บทที่ 3
ความละอายใจบังเกิดขึ้นในทันที อะลันน่ารีบเมินสายตามองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้า นวลแก้มแดงปลั่งขึ้นด้วยฤทธิ์แรงแห่งความคิด เธอเกลียดผู้ชายคนนี้นัก ก็แล้วทำไมถึงได้คิดอะไรให้มันวุ่นวายไปขนาดนั้นได้เล่า? นี่เธอเริ่มจะยอมให้ตัวเองเสียศักดิ์ศรีและหมดความนับถือตัวเองแล้วกระนั้น หรือ?
“ทำไมคุณถึงต้องโกรธด้วยนะ กะแค่จูบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น?” โรลท์ตวัดสายตามองแก้มนวลๆ ที่แดงเรื่ออยู่อะลันน่าปัดปอยผมที่ระลงปรกนวลแก้มเพื่อช่วยซ่อนเร้นความรู้สึกขัดเขินที่เกิดขึ้น ทำเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกแยแสอะไรเลยด้วยซ้ำ
“หรือเป็นเพราะผมเกาไม่ถูกที่คัน?” น้ำเสียงทุ้มๆของเขาเหมือนจะโลมเล้าเอาใจ “มันทำให้คุณหงุดหงิดมากนักหรือที่ผมพบว่าคุณน่ะเป็นคน....”
“น่าหัวเราะเยาะ....ใช่ไหม?” อะลันน่าช่วยเติมคำนั้นลงให้ด้วยไม่ต้องการให้เขามีโอกาสเยาะเย้ยเธอ ได้มากไปกว่านั้น
“คุณคิดยังงั้นรึ?” โรลท์กลับย้อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
อะลันน่าเชิดคางขึ้นทันที
“ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่ ความคิดที่คุณมีต่อฉันน่ะเหมือนเห็นฉันเป็นตัวตลกอยู่ตลอดเวลา เป็นไอ้ตัวอะไร สักอย่างที่คุณจะยั่วเล่นตามความพอใจ คอยจะเยาะเย้ยถากถางฉันอยู่ตลอดเวลา ขอให้เข้าใจไว้ด้วยนะ โรลท์ ว่าฉันไม่ใช่ตัวตลกสำหรับคุณ ถ้าคุณอยากคิดอะไรพรรคืนั้นละก็เชิญไปหาที่อื่น”
“ก็แล้วสมมุติว่าผมไม่ต้องการไปหาที่ไหรล่ะ เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อไป?” เขาอ่อยเหยื่อหลอกล่อเธออีก
อะลันน่าเพ่งสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่อยากจะสบสายตาที่เปี่ยมไปด้วยแววหลอกล่อคู่นั้น ราวกันสนใจที่จะอ่านป้ายโฆษณาร้านรวงต่างๆ ในเมืองฮิบบิ้งมากกว่า
“อย่ามาหลอกล่อฉันเล่นหน่อยเลย โรลท์” เธอพูดห้วนๆ “ฉันไม่สนใจหรอก”
“แต่บางที ผมอาจจะสนใจคุณก็ได้นะ” เขากลับตอบเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง ความใคร่รู้ที่บังเกิดขึ้นทำให้อะลันน่าต้องหันไปมองเขาอีกครั้ง แต่ใบหน้าที่เหมือนหล่อมาจากรูปปั้นทองแดงนั้นแทบจะไม่บอกอะไรให้เธอรู้เลยนอกเสียจากแววในดวงตาที่บอกความนัยอย่างกระจ่างชัด “ทำไม...มันยากนักหรือที่จะทำใจให้เชื่อว่าผมอาจจะติดใจคุณเข้าอีกคนหนึ่งก็ได้”
สายตาที่เขากวาดไปทั่วเรือนร่างสร้างความสะทกสะเทิ้นให้กับเธออย่างมาก และในแวบหนึ่งของความไม่แน่ใจนั้นที่ทำให้อะลันน่าเอื้อมไปดึงชายกระโปรงที่เลิกขึ้นมาเห็นหัวเข่าให้เลื่อนลง รอยยิ้มมุมปากของเขากดลึกลงเมื่อเห็นท่าทางของเธอ เป็นการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความเจตนาอย่างยิ่ง เพราะรู้ว่าเพียงคำพูดนั้นก็สามารถทำให้ใจคอเธอบังเกิดความระส่ำระสายขึ้นได้ และอะลันน่าก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลยด้วย เธอได้แต่กัดริมฝีปากเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้กรีดร้องออกมาด้วยความเคืองแค้น
“ไม่มีทางหรอก” เธอยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพราะคิดว่ามันจะต้องไม่เป็นความจริงเช่นที่เขาพูด แต่ขณะเดียวกัน ก็ให้สงสัยในความสามารถของตนเองที่จะป้องกันตัวไว้ให้รอดพ้นจากเกมที่เขากำลังเล่นอยู่
“ไหนบอกผมหน่อยสิ อะลันน่า..” เขาชะลอความเร็วของรถลงเมื่อเห็นสัญญาณไฟสีแดงปรากฏขึ้น และอย่างไม่ยอมให้เธอตั้งตัวเมื่อรุกต่อว่า “คุณยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า?”
เธอสูดลมหายใจลึกทันที
“ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ”
“ผมเห็นคุณไปไหนต่อไหนกับน้องชายผมอยู่บ่อยๆ” โรลท์แสดงความคิดเห็น ซึ่งสร้างความลำบากใจให้เธอมากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นเขาจรดจ้องอยู่กับเนินทรวงที่สะท้อนขึ้นลงด้วยแรงหายใจ “บอกตรงๆ นะผมสงสัยจริงๆ”
“งั้นก็เชิญสงสัยต่อไปเถอะค่ะ” เธอตวาดให้
สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสีรเขียว เขาจึงเคลื่อนรถออกจากที่ เปล่งเสียงหัวเราะแผ่วๆ อยู่ในลำคอ
“เห็นจะไม่จำเป็นแล้วล่ะ เพราะคุณก็ตอบคำถามผมแล้ว” แววในดวงตาของโรลท์เข้มขึ้นอย่างล้อเลียน “ว่าแต่ว่าที่คุณระมัดระวังเนื้อตัวอยู่ทุกวันนี้ จะเก็บไว้ให้เคิร์ทหรือไง?”
ความร้อนแผ่สร้านไปทั่วร่างกาย
“ถึงยังไง ก็ไม่ใช่เก็บไว้ให้คุณก็แล้วกัน” อะลันน่าร้องออกมา “ไม่มีวันที่ฉันจะทำอย่างนั้นเพื่อคุณหรอก”
“ระวังหน่อย” เขาเตือนด้วยเสียงปนหัวเราะ “เพราะคำว่าไม่มีวันน่ะมันนานนะ”
อะลันน่าใคร่จะต่อปากต่อคำว่า มันไม่ใช่เวลานานเลยถ้าจะมีเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่า แทนที่เขาจะเลี้ยวรถเพื่อพาเธอไปส่งที่บ้านของพ่อแม่ โรลท์ยังคงขับอยู่บนเส้นทางหลวง
“คุณเลยทางเลี้ยวมาแล้วค่ะ” เธอบอก
“ไม่หรอก”
น้ำเสียงของเขาบอกความมั่นใจอย่างมาก อะลันน่าหันไปมองทางแยกที่เพิ่งผ่านมาเกือบจะเชื่อแล้วว่าเธอเองต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้าใจผิด
“แต่บ้านพ่อแม่ฉันต้องเลี้ยวไปทางถนนนั้นนี่”
“ก็ผมยังไม่ได้พาคุณไปส่งบ้านสักหน่อย”
เขาคงไม่ตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นแน่ แต่เมื่อหันไปมองหน้าก็เห็นว่า โรลท์แสดงความตั้งใจอย่างที่พูดออกมาจริงๆ เธอได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นครู่
“แล้วคุณจะไปไหน.....?”
“เคิร์ทอยู่ที่เหมือง คุณเองก็อยากพบเขาอยู่ไม่ใช่รึ?” เขาเยาะให้
“อ้าว...เราจะไปที่เหมืองกันหรือนี่?” อะลันน่าถามอย่างคาดคั้น รู้สึกเหนื่อยอ่อนกับเกมที่เขากำลังเล่นอยู่เสียเหลือเกิน
“ก็ใช่นะสิ” โรลท์ถอนเท้าออกจากคันเร่ง “...นอกเสียจากว่า คุณต้องการรีบกลับบ้าน”
“ฉันอยากพบเคิร์ท” เธอตอยอย่างยอมรับ รู้สึกเจ็บใจที่เขาแสดงเจตนาออกมาไม่ต้องการให้เธอรู้ตั้งแต่แรกอาการเยาะหยันจับอยู่ตรงปลายลิ้นเมื่อเสริมต่อว่า “ฉันไม่ยักคิดว่าคุณจะพาฉันไปที่นั้นหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่เคิร์ทดูเหมือนจะมีงานเร่งด่วนต้องทำให้เสร็จอย่างนั้น” แต่คำพูดอย่างคล่องปากด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมของเธอผ่านหูเขาไปเหมือนหยดน้ำที่ลื่นไหลลงจากขนเป็ด
“ผมคิดว่า บางที เขาจะพอสละเวลาสักครู่มาพบกับคุณได้ แล้วช่วงนั้นผมก็จะทำงานแทนเขาเอง”
“เช่นเดียวกันกับที่ถ้าคุณจะทำก็ทำได้ ถ้าจะปล่อยให้เขามารับฉันที่สนามบินสินะ” อะลันน่ายกมือบีบขมับที่ปวดร้าวขึ้นมา “คุณก็ทำอย่างที่เคยทำกับพ่อฉันมาแล้วนั่นแหละ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บช้ำ “ฉันยังเสียใจไม่หายนะที่พ่อขายเหมืองของเราให้คุณ”
“สายแร่เหล็กน่ะมันหมดไปแล้ว และพ่อของคุณก็ไม่มีทั้งกำลังเงินทั้งความรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นเหมืองทาโคไนท์ขึ้นมาได้ ถ้าหากพ่อคุณไม่ขายให้เราเสียตั้งแต่ปีนั้น รับรองว่าอีกแค่ปีเดียว พ่อคุณต้องล้มละลายแน่เรื่องที่ผมพูดน่ะเป็นความจริงนะ ไม่ว่าเขาหรือคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม” โรลท์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น “ยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่มีทางได้พบกับเคิร์ทหรือผมด้วย”
อะลันน่าไม่ได้ตอบโต้คำพูดกึ่งแสดงความคิดเห็นของเขาในข้อนั้น บัดนี้ อาคารบ้านเรือนอันเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนสิ้นสุดลงแล้ว ที่กำลังปรากฏอยู่สองข้างทางก็คือทัศนียภาพของชนบททั้งป่าสนและสุมทุมพุ่มพฤกษ์ที่เขียวชอุ่ม ขณะนี้เขาและเธอกำลังอยู่บนเส้นทางที่เรียกว่าทาโคไนท์เทรล โร้ด ซึ่งผ่าเข้าไปในกึ่งกลางของ เมซาบี ไอเออน เรนจ์
บนพื้นที่ซึ่งมีลักษณะเหมือนปลายศรซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของมินเนโซต้า ครั้งหนึ่งคือบริเวณที่ตั้งของเหมืองแร่เหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถสร้างผลผลิตให้ใช้กันได้ทั่วทั้งประเทศ สายแร่ที่มีอยู่ในเวอร์มิลเลียน เมซาบี และอาณาบริเวณใกล้เคียงอื่นๆ คือทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ามหาศาล จนกระทั่ง เมื่อครั้งที่เริ่มขุดแร่ในบริเวณนี้กันใหม่ๆนั้น ถึงกับเป็นที่เชื่อกันว่า มันจะไม่มีวันหมดสิ้นไปได้ แต่จากพัฒนาการและสงครามที่เกิดขึ้น คือสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นการมองการไกลที่ผิดพลาดอย่างที่สุด เพราะในปัจจุบัน ถึงกับต้องคิดค้นหากรรมวิธีที่จะเอาหินทาโคไนท์จำนวนมหาศาล ซึ่งครั้งหนึ่งไม่เคยเป็นที่สนใจของใครเลยมาผลิตเป็นเหล็กแทนด้วยซ้ำ
ที่อยู่เบื้องหลังสุมทุมพุ่มพฤกษ์อันเขียวขจีนั้น เรื่องราวความรกร้าวของเหมืองแร่เหล็กมากมายหลายแห่ง ได้บอกให้รู้ถึงวิกฤตกาลที่เกิดขึ้นยิ่งเสียกว่าคำบอกเล่าด้วยวาจา บ่อแร่ที่ถูกทิ้งให้รกร้าง ถูกธรรมชาติครอบครองในชั่วระยะเวลาอันสั้น ทั้งต้นไม้และสุมทุมพุ่มไม้ บุกรุกเข้ายึดพื้นที่อันว่างเปล่าไร้ผู้คนอย่างรวดเร็ว พันธุ์ไม้ไร้ค่าปกคลุมไปทั่ว แต่งแต้มด้วยดอกสีเหลืองเล็กๆ ของมัน