บทที่ 1
เงาของเครื่องบินทอดทาบลงเหนือยอดไม้ที่กระจ่างอยู่กลางป่าสนนั้น คือทะเลสาบมินเนโซต้า แผ่นพื้นน้ำเป็นสีฟ้าครามใสระยิบระยับ ราวกำลังหลิ่วตาล้อแสงอาทิตย์ เส้นทางคอนกรีตที่ทอดตัวราวเส้นริบบิ้นนั้นเล่า ก็ราวจะพยักพเยิดเรียกร้องให้เครื่องบินลำนั้น ลดตัวลงไปหามัน
ภายในเครื่องบิน อะลันน่า เพาเวลล์ กำลังทอดสายตาอย่างกระตือรือร้นออกไปนอกหน้าต่าง หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นอาคารของสนามบินปรากฏขึ้นในคลองจักษุ เรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ล้อมกรอบใบหน้าที่สะสวย และสดใสไว้ คางที่ค่อนข้างเชิดบอกให้รู้ถึงพลังแห่งความมั่นใจ และดวงตาสีม่วงราวดอกไวโอเล็ตก็สะท้อนประกายแพรวพราวทุกส่วนบนใบหน้านี้เมื่อรวมกันเข้าแล้วก็บอกให้รู้ว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่ แต่กระนั้น เรียวปากที่ได้รูปก็ยังซ่อนเร้นความอ่อนไหวไว้
มีแรงกระเทือนเบาๆ เกิดขึ้นเมื่อล้อเครื่องบินกระทบพื้นดินและเคลื่อนตัวไปตามรันเวย์ อะลันน่าเม้มปากสำรวจความสดใสของลิปสติกที่แต่งเรียวปาก ขณะเดียวกัน ก็สอดส่ายสายตาไปตามบริเวณด้านหน้าของอาคารสนามบินเพื่อมองหาเคิร์ท บอกตัวเองว่าถ้าจะมองเห็นเขาจากตรงที่กำลังนั่งอยู่ในเวลานี้ได้ก็ต้องนับว่าโชคดีเอาการอยู่
ลำคอของเธอตีบตันขึ้น เมื่อคิดไปถึงว่า... ถ้าเคิร์ทไม่สามารถจะมารับเธอถึงสนามบินได้เล่า? แต่แล้ว อะลันน่าก็ส่ายศีรษะ ผลักไสความคิดนั้นให้พ้นไปเสีย เมื่อนึกเลยไปถึงเมื่อวันวาน ตอนที่เธอโทรศัพท์มาหาเขา เพื่อแจ้งให้ทราบว่าเธอจะเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยเที่ยวบินจาก มินเนโปลิสและเขาก็รับปากรับคำอย่างมั่นเหมาะ โดยไม่พักต้องลังเลใจเลยว่าจะมารับเธอแน่ ไม่รอฟังคำอธิบายของเธอด้วยซ้ำที่ตั้งใจจะบอกเขาให้รู้ถึงเหตุผลที่เธอทำเช่นนี้ ว่าเป็นเพราะอยากจะให้พ่อกับแม่แปลกใจเล่น
อะลันน่าบอกกับตัวเองว่า เธออกจะคิดมากเกินไปสักหน่อยแล้วที่ประหวั่นไปในเรื่องที่ไม่เข้าเรื่อง แต่แล้ว...เรียวปากก็เหยียดออก อาจจะเป็นเพราะความรักกระมังที่ทำให้คนเราหวั่นไหวไปได้ต่างๆ นานา เธอไม่ได้พบหน้าค่าตาเคิร์ทเลยตั้งแต่เทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งก็เกือบสองเดือนแล้ว และตอนนั้น เขาก็แสดงให้เธอเห็นว่า เขาติดเนื้อต้องใจเธออยู่ไม่น้อย แต่นั่นแหละ อะไรๆ มันก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น...
เครื่องบินชะลอความเร็วลงจนหยุดสนิทเบื้องหน้าซิสโฮล์มฮิบบิ้ง แอร์พอร์ต เธอปลดสายคาดนิรภัยออกจากตัว และแล้ว อะลันน่าก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินตามผู้โดยสารคนอื่นๆ ลงจากเครื่อง มือไม้ที่สั่นด้วยความตื่นเต้นลูบไล้กระโปรงสีเปลือกข้าวฟ่างอยู่ ตรวจไปตามรังดุมที่ผ่าไว้ทางด้านหน้าว่ากระดุมทุกเม็ดกลัดอยู่ในที่ทางเรียบร้อย นอกจากสองเม็ดเหนือเข่า ที่เวลาเดินจะเผยออกให้เห็นเรียวขาที่ได้รูปและซ่อนเร้นความเนียนละไมของโคนขาไว้
ในท่ามกลางผู้คนที่มารอรับญาติมิตรที่ โดยสารมากับเที่ยวบินนี้ไม่ได้ปรากฏวี่แววของเคิร์ทเลย และเมื่ออะลันน่าเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ก็พบว่าเครื่องบินเข้าตรงตามเวลาพอดีอดที่จะคิดเข้าข้างเขาไม่ได้ว่า บางที เคิร์ทอาจจะมาล่าไปสักหน่อย ฝีเท้าชะลอลงเมื่อสายตามองหาเขาทั่วบริเวณท่าอากาศยานแห่งนั้น
และแล้ว สายตาของเธอก็กระทบกับร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่ออกจะคุ้นตา ซึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับถังน้ำพุที่มีไว้ให้ดื่ม และหัวใจของอะลันน่าก็พองโตขึ้นด้วยความดีใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน ความหวั่นวิตกทั้งหลายทั้งมวลเหมือนจะมลายหายไปสิ้น เมื่อจำผู้ชายคนนั้นได้
“เคิร์ท” เธอเรียกชื่อเขาออกมาพร้อมด้วยเสียง หัวเราะอย่างโล่งใจ รองเท้ากระทบพื้นอยู่ไหวๆ ขณะที่วิ่งเข้าไปหาเขา “ฉันคิดว่าคุณลืมมารับฉันเสียแล้วสิ” แต่แล้ว...ผู้ชายคนนั้นยืดร่างขึ้นและหันมาทางเธอ ซึ่งก็เป็นขณะเดียวกัน ที่อะลันน่ากำลังจะโผผวาเข้าอ้อมกอดของเขานั้น เธอก็รู้ได้ทันทีว่าจำคนผิดเข้าแล้ว “คุณ...” ความตกใจและความขุ่นเคืองระคนอยู่ในน้ำเสียงที่เปล่งออกไป
แต่ท่าทีซึ่งเธอขยับก้าวถอยหลังถูกขัดขวางไปด้วย อ้อมแขนที่เหมือนปลอกเหล็กซึ่งรวบรัดลงตรงช่วงเอวไว้
“อย่าหยุดแค่นั้นสิ” เขาเอ่ยขึ้น ริมฝีปากที่บอกถึงความเป็นคนเลือดเย็นบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน “เพราะว่าถ้าผมจะต้องทำหน้าที่แทนน้องชายแล้ว ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับจูบจากคุณด้วยเหมือนกันนะ”
“ไม่” เสียงที่อะลันน่าปฏิเสธออกไปนั้นเหมือนกำลังถูกบีบคอไว้
แต่ฝ่ามือใหญ่ๆ นั้นได้เลื่อนจากชายโครงขึ้นไปตามเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนตรงท้ายทอย และแทรกนิ้วเข้าไปถึงรากอันอ่อนนุ่ม เมื่อบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น ฝ่ามือของอะลันน่ายันอยู่กับแผงอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างเปล่าประโยชน์ เมื่อเรือนกายท่อนล่างของเธอถูกรั้งเข้าไปแนบชิดกับลำตัวของผู้ชายคนนี้เสียแล้ว
ไม่มีทางไหนเลยที่อะลันน่าจะหลีกหนีให้พ้นจากริมฝีปากที่เคลื่อนต่ำลงมาหา หรือแม้แต่จะคิดเบี่ยงกายหนีปลอกเหล็กที่รัดร่างไว้ก็ตาม แทบจะไม่มีเวลาเสียด้วยซ้ำที่จะขืนตัวเพื่อขัดขวางการรุกราน ยามที่เขาประทับจุมพิตลงบนเรียวปากของเธออย่างหนักหน่วงด้วยความพึงใจที่คล้ายจะระอุขึ้นช้าๆ โดยใช้ประโยชน์จากขณะที่อะลันน่ายังตะลึงงึงงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อนี้
ในนาทีต่อมา ร่างของเธอก็ถูกปล่อยออก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำสนิทคู่นั้น สว่างวาบขึ้นเมื่อเห็นนวลแก้มของเธอแดงระเรื่อขึ้น ด้วยเปลวแห่งความแค้นใจที่ระอุขึ้นภายใน ท่าทางของอะลันน่าในยาวนี้เตรียมที่จะต่อสู้อย่างแท้จริง
“คุณกล้าดียังไงน่ะ.....ถึงมาทำอย่างนี้” เธอตวาดเสียงเครียด
ดวงตาที่หรี่ลงคู่นั้นกำลังพินิจท่าทีขุ่นเคืองของเธออยู่แผงขนตาทื่อๆ แบบผู้ชายช่วยอำพรางความรู้สึกทั้งมวลที่แฝงอยู่ไว้ รอยยิ้มอย่างปราศจากอารมณ์ขับเกลื่อนอยู่บนริมฝีปาก ซึ่งเพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่สร้างความระบมไว้กับเรียวปากของเธอ
“เอาตั๋วมาสิ...ผมจะได้ไปเอากระเป๋าเดินทางให้ และก็อยากจะขอแนะนำว่า เอาไว้ให้อยู่ในรถด้วยกันตามลำพังเสียก่อนแล้วอยากจะแสดงอารมณ์อะไรก็ค่อยแสดงออกมา” สายตาที่กวาดไปรอบๆ เหมือนจะชี้ให้เธอเห็นว่า ขณะนี้ ทั้งเขาและเธอกำลังยืนอยู่ด้วยกันในที่สาธารณะ
ความมั่นใจของเธอดูเหมือนจะคลอนแคลนลงอย่างไม่น่าเชื่อ และน้ำเสียงกึ่งเยาะนั้นก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นได้เลยยิ่งกว่านั้น ถ้าเธอขืนเอะอะอะไรออกไป ก็กลับจะเป็นการเรียกความสนใจจากผู้คนที่อยู่รอบข้าง ซึ่งเท่ากับทำให้สถานการณ์เลวลงไปกว่าเดิมอีก อะลันน่าจึงกล้ำกลืนความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนนั้นไว้ ควานมือลงไปในกระเป๋าถือเพื่อหยิบตั๋วเครื่องบินออกมา ซึ่งที่ติดอยู่กับตั๋วใบนั้น คือใบจ่าย กระเป๋าเดินทางที่เธอยื่นส่งให้เขา ด้วยอาการที่สงบระงับอารมณ์ไว้อย่างยากยิ่ง
ทำไม เธอถึงได้ตาบอด จนมองไม่เห็นเอาเลยจริงๆ ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เคิร์ท แต่เป็นพี่ชายของเขาโรลท์แมทธิวส์ พี่น้องสองคนนี้แม้จะมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องรูปร่าง คือต่างก็สูงและผิวคล้ำ ผึ่งผาย สะโอดสะองก็จริงแต่เห็นจะมีคนโง่เท่านั้น ที่มองเห็น โรลท์เป็นเคิร์ทไปได้
เธอตวัดสายตาที่ระอุด้วยความขุ่นเคือง มองตามไหล่กว้างๆ ของผู้ชายที่กำลังเดินห่างออกไป เขาสูงกว่าเคิร์ทอาจจะสักนิ้วหรือสองนิ้วเท่านั้น ฝีเท้าแผ่วเบาเงียบกริบเหมือนท่าการเดินของแมว เรือนผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนสีกาแฟ เป็นประกายสีทองเมื่อต้องแสงแดด ไม่ใช่สีน้ำตาลดำอย่างสีผมของเคิร์ท เป็นเรือนผมที่ค่อนข้างยาวหยักสลวย ลงมาจนถึงท้ายทอย ถูกเสยอย่างไม่เอาใจใส่เท่าไรนัก
ส่วนรูปหน้าของพี่น้องสองคนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าเรียบๆ คล้ำๆ ที่ตากลมอยู่ตลอดเวลา จนมองคล้ายปั้นด้วยทองแดงของโรลท์นั้น บอกให้รู้ว่าเขาเป็นคนใจแข็ง และเลือดเย็นอย่างมากคนหนึ่ง รอบริ้วรอบๆมุมปากมักจะกดลึกเป็นแววหมิ่นๆ อยู่เสมอ ดูเหมือนตราแห่งความทระนงถือดีนี้จะประทับอยู่ทั่วไปในเรือนร่างบรรยากาศดูจะทรงอิทธิพลอย่างมหัศจรรย์และก็ราวจะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างให้วิ่งเข้าไปหาอยู่ตลอดเวลา