับมาก็ไม่ได้บอกกล่าวก่อนเลย ไปขลุกอยู่แต่คอนโดไม่ก็หอพักของเพื่อนจนแทบลืมหน้าลูกชายเสียแล้ว แต่ก็ดีกว่าต้องไปประกันนักรบเหมือนครั้งชายหนุ่มยังเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนกว่านี้
กำลังจะขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านรถยนต์คันหรูของลูกชายคนโตก็แล่นมาจอดหน้าบ้านเสียก่อน เปมิกาหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้อยู่ที่ผนังของบ้านก็พบว่ากองทัพมาเร็วกว่าปกติ
“อ้าว ทำไมวันนี้มาเร็วล่ะลูก”
ร่างสูงยิ้มเนือยให้มารดา
“งานเสร็จเร็วครับ แล้วก็รู้สึกเพลียๆ ด้วย” สัปดาห์ที่ผ่านมาเขาโหมงานหนักเกินไปแทบไม่ได้พักผ่อนร่างกายเลยอ่อนล้ากว่าปกติ
คนเป็นแม่ได้ยินอย่างนั้นก็เดินเข้ามาเอามืออังหน้าผากลูกชายอย่างเป็นห่วง
“ตัวไม่ร้อนแต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะให้คนจัดโต๊ะแล้วลูกกินข้าวก่อนกินยา”
คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าตอนสาวๆ มารดาของเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่พอแก่ตัวกลายเป็นคนขี้บ่นไปเสียได้จนแอบคิดว่าบิดาขี้โม้หรือเปล่า
กองทัพยิ้มรับเล็กน้อยตามใจมารดายังไม่ทันจะขึ้นห้องเสียงคุ้นเคยก็ดังจากชั้นสอง
“ซ่อนไว้เลยนะมึง แผ่นนี้ได้มายาก”
ก่อนจะเห็นน้องชายตัวดีเดินเคียงข้างมากับเพื่อน
“เออ กูไม่ให้ใครเห็นแน่”
คุณเปมิกามองบุตรชายด้วยความสงสัยก่อนที่นักศึกษาหนุ่มทั้งสองคนจะรู้ตัวก็เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าของนายหญิงของบ้านเสียแล้ว แผ่นซีดีในมือถูกซ่อนไว้ข้างหลังทันทีด้วยความเร็วในขณะที่ใบหน้าคมของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ดูตื่นตระหนก
“แม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”
ถามกลบเกลื่อนอาการจนเปมิกาหรี่ตามองลูกอย่างจับผิด
“นานแล้วจ้ะ เราเถอะมาตอนไหน แล้วนี่จะออกไปไหน” นักรบหันไปมองเพื่อนที่มาด้วยกันแล้วรีบเบี่ยงเบนความสนใจของมารดาทันทีด้วยการยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ของเพื่อน
“แม่ครับ นี่แอลแฟนผม”
ไม่ใช่แค่คุณเปมิกาและกองทัพที่ตกใจเพราะแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างอิศราก็อ้าปากหวอไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าคนตัวสูงจะมาไม้นี้ ลูกชายคนโตรีบเข้าซ้อนหลังเพื่อประคองมารดาไม่ให้เป็นลมไปเสียก่อนแล้วส่งสายตาคาดโทษมาที่น้องชาย
“สมัยนี้แล้วเรื่องความรักเขาไม่จำกัดเพศ แม่ก็รับได้ใช่ไหมครับ” ยังไม่หยุดที่เล่นละครต่อไป
คุณเปมิกาหายใจเข้าออกอย่างรวดเร็ว ตาพร่าเบลอเหมือนจะเป็นลม
“พอได้แล้วไอ้รบ” รู้ว่าน้องชายไม่ได้พูดจริงเหมือนต้องการแกล้งมารดาเล่นอย่างทุกครั้งเขาจึงปรามเอาไว้ “ถ้าอย่างนั้นรบขอตัวก่อนนะแม่ ไปเถอะที่รัก” ไม่วายหันไปเล่นละครกับเพื่อน
จนอิศราได้แต่ก่นด่าเพื่อนสนิทในใจแล้วยกมือไหว้พี่ชายและมารดาของนักรบเดินตามเพื่อนไปอย่างรวดเร็ว
“ทัพ หายาดมให้แม่ที” บอกลูกชายในขณะที่กองทัพพามารดาไปนั่งพักยังห้องนั่งเล่นปีกซ้ายของบ้าน เขาเรียกคนรับใช้ให้หายาดมมาให้มารดาก่อนจะยื่นไปใกล้อีกฝ่าย
คุณเปมิกาเมื่อได้ดมกลิ่นสมุนไพรอาการก็ดีขึ้น
“แม่เป็นอะไรน่ะทัพ” คุณภราดรเดินเข้ามาในบ้านก่อนรีบรุดเดินมานั่งข้างภรรยาด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าคมแม้จะเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังน่าเสน่หาไม่เปลี่ยนแปลง ท่านประคองคุณเปมิกาที่นอนราบให้นั่งบนโซฟา
“ก็ตารบสิพี่ดลบอกว่าเป็นแฟนกับเพื่อนสนิท แล้วเพื่อนคนนั้นก็เป็นผู้ชาย”
ยังไม่ทันที่กองทัพจะได้ตอบบิดาภรรยาก็ไขความกระจ่างให้ทันทีราวต้องการฟ้องสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมานั่งดมยาในครั้งนี้
ฝ่ายท่านผู้บริหารได้ยินก็เข่นเขี้ยวลูกชายอยู่ในใจ
“ผมว่าเจ้ารบมันคงล้อเล่น” คนรู้จักน้องชายดีกล่าวแก้ตัวให้ นักรบเหมือนซ่อนอะไรไว้ด้านหลังและต้องการเบี่ยงประเด็นจึงแสร้งพูดจนมารดาเกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา เข้าทางเขาละ
“เดี๋ยวพี่จะเรียกลูกมาถามให้ เปรมขึ้นไปพักด้านบนนะ” ประคองไม่ห่าง
แต่คนเป็นภรรยากลับแตะแขนสามีเอาไว้พลางส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ น่าจะดีขึ้นแล้วอีกอย่างเปรมต้องไปบ้านลิซด้วย” เอ่ยบอกสามีเสียงนุ่ม
แต่ประโยคนั้นก็ทำให้กองทัพตาสว่างขึ้น จากอาการเพลียเมื่อสักครู่เหมือนหายเป็นปลิดทิ้งทันที
“เดี๋ยวผมพาแม่ไปบ้านน้าลิซเองครับ”
สองสามีภรรยาหันมามองบุตรชายอย่างไม่เชื่อสายตา
..เมื่อกี้หูฝาดไปหรือเปล่านะ ปกติกว่าจะลากพ่อตัวดีออกไปไหนมาไหนด้วยกันได้ต้องอ้างเหตุผลร้อยแปด แต่ครั้งนี้ดันเสนอตัวเองเสียอย่างนั้น
“ไม่สบายจนเพี้ยนหรือเปล่าลูก” อาการวิงเวียนเมื่อสักครู่หายแล้วจึงจับมือบุตรชายแล้วเอ่ยถาม
“คุณแม่อาการไม่ค่อยดีถ้าไปคนเดียวผมกลัวว่าจะเป็นลมเป็นแล้งเอาน่ะครับ” บอกกล่าวด้วยใบหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์
ทว่ามีหรือที่มารดาจะไม่รู้ว่าคงมีอะไรแอบแฝงภายในใจอย่างแน่นอนแต่คาดคั้นไปก็เท่านั้นคงไม่ได้คำตอบ สู้อยู่เงียบๆ รอสังเกตการณ์เอาเองดีกว่า
“อย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน เห็นเปรมเป็นแบบนี้พี่ไม่สบายใจเลย” ฟังบุตรชายพูดก็พอเบาใจได้บ้าง แม้เขาจะอยากไปด้วยแต่วันนี้เอางานมาทำที่บ้านจึงไม่สามารถปลีกตัวไปกับภรรยาได้ อยากให้กองทัพขึ้นมารับตำแหน่งแทนเร็วๆ เหลือเกินงานเขาจะได้เบาลงบ้าง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ” กองทัพพยักหน้าแล้วประคองมารดาขึ้นไปบนบ้าน เขาเองก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน
เข้าห้องก็ถอนหายใจเสียงดังก่อนจะขยี้ผมตนเองทันที ไม่คิดว่าจะปากเร็วขนาดนี้ มารดายังไม่ทันได้เอ่ยชวนเขาก็อาสาขึ้นมากลางปล้องเสียอย่างนั้น ราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของหัวใจโดยไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองจากสมองเสียก่อน
ร่างสูงถอดเสื้อสูทออกก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดคอปกสีขาวกับกางเกงเดนิมสีซีด ด้วยความที่ชายหนุ่มตัวสูงและรูปร่างดีทำให้แม้ใส่เสื้อผ้าธรรมดาก็เหมือนนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสารแล้ว เขาเคยถูกทาบทามให้เล่นละครหลายเรื่องแต่ก็ต้องปฏิเสธเพราะงานบริษัทหนักเกินไป จนเมื่อสองปีก่อนได้ตอบตกลงไปรับเชิญเล่นหนังที่ผู้กำกับสนิทกับมารดา
แม้ออกเพียงไม่กี่นาทีก็ทำเอาคนดูต่างพากันค้นหาประวัติของนักแสดงหนุ่มและเปิดแฟนเพจ‘คนรักกองทัพ’ขึ้นมาอย่างจริงจัง รูปภาพของเขาที่ไปร่วมงานเลี้ยงถูกถ่ายออกมาเก็บเข้าอัลบั้มของกลุ่มอย่างรวดเร็ว มีคนกดไลก์แฟนเพจราวห้าหมื่น จากนั้นก็มีโฆษณาติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ โดยมีมารดาเป็นคนสแกนให้อีกที แต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยรับงานวงการบันเทิงเพราะต้องการทำผลงานของบริษัทออกมาให้ดีเพื่อเป็นบันไดในการเลื่อนตำแหน่งไปสู่กลุ่มผู้บริหารระดับสูง
“พี่ดลกินข้าวคนเดียวนะคะ เดี๋ยวเปรมจะไปกินบ้านลิซเลย” บอกสามีหลังจากเตรียมตัวพร้อมแล้ว
คุณเปมิกาในวัยห้าสิบกว่ายังดูสาวและแข็งแรงจนไม่น่าเชื่อว่าอายุเท่านี้จะดูแลสุขภาพตนเองดีจนสาวสมัยใหม่ยังอาย
“ได้ เสร็จแล้วรีบกลับมานะ”
สองสามีภรรยาพูดคุยกันสักพักก่อนที่รถยนต์คันหรูจะจอดเทียบหน้าบ้าน
กองทัพเดินไปประจำตำแหน่งคนขับในขณะที่เปมิกานั่งข้างลูกชาย รถเคลื่อนตัวออกจากบ้านอย่างช้าๆ ก่อนจะหายลับไปออกจากตัวบ้าน
ขับรถไม่นานก็ถึงบ้านของเพื่อนสนิท กองทัพจอดรถแล้วลงไปเปิดประตูให้มารดาโดยมีน้าลิซเดินมารับถึงหน้าบ้าน
สองคนกอดกันพลางพูดคุยเสียงดังแต่ส่วนมากจะเป็นน้าศลิษาที่ชวนคุยมากกว่าเปมิกาก็แค่ยิ้มรับ
“อ้าว ทำไมวันนี้มาได้ล่ะลูก” หันมาเห็นบุตรชายคนโตของเพื่อนก็เอ่ยถาม
..ปกติกองทัพงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลาแต่วันนี้กลับพาเปมิกามาส่งถึงบ้านเธอเสียได้ แล้วดูท่าจะอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันอีก
“คุณแม่เหมือนจะไม่สบายผมเลยมาคอยดูแลแทนคุณพ่อครับ”
ศลิษาหันไปดูเพื่อนด้วยความตกใจเอ่ยถามถึงอาการก็ได้ทราบเหตุการณ์ก่อนหน้าถึงวีรกรรมของบุตรชายคนเล็ก
“ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกที่ลูกจะคบหาผู้ชายแต่น่าจะบอกกันเนิ่นๆ มาให้รู้ตอนนี้ก็ตกใจแทบเป็นลมพอดีน่ะสิ”
..ลูกจะรักใครชอบใครเธอไม่เคยว่าหรือบังคับเพียงแค่อยากให้บอกกล่าวไม่ใช่มาเซอร์ไพรส์แบบนี้ เหนื่อยใจกับลูกคนนี้จริงเดี๋ยวก็บอกแม่ว่ากลัวทำผู้หญิงท้อง เดี๋ยวก็บอกว่ามีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน ไม่รู้ควรจะเชื่ออย่างไหนดี
เข้ามานั่งภายในห้องรับแขกของบ้านโดยมีสาวใช้นำน้ำมาเสิร์ฟแขกทั้งสอง
“ไม่มีใครอยู่บ้านเหรอ เงียบเชียว” หันไปถามเพื่อน
“ไม่มีหรอก แม่ฉันก็ไปทำบุญกับเพื่อน ส่วนสามีกับลูกชายก็ออกกองยังไม่เลิก ลูกสาวก็ไปหาแฟนเขายังไม่กลับเลย”
ใจชายหนุ่มกระตุกทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น มือที่ถือแก้วสั่นจนต้องวางแก้วน้ำลงที่โต๊ะ
“หือ หนูป้อนมีแฟนแล้วเหรอ” ถามเสียงตกใจ เปมิกาไม่คิดว่าหลานสาวจะมีแฟนได้เพราะเท่าที่ดูณชาไม่เคยมีจิตใจเสน่หากับใครนอกจากบุตรชายคนโตของเธอ อีกอย่างก็แอบหวังได้หลานสาวคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้ด้วยจึงแอบเสียดายที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว
“ใช่ เป็นคุณหมอด้วยนะ รูปหล่อเชียวละพามาไหว้ฉันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สุภาพเรียบร้อยมองดูแล้วสบายตาสบายใจ ท่าทางเป็นคนดีเอาการเอางาน คนนี้ให้สิบผ่านเลย” คุณศลิษาเพ้อถึงว่าที่ลูกเขยอย่างออกนอกหน้า
ใบหน้ามีความสุขเสียจนกองทัพเริ่มสลดทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกเช่นนั้น
เปมิกาหันมามองบุตรชายที่เงียบไปทั้งแววตาหม่นแสงก็เริ่มรู้สึกสะกิดใจ
“แล้วคุณหมอเขาเกริ่นเรื่องจะมาสู่ขอยายป้อนด้วย ฉันนี่อยากจะรีบใส่พานถวายให้จริงๆ กลัวจะขึ้นคาน”
กองทัพหลุบตามองพื้นไม่อยากได้ยินคำสรรเสริญเยินยอหรือประโยคที่ทำให้เขาหงุดหงิดอีก เพราะไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกของตนเองอย่างไร