บทที่ 2 ชีวิตที่กำหนดเอง 3
หลีหยุนมองไปยังนกยักษ์ที่บุตรสาวเพิ่มลากมา ก่อนจะควานหาร่องรอยการถูกล่า หรือรอยของอาวุธดักสัตว์ของนางพราน ทว่ากลับไม่พบ และเมื่อตรวจดูตรงจุดใต้ซี่โครงก็พบว่านกยักษ์ตัวนี้ยังไม่ตาย แต่นกอินทรีนี้ไม่ใช่สัตว์ที่จะถูกล่าได้โดยง่าย ทั้งยังเป็นอินทรีนิลสีดำสนิท ขนปีกหรือก็เงางามวาววับยิ่งนักยามต้องแสงแดด ไม่แน่ว่าอินทรีตัวนี้อาจจะเป็นสัตว์เลี้ยงของคนใหญ่คนโตมีอำนาจหรือคหบดีร่ำรวยก็เป็นได้
“ท่านพ่อ...เราเอามันกลับไปด้วยได้หรือไม่” หลีเริ่นหรานเอ่ยถามบิดา เพราะแน่นอนว่าท่านต้องเป็นคนแบกมันกลับไป
“เอากลับไปรึ?” แม้จะสงสัยในที่มาที่ไปของสัตว์ตัวนี้ ทว่าฐานะของเขาและครอบครัวตอนนี้ก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก อีกอย่างนกตัวนี้ก็มาหมดสติอยู่กลางป่า ต่อให้เขาปล่อยมันไว้ นายพรานคนอื่นหรือชาวบ้านคนอื่นที่มาพบก็ต้องนำมันกลับไปด้วยอยู่ดี
“เจ้าคะ เราเอามันกลับไป ถ้ามันยังไม่ตาย เราก็ให้พี่รองช่วยชีวิตมันเถิดเจ้าค่ะ” แต่ถ้าช่วยแล้วมันไม่รอด มันก็ต้องเป็นอาหารของเรา หลีเริ่นหรานตั้งใจสร้างทั้งบุญ ทำทั้งบาปในเวลาเดียวกัน
“อืม...ถ้าอย่างนั้นพ่อจะแบกมันกลับไปเอง แล้วนั่นเจ้าเก็บต้นอะไรมา?” หลีหยุนเอ่ยถามบุตรสาว เมื่อเห็นว่ามืออีกข้างของเจ้าตัวน้อยยังกำพืชชนิดหนึ่งอยู่
“ลูกไม่รู้ว่ามันเป็นพืชชนิดใด เมื่อเช้าลูกก็เจอมันตอนก่อนที่เราจะพักเอาแรงกัน ลูกถามพี่ใหญ่พี่ใหญ่ก็ไม่รู้ว่ามันคือพืชชนิดใด ลูกเลยคิดว่าจะเก็บเอาไปถามพี่รองเจ้าค่ะ”
หลีหยุนพยักหน้ารับ เป็นความจริงที่ว่าบุตรชายคนรองของเขานั้นมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่ไม่น้อย เพราะหลีหยางนั้นสนใจเรื่องสมุนไพรและการแพทย์มาตั้งแต่เด็ก สองปีก่อนเขาจึงให้บุตรชายคนรองไปศึกษาเรื่องสมุนไพรกับหมอหลวงอยู่บ่อยๆ ไม่แน่ว่าหากไม่เกิดเรื่องเลวร้ายนั่น หลีหยางของเขาอาจจะเลือกศึกษาวิชาแพทย์แล้วเป็นหมอในอนาคตก็เป็นได้
และมันคงจะดีไม่น้อยถ้าหลีหยางได้ลองรักษาสัตว์สักตัว ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีหนทางให้เขาได้เป็นหมอจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่มีกำลังทรัพย์สนับสนุนบุตรชายก็ตาม
ตกลงกันได้เช่นนั้นหลีหยุนจึงร้องเรียกบุตรชายคนโตและคนเล็กให้มารวมตัวกัน ก่อนจะพากันลงจากเขาในที่สุด เพื่อไม่ให้ถึงบ้านมืดค่ำจนเกินไป
“อะไรนะ! พวกเจ้าหาจอมมารไม่พบอย่างนั่นรึ!?”
มือขวาคนสนิทของจอมมารเอ่ยขึ้นอย่างร้อนอกร้อนใจ เมื่อรู้ข่าวจากปากองครักษ์นายหนึ่งว่าจอมมารได้หายสาบสูญไปในขณะที่กำลังบำเพ็ญจิต เพื่อทะลุสู่ขั้นสุดท้ายของการบำเพ็ญ
การบำเพ็ญจิตขั้นสุดท้ายนั้นนับว่าอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อเริ่มบำเพ็ญทุกอย่างรอบกายก็คล้ายกับจะหยุดนิ่งไป มีเพียงผู้บำเพ็ญเท่านั้นที่จะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเคลื่อนไหวอยู่ กระทั่งการบำเพ็ญดำเนินไปได้ถึงช่วงกลาง ร่างกายของผู้บำเพ็ญก็จะค่อยๆ กลายร่างเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
ด้วยความเชื่อที่ว่าร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเพียงกายหยาบ อีกทั้งยังเกิดจากการรังสรรค์จากเบื้องบน หาใช่สิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติไม่ ฉะนั้นการจะสำเร็จการบำเพ็ญขั้นสุดได้นั้น ผู้บำเพ็ญจะต้องละหรือสละซึ่งกายหยาบเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าสู้เนื้อแท้กายจริงของตนได้
ทว่าเนื้อแท้กายจริงของตนจะเป็นอะไรนั้น ก็ล้วนแล้วแต่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จิตเราผูกพันห่วงหามากที่สุด บ้างก็ว่าขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรานึกถึงหรือตั้งใจอยากจะเป็น
ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อสงสัยนี้ยังเป็นเพียงคำกล่าวเลื่อนลอย เพราะทั่วทั้งแผ่นดินผืนฟ้านี้ ยังไม่มีใครเคยบำเพ็ญจิตถึงขั้นสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นจอมมารองค์ก่อนหรือแม้แต่ประมุขสวรรค์คนปัจจุบันก็ตาม
“พวกเจ้าหาทั่วแล้วหรือยัง?” มือขวาของจอมมารยังซักถามเหล่าองครักษ์ต่อ ไม่แน่ว่าจอมมารนั้นอาจสำเร็จการบำเพ็ญจิตขั้นสุดแล้ว และกลับกลายร่างเป็นกายจริงแล้ว โดยที่เหล่าองครักษ์เองก็จำไม่ได้
“ข้าจะไปตามหาจอมมารเอง เจ้าดูแลทุกอย่างอยู่ที่นี่เถิด”