บทที่ 2
ถ้าจะเปรียบกันแล้ว โรลท์ แมทธิวส์นั้นเหมือนอยู่ในโลกแห่งความมืดดำ ส่วนเคิร์ทคือความกระจ่างใสของยามกลางวัน เคิร์ทเป็นคนหนุ่มรูปหล่อ ทั้งหน้าตาและท่าทางแตกต่างกว่าพี่ชายโดยสิ้นเชิง อะลันน่ายอมรับว่าตัวเองพอใจเคิร์ทนับตั้งแต่ได้พบกันเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน ซึ่งตอนนั้น เธอเพิ่งจะอายุแค่สิบห้าปีเท่านั้น แต่กระนั้นก็เพิ่งเมื่อเทศกาลอีสเตอร์ที่ผ่านมานี้เองที่เคิร์ทเพิ่งจะรับรู้ในความรู้สึกที่เธอมีต่อเขา และความหวังของอะลันน่าก็เพิ่งจะผลิดอกออกผลขึ้น
เรียวปากของเธอสั่นสะท้าน มันช้ำชอกด้วยแรงจุมพิตอย่างหักหาญของผู้ชายคนที่ชื่อโรลท์ แมทธิวส์โดยแท้อะลันน่าไม่เคยสนใจโรลท์ แมทธิวส์เลยแม้แต่น้อยเธอมั่นใจในเรื่องนี้พอๆ กับการที่ยอมให้ตัวเองถูกดูดดึงเข้าไปหาเคิร์ทด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง และพยายามหลีกเลี่ยงจากโรลท์อย่างเดียดฉันท์อยู่ ไม่ว่าเขาจะปรายตามามองเธอครั้งใดพลังจากสายตาคมเข้มคู่นั้นเหมือนจะมีประจุไฟฟ้าซ่อนไว้ซึ่งทำให้อะลันน่ามีความรู้สึกอึดอัดใจอย่างไรพิกลทุกทีและในดวงตาคมกริบคู่นั้นก็ยังแฝงแววยั่วเยาะที่สามารถทำให้อะลันน่าบังเกิดความยุ่งยากลำบากใจจนเกินกว่าที่จะยอมรับได้ โรลท์ก็มีทีท่าว่าจะล่วงรู้ถึงความอึดอัดใจของเธอด้วยสีหน้าของเขาจึงบอกความขบขันทุกครั้งที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของเธอ
ก็เพราะเหตุนี้เองที่เขาแกล้งจูบเธอ นิ้วมือบีบกระชับอยู่กับกระเป๋าถือ แต่ทว่า กระเป๋าใบนั้นดูจะแข็งแกร่งเฉกเช่นเดียวกับแผ่นอกของเขาที่อยู่ใต้ฝ่ามือของเธอเมื่อครู่ผิวเนื้อของอะลันน่าผะผ่าวขึ้นในทุกส่วนที่ทาบอยู่กับเรือนกายของเขา
ตลอดช่วงเทศกาลอีสเตอร์ที่ผ่านมา อะลันน่า ไม่ได้ปกปิดความรู้สึกที่เธอมีต่อเคิร์ทไว้เลย มันไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ซึ่งตลอดเวลานั้น ถ้าโรลท์อยู่ใกล้ๆ ซึ่งก็ออกจะโชคดีที่ไม่ได้บ่อยครั้งนัก เขาจะจับตามองเธอกับน้องชายด้วยความสนใจอยู่ห่างๆ แสร้งทำให้อะลันน่าบังเกิดความคิดว่า เขาเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเคิร์ทเป็นเรื่องขำขัน เป็นการแสดงออกของเด็กหนุ่มสาวเท่านั้น
เด็กหนุ่มเด็กสาวเท่านั้นรึ? อะลันน่าสูดลมหายใจแรงๆ กับคำๆ นี้...เคิร์ทอายุยี่สิบเก้าและเธอก็อายุยี่สิบเอ็ดแล้ว มันพ้นวัยรุ่นที่ไม่รู้ประสีประสาอย่างที่โรลท์คิดว่าเธอกับน้องชายของเขาจะเป็นแล้วด้วยซ้ำ แต่อาจจะเป็นเพราะโรลท์โตกว่าน้องชายอยู่ถึงห้าปี ทำให้เขามักจะดูหมิ่นในการกระทำต่างๆ ของเคิร์ทอยู่เสมอ และถ้าไอ้เรื่องการซุบซิบนินทากันอยู่เป็นความจริง ว่าโรลท์ตีความลึกซึ้งอยู่มากในเรื่องที่จะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงแล้ว ก็ไม่เป็นที่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะมองดูความสัมพันธ์เคิร์ทกับอะลันน่าอย่างเหยียดหยันอยู่
ร่างสูงสง่ากำลังเดินด้วยฝีเท้ามั่นคงและมั่นใจใกล้เข้ามาทุกที ปลุกให้อะลันน่าตื่นขึ้นจากห้วงภวังค์แห่งความคิดเธอเมินสายตาเสียจากเขากำลังแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอมาด้วย โรลท์ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ จับตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธออยู่
“ผมจอดรถไว้ข้างนอก” เชาเอ่ยขึ้น “จะไปกันรึยังล่ะ?”
“ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” อะลันน่าตอบเสียงแข็ง
เขาผงกศีรษะเยาะและผายมือให้เธอเดินออกหน้าไปก่อน แววในดวงตาคู่สีดำสนิทนั้นชี้ชัดว่าเขารู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่ชอบหน้าเขามากอยู่เพียงใด แต่ยังคงแฝงแววขันไว้ อะลันน่า เชิดศีรษะขึ้นหยิ่งๆ เมื่อเดินออกจากตัวอาคาร ถ้าจะหยุดรอ ก็เพียงให้โรลท์ชี้รถที่จอดไว้ให้ดูเท่านั้นและเกือบจะพลั้งปากบอกเขาออกไปแล้วว่าเธอสามารถจะหารถกลับไปบ้านตัวเองได้
แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า ถ้าเธอขืนพูดอะไรทำนองนั้นออกไปก็เท่ากับสำแดงความขลาดออกมาให้เขาเห็นเท่านั้นเองและยังเป็นการชี้ชัดให้โรลท์รู้ด้วยว่า เธอรู้สึกอย่างไรกับการที่มีเขาอยู่ใกล้
เมื่อเอากระเป๋าเก็บเข้าไปที่เก็บของท้ายรถแล้ว โรลท์จึงได้ไขกุญแจประตูด้านที่คู่กับคนขับออก พร้อมกับเปิดประตูรถให้ก่อนที่จะก้าวเลี่ยงไปเสียข้างหนึ่ง ไม่มีทางใดที่อะลันน่าจะหลีกเลี่ยงจากอุ้มมือแข็งๆ ที่เอื้อมมาจับตรงปลายศอกและช่วยพยุงร่างให้เข้านั่งในรถโดยเรียบร้อยได้ทันทีที่ประตูด้านนั้นปิดลง อะลันน่าก็ถูไถข้อศอกตรงที่ถูกจับเหมือนจะลบรอยฝ่ามือของเขาออก และแล้วโรลท์ก็เลื่อนตัวเข้านั่งหลังพวงมาลัย
แม้ไม่อยากจะทำลายความเงียบขึ้น แต่อะลันน่าก็รู้ว่าตัวเองไม่อาจทนนั่งนิ่งเงียบอยู่ได้ จนกว่าจะได้รู้ถึง เหตุผลว่าทำไมเคิร์ทจึงไม่มารับเธอด้วยตัวเอง มันคล้ายกับมีอะไรบางอย่างที่บอกเธออยู่ว่า ถ้าเธอไม่ถาม โรลท์จะต้องไม่ปริปากบอกเหตุผลให้เธอฟังแน่
เธอปรายตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา ในใจระอุคุกรุ่นด้วยความโมโห ท่าทางของโรลท์ตอนนี้เต็มไปด้วยมั่นใจอย่างน่าหมั่นไส้คล้ายกับว่าเขาไม่ได้แยแสอะไรทั้งสิ้นนอกเสียจากความต้องการของตัวเองเท่านั้น
“ทำไมเคิร์ทถึงมารับฉันไม่ได้ล่ะคะ?”ในที่สุด อะลันน่าก็ตัดใจถามออกมา
เขาตวัดสายตามองหน้าเธอแวบหนึ่ง ในแววตาคู่นั้นไม่ได้บอกความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ติดเครื่องยนต์พารถเคลื่อนออกจากที่จอด ก่อนที่จะเอ่ยคำตอบขึ้นว่า
“เครื่องจักรอันหนึ่งที่เหมืองเกิดเสียขึ้นจะไม่ซ่อมก็ไม่ได้มันเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ”
มันเป็นคำตอบที่ออกจะคล่องปากเกินไป แต่อะลันน่าก็เชื่อว่าที่เขาพูดออกมาจะต้องเป็นความจริง แต่กระนั้น อะลันน่าก็ยังอดที่เหน็บแนมให้ไม่ได้ว่า
“มันคงจะไม่ใช่เรื่องปัจจุบันทันด่วนเสียจนกระทั่งคุณจะให้รอเวลาอีกสักหน่อยได้มากกว่ากระมัง”
ริมฝีปากของเขาเหยียดออกเหมือนจะยิ้ม แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น โรลท์กลับไม่ได้โต้ตอบคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อยสายตาทอดเขม็งอยู่กับเส้นทางเบื้องหน้า เมื่อสู่ถนน
“ฉันคิดว่าเป็นเพราะคุณเองมากกว่าที่ไม่ต้องการช่วยแก้เครื่องนั่นแทนเคิร์ท เพื่อให้เขามีเวลามารับฉัน” อะลันน่าเม้มริมฝีปากแน่น รู้คำตอบนั้นก่อนหน้าที่โรลท์จะเอ่ยปากออกมาเสียด้วยซ้ำ
“อันที่จริงผมก็คิดอยู่เหมือนกัน” อีกครั้งหนึ่งที่เขาตวัดสายตาเหลือบมองหน้าเธอ รั้งรอยู่กับเรียวปากที่เคลือบด้วยลิปสติกมันระยับ ก่อนที่เบือนกลับไปมองเส้นทางตรงหน้า มีรอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก เหมือนจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง “แต่ถ้าทำเช่นนั้น มันก็เท่ากับว่าผมปฏิเสธตัวเองที่เราได้พบกันครั้งนี้”
“ทำไมล่ะ?” อารมณ์ของเธอพลุ่งโพลงขึ้น เมื่อเห็นว่าเขากำลังเตือนความจำไปถึงจุมพิตเมื่อครู่อย่างไม่จำเป็นเลย “มันก็ไม่ใช่การพบที่น่าพอใจเลยนี่”
“ก็อาจจะจริง” ไหล่กว้างๆ นั้นยกขึ้นราวกับไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับปฏิกิริยาที่อะลันน่าแสดงออก “แต่มันก็เป็นการพบที่ยากจะลืมลงอยู่เหมือนกัน”
“ไม่มีการยกโทษให้ด้วย” อะลันน่าเสริมด้วยน้ำเสียงประชด
“นี่คุณอยากให้ผมขอโทษยังงั้นรึ?” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยคำพูดประโยคนั้นออกมาสำแดงความขบขันอย่างแท้จริง
นิ้วมือของอะลันน่าบีบที่วางแขนหุ้มหนังสีน้ำตาลทองซึ่งเข้ากันกับพนักไว้แน่น อยากให้มันเป็นเนื้อหนังเขสเองนัก จะได้จิกเล็บลงด้วยความสะใจ
“เห็นจะไม่ใช่คนอย่างคุณหรอกที่จะทำยังงั้นน่ะ” เธอระบายลมหายใจออกมาด้วยความขุ่นเคือง “คนอย่างคุณน่ะมันไร้จรรยา”
“จรรยา?” คิ้วเข้มๆ เลิกสูงขึ้นเชิงถาม “จรรยามันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องจูบด้วยล่ะ?”
อะลันน่าพลั้งปากพูดออกมาสองสามคำ เคืองแค้นกับการแสดงออกของเขา ที่ไม่ยอมรับในความจริงว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของน้องชายและกับที่เธอยังหวังด้วยว่า....จะต้องเป็นมากกว่านั้น “ฉันนัดหมายอยู่กับน้องชายของคุณ” เธอพูดเสียงเครียด “และฉันก็ไม่คิดด้วยว่ามันจะต้องยอมรับกันโดยปริยายว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะจูบคู่รักของน้องชายตัวเองได้”
“อ้าว....นี่คุณเป็นคู่รักเขาด้วยรึ?” ดวงตาดำขลับคมปลาบหรี่ลง โรลท์รู้อยู่แก่ใจว่าอะลันน่า ไม่อาจตอบคำถามประโยคนั้นได้ เขาปฏิเสธแทนเธอด้วยรอยยิ้มเย็น “แต่ถึงจะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลยนี่ เพราะว่าผมจะต้องสอนให้น้องผมรู้จักการแบ่งสรรปันส่วนอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ขอมีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรในเรื่องนี้สักหน่อยนะ”อะลันน่าเถียง “และฉันอยากจะคุณเชื่อด้วยว่าฉันไม่เคยสนใจที่จะให้คุณมา....”
“....ฝากรักกับคุณ” โรลท์ช่วยต่อประโยคให้ รอยยิ้มอย่างแฝงเลศนัยกดลึกอยู่ตรงมุมปาก
“ที่ฉันตั้งใจพูดก็แค่ว่า ไม่ต้องการให้คุณมาสนใจตัวฉันต่างหาก” อะลันน่าพูดด้วยเสียงประชด ใบหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินเขาต่อประโยคด้วยคำพูดทื่อๆ เช่นนั้น “แต่ถ้าคุณต้องการจะให้แจ่มแจ้งกันลงไปเลย จะรวมเอาคำที่คุณพูดเมื่อกี้นี้เข้าไปด้วยก็ได้”
เธอปรายตามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของบุรุษที่กำลังนั่งอยู่หลังพวงมาลัย แต่โรลท์ไม่ได้หันมาสบตาด้วย เมื่อเธอเมินสายตาเสียจากใบหน้านั้นก็พบว่าตัวเองกำลังจ้องมองดูฝ่ามือแข็งแกร่งที่กระชับพวงมาลัยอยู่ มือที่สามารถจะบังคับให้รถวิ่งตรงไปอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะต้องการให้มันเลี้ยวลดไปในทางใด ขณะเดียวกัน ก็บอกตัวเอง ว่าด้วยมือทั้งสองข้างนี้ที่สามารถจะบงการผู้หญิงทุกคน ให้ล่วงสู่บ่วงเสน่หา อันซับซ้อนด้วยความชำนิชำนาญอย่างเหลือแสนสัมผัสจากฝ่ามือคู่นี้เปี่ยมไปด้วยความมั่นคง เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยพลังแห่งการโลมและปลุกเร้ายามที่ตั้งใจจะโลมไล้ลง...