๒ สบตา (๒)
ณชารู้สึกอึดอัดยิ่งได้กลิ่นกายหนาก็เกิดอาการหายใจติดขัดเพราะภาพคืนนั้นลอยมาเป็นฉากๆ
“เดี๋ยวนี้เป็นใบ้แล้วเหรอ เงียบเชียว” จับมือบางขึ้นมาก่อนจะเอาสำลีที่ชุบน้ำเกลือมาเช็ดแผลให้ ดวงหน้าคมก้มมองมือเล็กอย่างตั้งใจ อันที่จริงเขาจำเธอได้ตั้งแต่เดินเข้ามาภายในร้านแล้ว ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเพียงแค่มองจากแผ่นหลังถึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือณชา แต่เธอกลับทำตัวลึกลับราวไม่อยากให้เขารู้ ก็แค่เล่นตามเกมของเด็กน้อย
“คะ ใครเป็นใบ้กัน ป้อนไม่ได้เป็นใบ้ซะหน่อย แค่ไม่รู้จะพูดอะไรเท่านั้นเอง พี่ทัพสบายดีนะ ไม่เจอตั้งนานหล่อขึ้นรึเปล่าเนี่ย แต่ก็อ้วนขึ้นด้วยนะ ดำขึ้นด้วย”
เงยหน้าขึ้นสบตาเธอราวต้องการให้หญิงสาวหยุดพูดเสียเดี๋ยวนี้
ณชาจึงเม้มปากเข้าหากันทันที
“หึ ตื่นเต้นหรือไง”
..ก็ใช่น่ะสิ!
อยากจะตะโกนบอกเขาแต่จำต้องเงียบ หัวใจบ้าก็เต้นเร็วจังเลยทั้งยังดังจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน พยายามสูดลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอลดอาการเกร็งเมื่ออยู่ใกล้เขาแต่ดูท่าจะไม่เป็นผล ดวงตากลมโตเหลือบมองใบหน้าคมที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
..ไม่ได้มองมานานเท่าไหร่แล้วนะ คิดถึงจังเลย
คิดในใจก่อนจะสำรวจใบหน้าคม คิ้วเข้มได้รูปทั้งหน้าผากขนาดพอดีไม่กว้างจนเกินไป ดวงตาเรียวยาวได้มาจากคุณอาภราดร ไหนจะจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางรูปกระจับโดยไม่ต้องพึ่งมือหมอ ผิวหน้าเรียบเนียนเพราะเจ้าของใบหน้าดูแลอย่างดี
“จำคืนนี้ของเราให้ดีนะคะ อย่าลืมนะ”
คืนนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดเธอได้บอกกองทัพก่อนจะจุมพิตแผ่วเบาที่เปลือกตาของชายหนุ่ม แม้จะบอกแบบนั้นแต่เชื่อเหลือเกินว่าเขาคงจำไม่ได้และลืมไปจนหมดสิ้น เรื่องระหว่างเรากลายเป็นเพียงแค่ฝุ่นไร้ค่าทั้งยังเป็นมลพิษอีกด้วย
“พี่คิดค่ามองนะ” แม้จะก้มหน้าทำแผลให้เธอแต่ก็รับรู้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองตนเอง
ณชาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเฉไฉมองไปทางอื่นเพราะทำตัวไม่ถูก
“มากกว่ามองก็ทำมาแล้วเถอะ” พึมพำเสียงเบาแต่ด้วยความเงียบของห้อง
ร่างสูงที่นั่งใกล้แทบจะเกยตักจึงได้ยินเพียงแต่อาจมีบางคำที่เขาได้ยินไม่ชัดจึงเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหวานด้วยสีหน้าสงสัยถามย้ำเพิ่มความกระจ่าง
“เมื่อกี้ว่ายังไงนะ”
หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ว่าอะไรนะ พี่ทัพได้ยินว่าอะไรเหรอ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างมีพิรุธ
ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากพลางหัวเราะในใจ ณชาไม่เคยโกหกได้เลยสักครั้ง เธอมักจะทำตาโตพูดเร็วจนจับใจความแทบไม่ได้ ไหนจะปากสั่นเพราะกำลังคิดคำพูดอีก
“ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” มือหนาบรรจงติดพลาสเตอร์สีใสให้เป็นการปิดท้าย
ณชารีบชักมือตนเองออกจากการเกาะกุมของเขาเพราะรู้สึกร้อนที่ใบหน้า เคยคิดว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเขาได้แล้วแท้ๆ แต่เมื่อเจอหน้า ได้อยู่ใกล้ ได้สัมผัสความรู้สึกเดิมๆ ก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ห้ามความรู้สึกตนเองไม่ได้เลย เหมือนน้ำวนที่หาทางออกไม่เจอ จะไปต่อก็ไม่ได้ จะเดินถอยหลังก็หาทางกลับไม่เจอทำได้เพียงอยู่ที่เดิมในสถานะเดิมไม่อาจเปลี่ยนแปลง
“เสร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นป้อนขอตัวก่อนนะคะ มีธุระต่อด้วยคงไม่ได้อยู่คุยกับพี่ทัพ เสียดายจังเลย ไปก่อนนะคะ” ร่างบางจะลุกขึ้นแต่แล้วกลับเซจำต้องนั่งลงที่เดิมเพราะฝีมือของใครบางคนซึ่งเป็นชายหนุ่มสุดหล่อผู้นั่งกลางใจลูกสาวเจ้าของร้านแห่งนี้
ใบหน้าหวานหันมามองเขาแววตามีคำถามเต็มไปหมด
กองทัพเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ รู้เพียงแค่เห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะไปก็ไม่อาจทนได้
..เขาเรียกว่าหวงก้างหรือเปล่านะ
“รีบไปไหน ไม่ได้เจอกันตั้งนานไม่คิดถึงพี่เหรอ” ครั้งสุดท้ายที่เจอกันคือหน้าร้านกาแฟที่เขาไปปรับความเข้าใจกับเธอแต่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจกันอยู่ดี
ณชาเดินจากไปในขณะที่เขาทำเพียงแค่มองตาม ผ่านไปไม่นานก็รู้ข่าวจากแม่ว่าน้องบินไปเรียนต่อที่อเมริกาโดยไม่มีแม้คำร่ำลา
เขาโกรธ..จนตัดขาดการติดต่อจากเธอ
แต่ครั้งนี้ที่มาเห็นหน้าได้มองอีกครั้งหัวใจพลันรู้สึกประหลาด มันเต้นแรงกว่าทุกครั้งยามได้สบดวงตาหวาน
“ทำไมป้อนต้องคิดถึงพี่ทัพด้วยคะ” เอ่ยถามน้ำเสียงน้อยใจ ก่อนไปก็มีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจกันแต่ที่ชัดเจนในความรู้สึกคือกองทัพไม่ได้รักเธอ เขาเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวและน้องสาวคนนี้ก็ยังยอมพลีกายให้โดยที่ชายหนุ่มไม่รับรู้แม้แต่น้อย
“ไม่รู้สิ ก็ป้อนชอบพี่ไม่ใช่เหรอ” เขาพูดได้หน้าตาเฉย
แตกต่างจากณชาที่หน้าแดงอย่างห้ามไม่อยู่ เธอจะเถียงแต่ก็พูดไม่ออกจึงทำเพียงแค่อ้าปากปิดปากไปมาเหมือนปลาทองกำลังจะงับอาหาร แก้มพองลมนั้นน่ารักจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
เขาแกล้งเธอ!
ณชาโวยวายอยู่ในใจคนเดียวไม่อาจเถียงอะไรออกไปได้ก่อนจะลุกขึ้นหวังออกจากห้องและครั้งนี้กองทัพก็คว้าแขนไว้เช่นเดิมแต่ที่เปลี่ยนไปคือเขาดึงณชามานั่งบนตักของตัวเองจนร่างบางซึ่งไม่ทันตั้งตัวอ้าปากเหวอ ลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออกหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเสียงดังจนกลัวว่าชายหนุ่มจะได้ยิน
กองทัพยกยิ้มมุมปากสมใจรับรู้ได้ถึงอาการเกร็งของคนบนตัก แอบโอบกอดเธอเอาไว้จากด้านหลังแล้วเลื่อนใบหน้าไปกระซิบข้างหูเธอเสียงแหบพร่า
“พี่คิดถึงป้อนนะ”
ปัง ปัง ปัง
เสียงพลุดังขึ้นข้างหูเธอก่อนดวงตาจะพร่าเบลอมองอะไรแทบไม่เห็น
..เมื่อกี้พี่ทัพพูดว่าคิดถึงเธออย่างนั้นเหรอ เขาคิดถึงเธอจริงๆ ใช่ไหม
ในหัวใจสับสนจนไม่อาจเรียบเรียงความคิดออกมาได้
..ที่บอกว่าคิดถึงหมายความตามนั้นจริงหรือ
กองทัพเองเมื่อเห็นน้องเงียบก็แอบอมยิ้มก่อนชะงัก ใบหน้าคมยื่นเข้าไปสูดดมที่ซอกคอขาว คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันทันที
คุ้นอย่างประหลาด
“กลิ่นนี้มัน..” เอ่ยออกมาเสียงแผ่วแต่เพราะห้องเงียบทำให้อีกฝ่ายได้ยิน
ณชาที่ตกอยู่ในภวังค์ของตนเองหันมามองเขาทำให้แก้มของตนโดนเข้ากับจมูกโด่งของกองทัพอย่างไม่ได้ตั้งใจ ร่างบางชะงักก่อนจะรีบลุกขึ้นทันทีด้วยใบหน้าที่แดงจัด
‘สัมผัสที่แก้มก็คุ้น’
คิดไม่ตกจนใบหน้าที่เคยอมยิ้มเครียดขรึม สายตาคมจ้องไปที่ดวงตาหวานอีกครั้งอย่างค้นคว้า
..เธอกำลังปิดบังอะไรเขาอยู่หรือเปล่า
“เอ่อ มีอะไรคะ” จากที่เขินอายเมื่อเห็นสายตาของเขาก็เปลี่ยนอารมณ์โดยพลัน เหมือนอีกฝ่ายกำลังสงสัยอะไรบางอย่างและเธอก็ร้อนตัวจนออกอาการ
“เราเคย..ช่างมันเถอะ พี่อาจจะคิดไปเอง” ลุกขึ้นยืนก่อนจะยกมือขึ้นดูเวลา
..บ่ายกว่าเสียแล้วทั้งที่เมื่อสักครู่พึ่งเที่ยงครึ่งแท้ๆ
ชายหนุ่มพรูลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ไม่อยากเข้าออฟฟิศเลยแต่งานที่กองท่วมโต๊ะก็ไม่อาจเพิกเฉยได้
จากที่สงสัยว่าณชาอาจจะเป็นผู้หญิงคนนั้นก็ถูกปัดไปทันที
..ไม่มีทางหรอก เธอไม่ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อความรักแน่นอน
ยืนยันในใจอย่างหนักแน่นแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็กราวย้อนไปหลายปีก่อนที่พี่ทัพยังคงเป็นพี่ทัพคนเดิม ไม่มีสายตารำคาญมีเพียงสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความห่วงหาที่สั่นคลอนหัวใจเสียเหลือเกิน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ” การกระทำเพียงเท่านี้กลับกินใจเธอเสียจนต้องหลุบตามองพื้น
..อันตรายเกินไปแล้ว
แค่เขาทำดีเพียงนิดหน่อยก็ทลายกำแพงที่เพียรสร้างมาหลายปีลงอย่างง่ายดาย ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลกับเธอมากเกินไป
มือหนาลดลงแนบข้างลำตัวแต่สัมผัสเมื่อครู่ยังคงติดตรึงในใจของณชา เธอเงยหน้ามองเขาก่อนจะยิ้มให้
“ป้อนก็ดีใจที่ได้กลับมา”
ทั้งสองมองตากันก่อนทุกอย่างจะถูกทำลายไปด้วยผู้มาใหม่ กองทัพมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจก่อนหัวใจจะกระตุกเมื่อชายหนุ่มพุ่งตรงมาที่ณชาก่อนคว้ามือบางขึ้นมาดูอย่างถือสิทธิ์
“ป้อนเป็นอะไรไหม พี่ตกใจแทบแย่โทรหาก็ไม่รับสาย” คุณหมอตฤณยกมือแฟนสาวขึ้นมาดูพลางสำรวจด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอย่างน้อยครั้งจะเป็น
ณชามองหน้าเขาก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงใสแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ รีบเสียจนมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าคม
“แค่แก้วบาดเองค่ะ ไม่เป็นไรแล้ว”
“ถึงแผลจะนิดเดียวแต่ถ้ามันทำให้ป้อนเจ็บพี่ก็เจ็บไปด้วย”
คำพูดและแววตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยเกินพี่น้องทั่วไปทำให้กองทัพเริ่มจะเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ออก เขาจ้องมองใบหน้าหวานทันทีเห็นแววส่องประกายในดวงตานั้นหัวใจพลันเจ็บจี๊ดเหมือนมีหนามมาทิ่มอย่างแรง
หมายความว่าอย่างไร..เขากำลังหวงเธออย่างนั้นหรือ
“แล้วพี่หมอมาได้ยังไงคะ ไม่มีตรวจเหรอ” ถามกลับด้วยความสงสัย
“พี่โทรหาป้อนแล้วมีคนรับสายแทนบอกว่าคนดื้อโดนแก้วบาดพี่ก็รีบขับรถมาหา แล้วหลังจากนี้ก็ว่างทั้งวันพอที่จะพาป้อนไปชอปปิงได้”
คุณหมอฝากคนไข้ไว้กับเพื่อนอีกคน ช่วงบ่ายเขาไม่มีเคสผ่าตัดด่วนมีเพียงเคสธรรมดาไม่หนักหนาเท่าไหร่ แต่ก็บอกพยาบาลเอาไว้ว่าถ้ามีเรื่องด่วนให้โทรหาได้ตลอด
“ใจดีจังเลยนะคะ”
มองสองหนุ่มสาวหยอกล้อกันราวเขาเป็นส่วนเกินกองทัพก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้ มือหนากำแน่นด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาจับความรู้สึกตนเองไม่ถูกว่าตอนนี้เป็นอะไร หัวใจมันคันยุบยิบก่อนจะเจ็บเหมือนมีมือมาบีบคั้นแล้วผ่อนแรงลงหากไม่นานก็กลับมารัดแน่นอีก
เขากำลังหึงรึเปล่า..
ไม่หรอก จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงในเมื่อระหว่างเขากับณชาเป็นเพียงแค่พี่น้องกัน ไม่มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว แต่ว่ากลิ่นนั้นยังติดอยู่ที่ปลายจมูกและความสงสัยก็ยังไม่คลายเพียงแค่ถูกปัดออกไปในตอนนี้
หากรอให้คนมาใหม่หันมามองเขาคงไม่ได้ไปไหนกันพอดี กองทัพกระแอมเสียงดัง
“อะแฮ่ม”
จนทั้งสองคนหันมาสนใจ คุณหมอมองด้วยแววตาประหลาดใจก่อนจะยิ้มให้ทันทีในขณะที่ณชาเองกลับรู้สึกเหมือนเด็กทำความผิด
บ้าน่า..เธอทำอะไรผิดกัน
“จะไม่แนะนำให้พี่รู้จักหน่อยเหรอ” กองทัพเอ่ยถามณชาที่ยังคงยืนเงียบ เหลือบมามองคุณหมอที่ยืนข้างกายพลางเม้มปากแน่น ถ้าแนะนำว่ารุ่นพี่ที่รู้จักคงไม่ดีแน่ แต่ให้บอกว่าเป็นแฟนเธอก็ไม่อยากให้กองทัพเข้าใจแบบนั้น
..ป้อนข้าวเธอมันผู้หญิงหลายใจและกำลังจะทำตัวเหมือนปลายฟ้า!
“พี่หมอคะนี่พี่ทัพค่ะ”
กองทัพโค้งศีรษะให้คุณหมอเล็กน้อยซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มรับแล้วหันมามองณชา เธอมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้หมอตฤณ
“นี่พี่หมอตฤณค่ะ เป็นแฟนป้อนเอง”
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องจนคุณหมอตฤณสังเกตได้ บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสองหนุ่มสาวเลือกที่จะเงียบ คนกลางที่ไม่รู้เรื่องอะไรจึงเอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศ
“สวัสดีนะครับ ใช่พี่ชายของป้อนหรือเปล่า” ประโยคแรกหันไปบอกกองทัพส่วนประโยคหลังก็หันมาถามแฟนสาวที่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมเป็นลูกชายของเพื่อนน้าลิซ แม่ป้อนน่ะครับ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่คำพูดเหมือนจะเป็นการอวดกรายๆ แต่หมอตฤณก็ไม่อยากคิดมากจึงทำเพียงยิ้มรับให้การขยายความของกองทัพ
“ขอบคุณที่ทำแผลให้ป้อนนะครับ บ่ายกว่าแล้วป้อนอยากไปไหนเดี๋ยวพี่พาไป ตอนเย็นจะได้ไปไหว้แม่ป้อนด้วยกลับมายังไม่ได้ไปหาท่านเลย”
กองทัพกลายเป็นคนนอกอีกครั้งเมื่อคุณหมอหันไปคุยกับณชา
..เขาไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่เหมือนตนเองไม่เป็นที่ต้องการ
“ค่ะ” ณชาตอบรับเล็กน้อยแล้วหันไปสบตากองทัพที่เรียบเฉย ก่อนหน้านี้เขายังมีสีหน้าสดใสอยู่เลย
“ผมขอตัวนะครับ พอดีมีงานต่อ พี่ไปนะ”
คุณหมอยิ้มให้ส่วนณชาก็ยกมือขึ้นโบกลา
กองทัพออกมาจากห้องนั้นด้วยความรู้สึกจะเจ็บปวดก็ไม่ใช่น้อยใจก็ไม่เชิง เขาแค่อยากดึงร่างบางออกห่างจากผู้ชายคนนั้นแล้วย้ำกับเธอว่าคนที่เธอชอบคือเขา
..แน่ใจได้ยังไง เขามั่นใจได้ยังไงว่าณชายังชอบตนเองอยู่
ในเมื่อผู้ชายคนนั้นตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้ของเขา ไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไปความรู้สึกของณชาก็เช่นเดียวกัน แต่เมื่อสักครู่เธอก็ยังทำทีเหมือนมีใจให้อยู่เลยไม่ใช่หรือ
..มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ต้องมีอะไรที่ผิดพลาดแน่
กองทัพสับสนเกินกว่าจะคิดอะไรออก เขาขึ้นรถขับออกไปด้วยความเร็วก่อนจะต้องชะลอเพราะการจราจรติดขัด
..เฮ้อ
ไม่มีอะไรได้ดังใจเลยสักอย่าง!