๑ ไม่อยากเจอ (๑)
๑
ไม่อยากเจอ
รถยนต์คันหรูสัญชาติยุโรปสีเข้มขับเข้ามาภายในรั้วอัลลอย บ้านทรงยุโรปสีไข่มุกตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนสวยทั้งสองฝั่ง ลานตรงหน้าเป็นบ่อน้ำพุนางเงือกนั่งจับผมอยู่ตรงกลางก่อนจะมีน้ำพุ่งออกมาจากโขดหินที่เงือกสาวนั่ง สีสันสวยงามจนผู้พบเห็นอดจะถ่ายรูปเอาไว้ไม่ได้ เสียงเครื่องยนต์รถดับลงเมื่อถึงหน้าประตูทางเข้าบ้าน
เรียวขาสวยก้าวลงจากรถก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด ผมยาวดัดลอนถูกมัดรวบนำมาไว้ข้างเดียว หุ่นเพรียวราวนางแบบยิ่งท่วงท่าการก้าวเดินน่ามองยิ่งนัก ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มประดับกระทั่งขึ้นบันไดเดินไปถอดรองเท้าส้นสูงสีครีมใส่ตู้เปลี่ยนเป็นสลิปเปอร์สำหรับใส่ในบ้าน ดวงตากลมโตมองไปโดยรอบพลางคิดในใจ
‘ไม่เปลี่ยนไปเลย’
เดินเข้ามาถึงโถงกลางบ้านเป็นแท่นแจกันมีดอกไม้สีสันสวยงามและส่งกลิ่นหอมไปทั่วบ้านก่อนจะมีบันไดวนเดินขึ้นไปบนห้อง ด้านซ้ายเป็นห้องรับแขกมีขนาดใหญ่โต ถัดไปเป็นห้องสังสรรค์ของบิดาและบรรดาเพื่อนของท่าน ส่วนปีกขวาทำไว้เป็นห้องนั่งเล่นสำหรับครอบครัว โทนสีอบอุ่น ทุกคนมักจะมารวมกันเมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันประเพณีต่างๆ เช่นสงกรานต์ วันแม่ วันพ่อ วันปีใหม่
มองรอบบ้านยังไม่ทันรอบก็ได้ยินเสียงเรียกดังมาจากบนบ้าน
“ป้อนข้าว!”
เธอเงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะฉีกยิ้ม
“แม่ขา” ใครจะเชื่อว่ามารดาของเธออายุห้าสิบกว่าแล้วในเมื่อท่านยังดูแข็งแรงขนาดนี้ ดูสิรีบเดินลงมาหาลูกสาวจนเป็นเธอต้องเดินขึ้นมารับมารดาลงมาข้างล่างแทน นึกว่าจะไม่มีใครอยู่บ้านเสียแล้ว
สองแม่ลูกกอดกันแน่นเมื่อคุณศลิษาลงมาข้างล่าง ท่านลูบหลังบุตรสาวที่สูงนำตนไปหลายเซนติเมตรทั้งที่แต่ก่อนตัวเล็กนิดเดียวแท้ๆ ใครจะเชื่อว่าจากเด็กน้อยที่ร้องหาเพียงมารดาจะเติบโตมาเป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวยหวานจับใจขนาดนี้ น่าจับลูกส่งประกวดนางงามเสียจริง
“ไหนบอกว่าจะมาพรุ่งนี้ โกหกแม่เหรอ” ผละออกจากกันก็จ้องใบหน้าสาวน้อยวัย 23 ปี ไม่เจอกันตั้งหลายปีลูกสาวเธอโตขึ้นมากเหลือเกิน ไม่มีเค้าของเด็กหญิงณชาจอมตะกละเหมือนที่เคยโดนล้อไว้เลย จากเด็กน้อยตัวอ้วนกลมเป็นที่รักของพี่ๆ กลายร่างเป็นหญิงสาวรูปร่างงดงาม ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
“ป้อนไม่ได้โกหกนะ ก็ที่จริงว่าจะมาพรุ่งนี้ แต่พอดี๊พอดีมีไฟลต์ว่างวันนี้เลยเปลี่ยนกะทันหัน เป็นไงคะลูกแม่เก่งไหม” คนช่างพูดช่างเจรจาออดอ้อนมารดา
คุณศลิษามองบุตรสาวพลางส่ายหน้ากับความลื่นไหลจับไม่เคยได้เสียที สงสัยครั้งนี้ก็คงอยากมาเซอร์ไพรส์อีกตามเคย จับจูงมือลูกไปยังห้องนั่งเล่นในขณะที่ลูกสาวก็มองหาผู้คน
“ทำไมบ้านดูเงียบจังคะแม่ แล้วพ่อ พี่เป๊ป คุณยายหายไปไหนกันหมด ตั้งแต่มายังไม่เห็นใครเลยนะคะ แต่ว่าทุกคนไม่อยู่บ้านก็เป็นเรื่องปกติอยู่เพราะต้องทำงาน แต่ทำไมแม่ไม่ทำงานล่ะ แม่ว่างงานเหรอคะ” บุตรสาวเย้ามารดาเล่นเป็นประจำเรื่องว่างงานทั้งที่จริงท่านต้องดูแลร้านขนมถึงสี่สาขาด้วยกัน เคยขอให้ลูกสาวมาช่วยก็บอกไม่มีทักษะเรื่องอาหารหรือของหวาน หากให้สร้างเรือหรือตกปลาก็พอจะเข้าที
..ลูกคนนี้ได้พ่อมาหมดจริงๆ
แต่ดีหน่อยที่เลือกเรียนคณะบริหารธุรกิจตามมารดาขอร้องทั้งที่จริงลูกเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ตอนที่อยู่ไทยแท้ๆ ดันกลับลำครั้งที่ขอไปเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนา ครั้นจะขัดลูกก็ไม่กล้าเพราะใบหน้าบุตรสาวเศร้าจนกลัวว่าจะคิดสั้นจำต้องตามใจส่งไปเรียนไกลหูไกลตา
“จ้ะ แม่เป็นคนว่างงานที่ส่งลูกสาวไปเรียนเมืองนอกเมืองนา กลับมาแล้วก็มาใช้ทุนคืนแม่ด้วยนะจ๊ะ”
ได้ยินอย่างนั้นร่างบางก็แสร้งโอดครวญทันที
“โอ๊ยคุณแม่ขา ลูกล้อเล่นนิดเดียวเองถึงขนาดต้องทวงกันเลยเหรอคะ ขอผลัดไปก่อนนะเดี๋ยวจะใช้คืนถ้าหาผู้ชายมาสู่ขอสักร้อยล้านได้” คนปากดีแกล้งแซวเล่น
จนคุณศลิษาต้องตีแขนเรียวไปหนึ่งที
“ดูพูดจาเข้าสิ ชักจะแก่นขึ้นไปทุกวันแล้วนะเรา แล้วดูท่าทางเหมือนลิงเหมือนค่างแบบนี้จะมีผู้ชายที่ไหนมาชอบคะคุณลูกสาว ไม่รู้ว่าจะขายออกหรือเปล่า บางทีแม่อาจจะต้องยกให้เขาฟรีๆ ซะแล้ว”
สองแม่ลูกเอ่ยล้อกันไปมาจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์คุณผู้หญิงของบ้านดังขึ้น
“ว้ายตายแล้ว ฮัลโหลเปรม ฉันกำลังจะออกไป พอดีลูกสาวตัวดีมาก่อนน่ะสิเลยคุยกันยาว อุ๊ยไม่ต้องยกเลิกหรอกฉันไม่ได้เจอเธอนานแล้วนะส่วนลูกสาวปล่อยไว้แบบนี้แหละ โตแล้วหาอะไรกินเองได้ จ้า เจอกัน”
..ดูมารดาพูดเข้าสิ ลูกกลับมาจากอเมริกายังไม่สำคัญเท่าเพื่อนเลย เฮ้อ เกิดเป็นณชาช่างน่าเศร้าเสียจริง
“แม่จะไปบ้านน้าเปรมนะ อะจริงสิ ลูกจะไปด้วยไหมจะได้ไปสวัสดีน้าเปรม”
คำชวนนั้นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหวานชะงักก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธโดยฉับพลัน
..ยังไม่ใช่เวลานี้ เธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขา
“เดินทางมาเหนื่อยๆ ขอพักแล้วกันนะคะ” กอดแขนมารดาแล้วออดอ้อนท่านอย่างที่เคยทำ
“อะไรกันลูกคนนี้ แม่ดูแล้วก็ไม่เห็นจะเหนื่อยตรงไหน ไปไหว้น้าเขาหน่อยสิ เผื่อเจอพี่ทัพด้วยไง เมื่อก่อนตัวติดกับเขาอย่างกับตังเม”
ชื่อที่ไม่ได้ยินมานานถูกกล่าวขานถึง ณชาตัวแข็งทื่อหัวใจเต้นรัวอีกครั้งยามนึกถึงภาพเหตุการณ์สุดท้ายระหว่างกันและกัน
เขาอาจจะจำไม่ได้แต่สำหรับเธอ
ไม่มีวันลืม..
“ป้อนไม่ไปนะแม่ ช่วงนี้ยุ่งมากเลยแม่ไปบ้านน้าเปรมคนเดียวได้ใช่ไหม”
มารดาขมวดคิ้วหันมามองบุตรสาว
“ยุ่งอะไรแม่ตัวดี พึ่งกลับมาก็ยุ่งแล้วเหรอ”
พยักหน้าอย่างแข็งขัน
“ก็ต้องไปดูแลกิจการให้คุณแม่ ไหนจะไปช่วยคุณพ่อที่บริษัทอีก ก็ต้องยุ่งเป็นธรรมดาสิคะ”
มีลูกเล่นจนแม้กระทั่งคุณศลิษาเองยังต้องยอมแพ้ ท่านส่ายหน้าอ่อนใจก่อนจะพูดคุยอีกครู่หนึ่งจึงค่อยออกไปหาเพื่อนสนิท
คล้อยหลังมารดาใบหน้าหวานหุบยิ้มลงทันทีราวกับเมื่อสักครู่ต้องใช้พลังงานในการแสดงนักหนา
กระเป๋าใบใหญ่ถูกนำมาไว้บนห้องนอนชั้นสองของบุตรสาวคนเดียว ห้องนอนของเธออยู่ปีกขวาของตึกค่อนข้างเป็นส่วนตัว มีระเบียงที่เห็นสวนดอกกล้วยไม้ของบิดาและได้กลิ่นต้นดอกแก้วของคุณยาย
ร่างบางมองเตียงนอนที่ตั้งติดผนังมีตุ๊กตาอยู่สามสี่ตัวเพราะตอนนั้นติดการกอดตุ๊กตามาก ปลายเตียงเป็นโต๊ะอ่านหนังสือข้างกันนั้นมีชั้นวางหนังสือทั้งตำราเรียนและนิยายวัยรุ่นหลายเรื่อง
มีโต๊ะคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานทั้งพิมพ์รายงานหรือตัดต่อวิดีโอส่งอาจารย์ หวนคิดถึงช่วงเวลาแห่งอดีตก็รีบสลัดความรู้สึกนั้นออกไปแล้วเปิดประตูห้องแต่งตัวเผยให้เห็นห้องบิลต์อินขนาดใหญ่กว้างขวาง เธอเป็นคนชอบแต่งตัวจึงมีเสื้อผ้าหลากหลายแนวทั้งสายหวาน เปรี้ยว เซ็กซี่ ดูขี้เล่นทำให้ณชากลายเป็นคนน่าค้นหา
ร่างบางก้าวเข้าห้องน้ำล้างหน้าให้สดชื่นก่อนออกมาเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน
..คงต้องขอนอนสักตื่นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางเกือบยี่สิบชั่วโมง
ตืด ตืด ตืด
ถึงเตียงนอนโทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าถือก็ดังขึ้น เดินไปเปิดแล้วกดรับทันที
“สวัสดีค่ะพี่หมอ” ทักทายเสียงหวานพลางเดินไปห้องแต่งตัวนั่งหน้าโต๊ะเครื่องสำอางใช้คลีนซิ่งเพื่อเช็ดใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางออกจนสะอาด
‘ถึงไทยแล้วใช่ไหมครับ’
เสียงทุ้มมีแววอบอุ่นเอ่ยถามจนคนพึ่งเหยียบบ้านตนเองอมยิ้ม เขามักจะเป็นห่วงเธอเสมอและคอยโทรเช็กตลอดเวลากระทั่งมาถึงเมืองไทย
“ถึงแล้วค่ะ ตอนนี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งบนห้อง เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วกลังจากนั้นก็ว่าจะนอนสักหน่อย” รายงานอย่างละเอียด
จนปลายสายหัวเราะออกมาราวอารมณ์ดีนักหนาทั้งที่งานตรงหน้าไม่ได้เบาเลยสักนิด
‘ดีแล้ว พักผ่อนนะครับ พี่ก็คงไม่ได้โทรหาสักหกชั่วโมงมีเคสผ่าตัด ถ้ายังไงตอนเย็นพี่จะไปหานะถือโอกาสสวัสดีพ่อแม่ของป้อนด้วย’
อันที่จริงณชาก็ไม่ได้เสพติดการพูดคุยกันขนาดนั้น เธอเว้นช่องว่างให้พื้นที่ส่วนตัวกับอีกฝ่ายเสมอ
“ได้ค่ะ พี่หมอเองก็พักผ่อนบ้างนะ ไม่ใช่โหมงานหนักจนไม่สบายนะคะ” บอกกล่าวด้วยความเป็นห่วง อีกฝ่ายมักจะทำงานหนักเสมอเหมือนครั้งที่ไปเรียนแพทย์เฉพาะทางอยู่อเมริกา ชายหนุ่มโหมอ่านหนังสือหนักจนไม่สบายแต่ดีหน่อยที่ไม่หนักถึงขนาดต้องส่งโรงพยาบาล
‘รับทราบครับผม’
บอกลากันก่อนที่จะวางโทรศัพท์ลง คนตัวเล็กเหม่อลอยทันทีจ้องมองเครื่องมือสื่อสารสีดำพลางขอโทษนับพันครั้งที่ดึงชายหนุ่มเข้ามาในชีวิตทั้งที่คิดกับเขาเพียงพี่น้อง
พี่หมอ หรือนายแพทย์ตฤณ ศิลาชัย แฟนหนุ่มของเธอที่คบหากันได้เพียงสามเดือนแต่รู้จักกันมาแล้วกว่าสองปี เขาเพียรตามจีบจนกระทั่งณชาใจอ่อนตกลงคบหาก่อนที่ตฤณจะบินกลับเมืองไทย หากให้พูดตามความรู้สึกในตอนนี้เขาเป็นเหมือนพี่ชายอีกคนที่เธอไม่เคยคิดเกินเลยแต่เพราะความสงสารจึงไม่อาจปฏิเสธได้ รู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีที่ทำแบบนี้แต่ไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขอย่างไรดีในเมื่อเรื่องเลยเถิดไปขนาดนี้แล้ว
“เฮ้อ”
ถอนหายใจตัดความคิดวุ่นวายออกไป ร่างบางล้มตัวลงบนเตียงนอนห่มผ้าหนาเปิดแอร์อุณหภูมิต่ำก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
ความฝันล่องลอยไปยังอดีตที่ราวกับติดในสมองไม่มีลืม เด็กหญิงตัวอวบที่โดนเพื่อนรังแกกลับมีพี่ชายหุ่นหนามาปกป้องเอาไว้ คอยคุ้มกันไม่ให้น้องน้อยโดนใครกระทำ ชักชวนมากินขนมด้วยกันสัญญาว่าจะพาไปกินขนมอร่อยๆ ทุกวัน
“โตขึ้นเราแต่งงานกันนะพี่ทัพ” เด็กน้อยไม่รู้ประสาเอ่ยชวนพี่แต่งงานหลังจากนั่งเล่นชิงช้าอยู่ที่สนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน
“ได้สิ โตขึ้นแต่งงานกัน” พี่ชายหันมาพยักหน้าให้น้องก่อนเช็ดไอศกรีมที่เลอะปากเล็กอย่างอ่อนโยน
เธอยึดถือคำมั่นนั้นมาตลอด เกาะติดเขาไม่ปล่อยจนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อชายหนุ่มโตขึ้น เขาแสดงท่าทีรำคาญอย่างเห็นได้ชัดแต่ณชาก็สู้ไม่ถอยพยายามตื้อเพราะถือคติเหมือนที่เคยได้ยินว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลก
แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด กองทัพถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปพบรักกับผู้หญิงคนอื่น ที่แย่ไปกว่านั้นคือผู้ญิงคนนั้นมีแฟนแล้ว และแฟนของเธอยังเป็นเพื่อนสนิทของกองทัพอีกด้วย..ปลายฟ้าเป็นแฟนของพณณกรเจ็บจนแทบขาดใจนอนร้องไห้หลายคืน เรียนไม่รู้เรื่อง พึ่งเคยรับรู้ความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก
ณชาตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอกแต่ก่อนไปก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นก่อนและคืนนั้น..เธอยอมพลีกายให้เขาเชยชมอย่างผู้หญิงไม่อาย ก่อนฟ้าสว่างณชารีบตื่นมามองใบหน้าคมที่ยังหลับใหลไม่ได้สติ
“ลาก่อนนะคะ ความรักของป้อน” น้ำตาไหลกระทบเปลือกตาของชายหนุ่มก่อนที่เธอจะหายออกไปจากชีวิตของเขา..
“กลับมาบ้านได้แล้วเหรอพ่อตัวดี” ลูกชายคนเล็กโผล่มากินข้าวเย็นพร้อมหน้าครอบครัวคนเป็นมารดาจึงเอ่ยขึ้น
นักรบ วิจิตรประภา น้องเล็กของตระกูลที่โดนพี่ๆ ตามใจตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะอยากได้อะไรทุกคนมักหามาให้จนเสียนิสัย
ใบหน้าคมยิ้มให้มารดาก่อนจะเดินมากอดเอวท่านพร้อมหอมแก้มเสียงดัง
“อยากมาบ้านทุกวันแหละครับแต่ว่าช่วงนี้ติดสอบ ยากมากเลยนะแม่”
ความขี้อ้อนขอให้บอก เคยอ้อนจะเอารถยนต์ตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ห้าคุณแม่แพ้ทางยอมซื้อให้แต่ขับได้ไม่กี่วันก็เบื่อจนตอนนี้จอดทิ้งไว้ที่โรงรถเพราะพ่อเจ้าประคุณเห่อรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่แทน
“จริงหรือเปล่า ไม่ใช่ไปติดสาวที่ไหนนะ”
นักรบยืนขึ้นเดินไปนั่งกับพี่ชายคนโตพลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“สาวที่ไหนแม่ ไม่มีหรอก โสดสนิทครับ แม่มีลูกสาวเพื่อนแนะนำไหม” คนอารมณ์ดีเอ่ยถามเสียงร่าเริง
เวลาจะดีก็ดีใจหายเวลาร้ายมาใครก็เอาไม่อยู่ อย่างเรื่องชกต่อยมีบ่อยแทบจะเดือนละครั้งจนคุณเปมิกาคุมเข้มบุตรชายช่วงหนึ่ง
“แนะนำก็ไม่เอาสักคนหรอก”
นักรบอมยิ้มให้คำพูดของมารดา
..ก็ลูกสาวของเพื่อนแม่แต่ละคนไม่มีใครน่าสนใจสักนิด
“จริงสิ พี่ดลคะ วันนี้ลิซมาหาเปรมเลยชวนกันไปพักผ่อนที่ลำปางเห็นว่าบรรยากาศดีมากเลย เดี๋ยวเราไปด้วยกันทั้งครอบครัวเลยนะ” หันไปถามสามีที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน
“จะไปวันไหนล่ะ พี่จะได้เคลียร์งานให้เสร็จ” ไม่อยากขัดใจภรรยาจึงเอ่ยถาม
“เดือนหน้าค่ะ ทัพกับรบก็ไปด้วยกันนะ ไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย”
ลูกชายคนเล็กส่ายหน้าทันที
“รบไม่ว่างครับ เดือนหน้ายังสอบไม่เสร็จเลยแม่ ให้พี่ทัพไปแล้วกัน”
คนโดนน้องโยนมาให้อย่างกองทัพรีบหันไปมองอีกฝ่ายแล้วด่าแบบไม่มีเสียง
‘ไอ้เลว’
ทำเอานักรบยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
“มหา’ลัยเขาไม่สอบเป็นเดือนหรอก” คนพี่รีบหาเหตุผลเพื่อไม่ให้นักรบเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว หากเขาได้ไปหนุ่มนักศึกษาก็ต้องได้ไปด้วย
แต่มีหรือที่น้องชายคนสุดท้ายจะยอมให้พี่ชายเอาคืนได้จึงรีบหาเหตุผลต่างๆ
“ต้องเตรียมเอกสารฝึกงานอีก ยุ่งมากเลยแม่ ไม่มีเวลา ไม่ว่างและไม่ไปนะครับ”
เจอเหตุผลร้อยแปดแบบนี้เปมิกาก็คร้านจะบังคับบุตรชายคนเล็กจึงหันไปมองกองทัพที่นั่งรับประทานอาหารด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
..พักนี้ลูกชายคนโตดูจะทำงานหนักจนแทบไม่ได้พักผ่อน ชวนลูกไปก็ดีเหมือนกัน
“ถ้าน้องยุ่ง ทัพไปกับแม่นะลูก”
น้ำเสียงนุ่มนวลกึ่งอ้อนวอนของมารดาเป็นไม้ตายที่ทำให้กองทัพยอมโอนอ่อนตลอด
..เขาไม่อยากไปเลยสักนิด ไม่มีสิ่งน่าอภิรมย์เท่าไหร่นักในความรู้สึกไหนจะมีณชาน้องสาวช่างตื้ออีกด้วย ผ่านไปหลายปีหวังว่านิสัยนั้นอาจจะหายไป บางทีเธออาจจะเลิกชอบเขาแล้วก็ได้
“ขอดูก่อนนะครับ”
แบ่งรับแบ่งสู้จนเปมิกาถอนหายใจเอ่ยตัดพ้อสามหนุ่มซึ่งดูท่าจะไม่อยากไปสักคน
“ไม่เป็นไร แม่ไปคนเดียวก็ได้ พ่อลูกก็เฝ้าบ้านแล้วกัน”
ใครจะเชื่อว่าจากผู้หญิงพูดน้อยเมื่อแก่ตัวลงคุณแม่จะขี้งอนขนาดนี้ ภราดรที่เห็นภรรยาทำท่าน้อยใจก็หันไปมองลูกชายพลางส่งสายตาคาดโทษที่ทำให้มารดาเสียใจ
“ไม่หรอก พี่ก็ไปกับเปรมนั่นแหละ ทัพก็ด้วยงานช่างมันก่อน” คนที่เอาใจเมียหันมาบอกลูกชายคนโต
ส่วนนักรบก็แอบยิ้มมุมปากที่ตนเองรอดพ้น ใบหน้าหวานที่มีริ้วรอยแห่งวัยยิ้มให้สามีที่คอยตามใจเธอตลอดไม่มีขัด
“ต้องอย่างนี้สิคะ”
หลังจากนั้นทุกคนก็ลงมือรับประทานอาหารอีกครั้ง แต่ดูเหมือนอาหารตรงหน้าจะไม่อร่อยสำหรับกองทัพแล้ว ไม่นานชายหนุ่มก็ขอตัวขึ้นไปเคลียร์งานบนห้อง