ปฐมบท 2 มิไร้ความหมาย
ระหว่างที่เซี่ยจินเย่กำลังถือศีลอยู่ที่วัดฉือหนิงอย่างจริงจังไม่บิดพลิ้ว
นางได้มีโอกาสช่วยเหลือจอมยุทธ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งได้รับบาดเจ็บแล้วเข้ามาหลบซ่อนตัวตนอยู่ในวัดแห่งนี้
ระยะเวลาที่ช่วยเหลือเนิ่นนานล่วงเลยถึงสามเดือน กระทั่งทำให้ทั้งสองสนิทสนมกัน
ร่างกายที่เจ็บหนักของบุรุษได้รับการเยียวยาจนเกิดความรู้สึกลึกซึ้งต่อสตรีผู้มีพระคุณ
ส่วนหัวใจที่บอบช้ำจากสามีของฝ่ายสตรีก็ได้รับการเยียวยาจนหายดีเช่นกัน เพราะการถือศีลมิใช่เพียงสวดมนต์ทั้งวันในอารามและก่อนเข้าหอนอน หากแต่ต้องแผ่เมตตาและชัดเจนในการทำดี
ด้วยสำนึกในบุญคุณที่ช่วยเหลือ ส่งผลให้จอมยุทธ์หลงรักเซี่ยจินเย่วันล่ะน้อย กระทั่งมิอาจถอนหัวใจกลับคืน
เขามีนามว่าเกาหยาง บอกรักนางอย่างผ่าเผย แสดงออกอย่างชัดเจนเถรตรงตามวิสัยชาวยุทธ์ว่ารักมาก รักอย่างมิอาจมอบให้ใครอีกเลย
เซี่ยจินเย่รับรู้ได้ไม่ยาก แต่นางย่อมตระหนักได้ดีว่าไม่ถูกต้องเพราะว่าตนเองเป็นสตรีที่แต่งงานมีสามีแล้ว แม้มิยังมิเคยเข้าหอเสียพรหมจรรย์ก็ตาม แต่จะกล้าเปิดใจให้ชายอื่นได้อย่างไร
ดังนั้น เซี่ยจินเย่จึงแสดงออกอย่างเถรตรงเช่นกัน ทั้งนิสัยดื้อรั้นและเอาแต่ใจ นางล้วนไม่เคยเก็บข่มสักน้อย ทั้งยังคอยแสดงออกอย่างเกรี้ยวกราดเกินปกติอีกด้วย
ทางฝ่ายบุรุษ แม้รู้ดีถึงจารีตประเพณีอันเคร่งครัด มิอาจฝืน ทว่าหัวใจรักนั้นก็มิอาจต่อต้าน
ยิ่งพยายามตัดใจเสมือนยิ่งต่อสายใยมิอาจตัดรอน
เกาหยางจึงตามเกี้ยวพาเซี่ยจินเย่ไม่ห่างไปทางใด พยายามดูแลนางด้วยความจริงใจตลอดทุกก้าวย่าง
กระทั่งความรู้สึกลึกๆของสาวน้อยค่อยๆ เริ่มบังเกิดการเปรียบเทียบสองบุรุษอย่างมิอาจห้ามได้
ชายไร้ใจผู้หนึ่งซึ่งนางรักเขามากรักฝ่ายเดียวเพียรแสดงออกอย่างจริงใจต่อเขาตลอดเวลา แต่กลับได้รับเพียงความเย็นชาและหยาดน้ำตากลับมา
ส่วนชายอีกคนกลับตามรักนาง เฝ้าดูแลนางตลอด ตั้งแต่เช้าจดค่ำ ไม่รังเกียจที่นางมีนิสัยเช่นนี้
ทั้งยังไม่สนใจท่าทีที่นางจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ดังนั้นความหวั่นไหวจึงมีเข้ามาอย่างช่วยมิได้
แม้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถรักตอบเกาหยาง ทว่าเซี่ยจินเย่กลับสะท้อนภาพตนเองออกมาจนประจักษ์
ภาพของนางที่ตามรักตามเรียกร้องจากซุนเว่ยหมิน
ความรู้สึกว่ารักฝ่ายเดียวมันทรมานปานใด
นางล้วนเข้าใจแจ่มแจ้งก็ครานี้
บางที...
การรักซุนเว่ยหมินเช่นนั้น อาจเรียกได้ว่าโง่เขลาและดวงตามืดบอดจนเกินไป
ยิ่งคิด หัวใจของเซี่ยจินเย่ก็เย็นเยียบลงเรื่อยๆ
ยิ่งเห็นเกาหยางแสดงความจริงใจเท่าใดนางก็ยิ่งสงสารตนเองจับใจ และยิ่งลังเลหวั่นไหว เกิดความไม่มั่นคงในจิตใจว่าควรรักซุนเว่ยหมินต่อไปดีหรือไม่?
นางไม่ต้องการมีสภาพน่าเวทนาเช่นนั้นอีกแล้ว...
เรื่องราวดำเนินไปเช่นนั้น
ผ่านคืนและวันที่วัดฉือหนิงจนครบอีกปี ใกล้กำหนดเดินทางกลับจวนแม่ทัพในอีกสามวัน
สิ่งที่ไม่คาดคิดพลันบังเกิด
เมื่อมีนักฆ่ามากมายกรูกันเข้ามาตามหาคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นที่นักฆ่าตามหาตัวคือเกาหยาง
เกาหยางเป็นชาวยุทธ์ที่นับเป็นยอดฝีมือ เขาเก่งกล้าหาตัวจับยาก หากคิดหนีย่อมทำได้ง่ายดาย
คราก่อนที่บาดเจ็บล้วนเกิดจากการที่สหายหักหลัง แต่ยามนี้ไม่มีใครลอบทำร้าย เขาจึงหลบเร้นได้โดยสะดวก ทว่านักฆ่าที่มาไล่ล่ากลับล่วงรู้ว่าเกาหยางมีหญิงในดวงใจ พวกมันบุกเข้ามาจับตัวเซี่ยจินเย่เอาไว้เป็นตัวประกัน หวังเพียงใช้ข่มขู่เท่านั้น
ท้ายที่สุด ...เกาหยางต้องแพ้พ่ายด้วยไม่อาจปล่อยให้เซี่ยจินเย่ต้องตกอยู่ในอันตราย เขาสู้จนตัวตาย ทิ้งไว้เพียงถ้อยคำสัญญาว่า หากชาติหน้ามีจริงขอเกิดมาชดใช้ให้เซี่ยจินเย่ด้วยความรักทั้งหมดที่มีชั่วนิจนิรันดร์
จะไม่มีวันทำร้ายจิตใจนางเหมือนชายไร้ใจผู้นั้น
‘ข้ารักเจ้า…’
การปกป้องและคำรักนั้น ยังคงดังก้องซ้ำไปซ้ำมา อยู่ในห้วงคำนึง
เซี่ยจินเย่เสียใจมาก
ภาพการตายของเกาหยางที่รักนางสุดหัวใจ นำพาความสะเทือนใจไม่น้อย และประโยคสุดท้ายที่เขาฝากไว้นางยิ่งจำฝังใจมิรู้ลืม คล้ายตอกย้ำซ้ำๆ ตลอดเวลาว่า ความรักเป็นเรื่องโง่เง่าที่สุดในใต้หล้า
เพราะถึงแม้เกาหยางจะตายต่อหน้า ก็ใช่ว่าเขาจะได้หัวใจรักจากนาง...
แล้วกับชายอีกคนหนึ่งเล่า?
หากนางตายต่อหน้าเขา ก็คงไร้ความหมายเช่นกัน
หญิงสาวเดินทางกลับจวนแม่ทัพด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง มีความบอบช้ำในห้วงคำนึงมากมายเกินหยั่ง
จากสตรีนางน้อยที่รักซุนเว่ยหมินอย่างดึงดันดื้อรั้นพลันเปลี่ยนไป
เซี่ยจินเย่เติบโตขึ้นจากเหตุการณ์นี้
นางรู้จักรักตนเองมากขึ้น และรักซุนเว่ยหมินน้อยลง
เด็กสาวไร้ความคิดทั้งยังยึดติดต่อบุรุษไร้ใจ
บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว