บท
ตั้งค่า

๓.๒ เสน่หาพญาเหยี่ยว

“ดีแล้วที่ไม่เคยบวช ไม่งั้นเสียของแย่เลย”

“ฉันเป็นคนนะ ไม่ใช่สิ่งของ”

“รู้ล่ะว่าเป็นคน แถมยังตัวนุ่มอีกต่างหาก อยากเอาไปกอดนอนตอนกลางคืนคงจะหลับสบายน่าดู” ไม่พูดเปล่าแต่เฮกเตอร์ยังยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนวลเบาๆ เป็นเชิงหยอกเย้า ความนุ่มนิ่มของผิวกายอ่อนละมุนราวกับกุหลาบแรกแย้มและกลิ่นกายสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องที่อยู่ภายใต้ร่างหนาเร่งเร้าให้เลือดในกายของชายหนุ่มคล้ายจะไหลเวียนเร็วขึ้น ความปรารถนาเริ่มพลุ่งพล่านและแสดงตัวตนออกมาอย่างชัดเจน

“เคยมีคนบอกไหมว่าคุณเป็นผู้ชายที่หื่นและหลงตัวเองเป็นที่สุด” เสียงหวานต่อว่าพร้อมๆ กับที่พวงแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีแดงแปร๊ดราวกับลูกเชอร์รีเมื่อรู้สึกถึงบางส่วนบนกลางกายของเขาที่บดเบียดลงมาก่อให้เกิดความประหม่าและหวิวไหวอย่างบอกไม่ถูก

“มีบ่อยไป แต่ไม่เคยมีใครบ่นสักคน มีแต่บอกว่าชอบและขอให้ผมปรนเปรออีก แบบนี้เขาเรียกว่าหลงตัวเองหรือสาวๆ หลงหือทูนหัว แต่ผมอยากให้คุณพิสูจน์ด้วยตัวเองนะเผื่อจะตอบได้ตรงความจริงมากขึ้น”

ไม่พูดเปล่าแต่ใบหน้าหล่อเหลายังฉกวูบลงมาหาจนริมฝีปากหยักเกือบจะแนบชิดกับเรียวปากกระจับ มณีบุษรารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รวยรดลงมาแรงขึ้น วงหน้าสวยหวานเบี่ยงริมฝีปากหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่นั่นก็ทำให้ปากอุ่นและปลายจมูกโด่งคมพลาดไปโดนพวงแก้มของเธอเข้าเต็มๆ ร่างอรชรแข็งทื่อไปชั่วขณะ ดวงตาดำขลับเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงโครมคราม ทำอะไรไม่ถูกนอกจากกะพริบแพขนตางอนยาวขึ้นลงถี่ๆ ก่อนจะได้สติเมื่อริมฝีปากอันชำนาญเริ่มไต่ไปตามลำคอขาวระหง

“หยุดนะคะคุณเฮกเตอร์!”

“นึกว่าจะไม่ห้ามซะแล้ว เห็นนิ่งไปตั้งนาน” เสียงห้าวทุ้มกระเซ้าอยู่ข้างๆ ใบหูสะอาด

“ฉันไม่เต็มใจ” เสียงหวานแหวสั่นเครือ

“หือ...” คิ้วเข้มเลิกขึ้น “...อย่าบอกนะว่ากำลังจะร้องไห้”

“ถ้าคุณรังแกฉันอีก ฉันจะฆ่าคุณ”

“ผมกลัวจะแย่แล้วทูนหัว แต่ผมว่าคนที่กลัวมากกว่าผมก็คือคุณนะ ไหนบอกว่าโตแล้วไง ทำไมถูกจูบแค่นี้ทำท่าจะร้องไห้เสียล่ะ” น้ำเสียงเขาเหมือนกับจะล้อๆ แต่แฝงไว้ด้วยความเอ็นดูและยั่วเย้า

“โตแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ผู้ชายคนไหนลวนลามเอาตามใจชอบนะ”

“แสดงว่าคุณไม่ได้หวงตัวแต่เฉพาะกับผมใช่ไหม” เฮกเตอร์ถามคล้ายแปลกใจเพราะผู้หญิงที่เขารู้จักล้วนแต่ทอดกายให้เขาเชยชมแบบง่ายๆ เพียงแค่ขยิบตาทั้งนั้น

“ไม่ว่ากับผู้ชายคนไหนฉันก็หวงทั้งนั้น ฉันเป็นคนไทย พ่อแม่ไม่เคยสอนให้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว” เสียงหวานใสตวาดใส่แต่สั่นเครือยิ่งกว่าเดิมด้วยความเจ็บใจที่ตัวเองสู้เขาไม่ได้

ให้ตายสิ... เมื่อกลางวันยังทำเก่งอยู่เลย แต่ตอนนี้น้ำเสียงสั่นเครือที่คล้ายกำลังจะร้องไห้ของเธอทำให้เฮกเตอร์รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเล็กๆ ไม่ประสีประสายังไงยังงั้นแหละ หรืออีกอย่างก็เหมือนผู้ชายบ้ากามที่ข่มเหงผู้หญิงไม่เลือกหน้า

“เอาละๆ แม่ชีน้อย ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรคุณ แต่คุณต้องไม่ร้องไห้นะ ผมไม่ชอบน้ำตาผู้หญิงสักเท่าไหร่”

“ไม่ร้องก็ได้” มณีบุษรารีบรับปาก “ลุกขึ้นสิ”

ชายหนุ่มยิ้มขันๆ นัยน์ตาพราวระรื่นก่อนจะยอมลุกขึ้นจากการทาบทับร่างอรชรของเธอ นี่เป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่พญาเหยี่ยวแดงยอมปล่อยเหยื่อที่กำลังจะเคี้ยวอย่างไม่เต็มใจ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องปล่อยแม่ตัวแสบนี่ให้รอดด้วยทั้งๆ ที่เมื่อตอนกลางวันเธอเล่นงานเขาไว้ไม่ใช่น้อย

มณีบุษราลุกพรวดพราดขึ้นทันทีที่ได้อิสระ เท้าเล็กๆ ก้าวอย่างเร่งรีบเพื่อจะออกไปให้พ้นห้องไวๆ จนลืมไปว่าใกล้ๆ กับโซฟาตัวนั้นมีโต๊ะกระจกวางอยู่ หัวเข่ามนชนกระแทกกับขอบโต๊ะเต็มแรงดังโครม

“โอ๊ย!” เสียงหวานอุทานระงมลั่น แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

“บัว! เป็นอะไรน่ะ” เฮกเตอร์เรียกอย่างตกใจระคนเป็นห่วง รีบสาวเท้ายาวๆ ไปเปิดไฟ แล้วกลับมาโอบประคองร่างแสนดื้อเอาไว้ ดูจากสภาพการณ์ก็รู้โดยที่เธอไม่ต้องตอบว่าแม่ชีน้อยวิ่งชนขอบโต๊ะ มือบางกุมอยู่ที่หัวเข่าตัวเอง ใบหน้าสวยหวานที่นิ่วเข้าหากันบ่งบอกว่ากำลังเจ็บปวดตรงส่วนนั้นมากแค่ไหน

“เจ็บมากหรือเปล่า ไหนดูซิ” ชายหนุ่มพับขากางเกงนอนผ้าฝ้ายของเธอขึ้นจนเหนือเข่า เห็นรอยเขียวช้ำที่ปรากฏขึ้นบนผิวบางใสบริเวณหัวเข่ามนอย่างชัดเจน

“เพราะคุณคนเดียวเลย ที่ทำให้ฉันเจ็บแบบนี้” มณีบุษราทำท่าฮึดฮัดใส่เขาทั้งๆ ที่ตัวเองก็เจ็บแสนเจ็บ

“ขอโทษ เดี๋ยวจะทำอะไรไถ่โทษให้ก็แล้วกัน”

“คุณจะทำอะไร?” เสียงหวานถามอย่างหวาดระแวง ในขณะหลิ่วตามองใบหน้าหล่อเหลาเป็นเชิงไม่ไว้ใจ

“จะทายาให้น่ะสิ ขืนปล่อยไว้อย่างนี้มีหวังเข่าคุณบวมจนเดินไม่ได้แน่ๆ”

หญิงสาวแอบระบายลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเหมือนกับที่ตนเองกำลังระแวง หากทว่าขณะที่มณีบุษรากำลังโล่งอกอยู่นั้นร่างนุ่มนิ่มของเธอก็โดนสองแขนแข็งแรงตวัดช้อนอุ้มขึ้นอีกครั้ง

“คุณ! ไหนบอกจะทายาให้แล้วมาอุ้มฉันทำไม”

“ที่อุ้มนี่ก็เพราะไม่อยากให้เดินขึ้นบันไดไปเอง ข้างล่างไม่มียาหรอก ยาอยู่ในห้องของผม เราต้องขึ้นไปทาที่นั่นเพราะผมขี้เกียจเดินขึ้นเดินลง”

“อะไรนะคะ!?” มณีบุษราอุทานเสียงสูง “ยาอยู่ในห้องคุณ”

“ทำไมบัว กลัวผมจะปล้ำหรือไง ถ้าผมจะปล้ำจริงๆ ตอนนี้คุณคงไม่ได้ร้องโอดครวญเพราะความเจ็บหรอก แต่จะร้องเพราะรู้สึกอย่างอื่น”

ใบหน้าหล่อเหลาเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มล้อเลียน จนมณีบุษราเผลอย่นจมูกใส่อย่างลืมตัวเพราะความหมั่นไส้กับความห่ามเกินใครของเขา ใบหน้าเรียวเล็กเชิดขึ้น ตีหน้าขรึมใส่ชายหนุ่มโดยที่แววตาคมวาวยังจ้องมองมาอยู่ตลอดเวลา

“ทำหน้าแบบนี้ค่อยสมกับเป็นแม่ชีน้อยคนเก่งหน่อย” ประกายตาสีน้ำเงินยังพราวไปด้วยการยั่วเย้าเช่นเดิม จากนั้นก็พาร่างอรชรเดินอาดๆ ออกจากห้องนั่งเล่นอย่างคล่องแคล่วราวกับมณีบุษราเป็นตุ๊กตายัดนุ่นก็ไม่ปาน หรือไม่เขาก็อุ้มสาวๆ บ่อยจนไม่รู้สึกรู้สาถึงน้ำหนักตัวของเธอ

“ฉันเดินเองก็ได้ค่ะ”

“อย่าอวดเก่งนักเลย คุณเดินไม่ได้หรอก แค่ลุกขึ้นยืนยังจะไม่ไหวอยู่แล้ว”

มณีบุษรามองหน้าหล่อเหลานั้นตรงๆ เขาเป็นหมอหรือไงนะถึงได้รู้อาการของเธอว่าหนักเบาขนาดไหน

“กอดผมสิบัว” ชายหนุ่มโพล่งขึ้นอีกประโยคในขณะที่หญิงสาวกำลังวุ่นวายอยู่กับความคิดของตัวเอง

“หา” เสียงหวานอุทานดังอีกครั้ง

“ผมบอกให้กอดคอผมไว้ ดูบันไดสิว่าชันขนาดไหน ถ้าตกลงมาคราวนี้คงไม่ใช่แค่เข่าเท่านั้นหรอกนะที่แตก คงได้แข้งขาหักกันบ้างล่ะ”

“คุณก็เดินดีๆ สิ”

“เดินน่ะเดินได้ แต่มันไม่ถนัด ปกติเวลาเดินในท่าแบบนี้ผู้หญิงจะต้องกอดคอผมไว้” คำพูดของเขากำกวมชวนให้คิดไปหลายแง่ ใบหน้าเนียนใสแดงซ่านขึ้นอีกเมื่อมโนภาพร่างเปลือยเปล่าของเขายามอุ้มสาวๆ ในวงแขนผุดพรายขึ้นในสมอง

...อี๋! คนลามก...

“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยฉันลงสิคะ ฉันจะเดินเอง”

“ถ้าขืนยังอวดเก่งอีกแม้แต่ครั้งเดียว ผมจะปล้ำคุณตรงบันไดนี่แหละ ดีเหมือนกันเมกเลิฟนอกสถานที่แบบนี้ก็ตื่นเต้นไปอีกแบบ”

“โหด ดิบ เถื่อน หื่น เอาแต่ใจและร้ายกาจยิ่งกว่าโจรห้าร้อย” เสียงหวานบ่นพึมพำ ใบหน้างอง้ำเพราะไม่อยากจะทำในสิ่งที่เขาบังคับเลย แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงในภาวะที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เช่นนี้ มือเรียวบางค่อยๆ ยกขึ้นโอบรอบคอเขาไว้อย่างไม่เต็มใจสักนิด

เฮกเตอร์หลุบตามองใบหน้าเรียวเล็กที่จ๋อยลงไปถนัดตา เขาซ่อนยิ้มในหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเมื่อมณีบุษราเงยหน้าขึ้นมามองเขาอีกครั้ง

ร่างใหญ่เอียงข้างหมุนลูกบิดโดยใช้มือเพียงข้างเดียวแล้วใช้ไหล่ดันประตูห้องให้เปิดออก ทันทีที่เฮกเตอร์พาเธอเข้าไปในห้องของเขา มณีบุษราก็รู้สึกว่าตัวเองถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นไอความเป็นบุรุษซึ่งสมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้ว หัวใจดวงน้อยเต้นแรงตึกตักถี่ระรัวดุจจะโลดออกมานอกอกเสียให้ได้

“เดี๋ยวนั่งรอตรงนี้นะ ผมไปหยิบยาก่อน” เสียงทุ้มพูดขึ้น หญิงสาวมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็ต้องรู้สึกว่าตัวเองต้องตาฝาดแน่ๆ ที่เห็นความหวานอบอุ่นเจืออยู่ในดวงตาคมกริบคู่นั้น หากแต่ยังไม่ทันที่มณีบุษราจะได้คำตอบ ร่างสูงก็เดินดุ่มกลับมาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้นพรมตรงหน้าเธอ ก่อนจะจัดการบีบยาลงบนฝ่ามือใหญ่ แล้วนวดหัวเข่ากลมมนอย่างช้าๆ นุ่มนวล จนแพขนตางอนยาวได้แต่กะพริบปริบๆ และวูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย สัมผัสของเขาทำให้อาการเขม็งบิดเกลียวในท้องน้อยคืบคลานเข้ามาเล่นงานเธอทันที

“ดีขึ้นหรือยัง” เฮกเตอร์เอ่ยถามหลังจากทายาให้เรียบร้อยแล้ว

“เอ่อ...ดีขึ้นแล้วค่ะ” เสียงหวานตอบตะกุกตะกักคล้ายคนติดอ่าง ทำให้นัยน์ตาสีน้ำเงินของเขาจดจ้องมองคนร่างเล็กราวกับกำลังจับพิรุธ

“อย่าบอกนะว่าคุณกำลังมีอารมณ์” ชายหนุ่มหัวเราะคิกคัก ทำหน้าทะเล้น

“นี่คุณ!”

“เรียกเสียงดังแบบนี้แสดงว่าผมพูดถูกใช่ไหม”

“บ้า! ลามก! ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างที่คุณกล่าวหาเลยสักนิด” เสียงหวานแหวลั่น ดวงตาใสแจ๋วลุกวาวจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เฮกเตอร์กล่าวหาเธอด้วยเรื่องที่น่าอาย นี่เขานึกว่าตัวเองมีเสน่ห์มากเลยหรือไง บ้าที่สุด!

“ไม่ได้รู้สึกอะไรก็ดี ไม่อย่างนั้นคืนนี้คุณอาจจะค้างจนนอนไม่หลับเลยก็ได้ เดี๋ยวจะมาหาว่าเป็นความผิดของผมอีก” ชายหนุ่มยังยั่วเย้าต่ออย่างขบขัน

มณีบุษราเม้มปากเข้าหากันแน่น รีบขยับตัวไปยังหัวเตียง ก่อนที่มือน้อยๆ จะคว้าไปถูกหมอนแล้วเขวี้ยงใส่ใบหน้าหล่อเหลาเต็มแรงทันที

...ฟิ้ววว!...

หมอนใบนั้นปลิวละลิ่วไปตกที่พื้นพรมใกล้ๆ โต๊ะเครื่องแป้งเพราะเฮกเตอร์เอี้ยวตัวหลบได้ทัน

“ต้องเร็วกว่านี้อีกนะทูนหัว” ชายหนุ่มทำท่าทำทางเหมือนผู้ใหญ่กำลังหยอกล้อเด็กน้อยยังไงยังงั้น

เมื่อใบแรกพลาดมณีบุษราก็หยิบใบที่สองขว้างใส่เขาอีกครั้ง

“เอ้า อาละวาดใหญ่เลย” เฮกเตอร์ถามเสียงกลั้วหัวเราะ พลางหลบหมอนอีกใบที่ลอยมาพอดี มันพลาดเป้าอีกคราวนี้ปลิวไปตกยังโต๊ะเครื่องแป้งจนเครื่องสำอางที่วางอยู่บนนั้นหล่นลงพื้นกระจัดกระจายไปทั่ว

มณีบุษรามองอย่างเจ็บใจที่หมอนทั้งสองใบไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ใบหน้าสวยหวานมองซ้ายมองขวาเพื่อหาอาวุธมาเล่นงานเขาอีกรอบ กระทั่งเหลือบไปเห็นโคมซึ่งทำจากคริสตัลผสมทองคำที่วางอยู่โต๊ะข้างๆ หัวเตียง มือบางคว้ามันเอาไว้เตรียมจะขว้างมันออกจากมือ

“ไม่เอานะทูนหัว อันนั้นแพงมาก” เฮกเตอร์รีบเอ่ยห้าม

“ฉันไม่สน!”

“เอาละๆ ผมยอมแพ้” มือใหญ่ทั้งสองข้างยกขึ้นเสมอไหล่ น้ำเสียงงอนง้อเป็นเชิงขอสงบศึก “ผมก็แค่ล้อเล่นน่าคนสวย อย่าขี้โมโหนักสิ”

“ฉันไม่ชอบให้คุณล้อเล่นแบบนี้”

“ผมสัญญาก็ได้ว่าจะไม่ล้อคุณแบบนี้อีก โอเคไหม”

มณีบุษราหรี่ตาลงแคบๆ ทำหน้าหมิ่นๆ “แล้วฉันจะเชื่อคุณได้ยังไง”

“สัญญาด้วยเกียรติของเฮกเตอร์ อิวานโนวิช” น้ำเสียงเขายืนยันหนักแน่น หญิงสาวนั่งนิ่งเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักว่าควรจะให้อภัยเขาดีไหม

ชายหนุ่มค่อยๆ เดินเข้ามาหาในขณะที่มณีบุษรากำลังอยู่ในอาการลังเลจนกระทั่งร่างสูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้วดึงโคมไฟออกจากมือเล็กอย่างละมุนละม่อม

“ตกลงดีกันแล้วนะ” เฮกเตอร์ออดอ้อนด้วยประกายตาวิบวับ

“ฉันจะยอมให้อภัยคุณแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ”

“ขอบคุณครับ” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด “คราวนี้ผมขอรางวัลของผมบ้างนะ”

“รางวัลอะไรคะ”

“ก็รางวัลที่ผมพามาทายาไง ผมทำตัวน่ารักขนาดนี้ก็ต้องขอรางวัลบ้างสิ เวลาทำผิดผมยังยอมให้ลงโทษเลย”

เฮกเตอร์รวบมือเล็กเอาไว้ในอุ้งมือของตัวเองแล้วรีบยกขึ้นจูบดังจ๊วบโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต ร่างอรชรกระตุกวาบเล็กน้อย สัมผัสของเขาครั้งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น อ่อนหวาน ชวนให้หวามไหวรัญจวนเสียเหลือเกิน โอ๊ย...ตายแน่ๆ เลย มณีบุษราเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านในใจ เธอจะรับมือผู้ชายมากเสน่ห์คนนี้ยังไงดี เมื่อกี้เขาทำให้เธออับอายและโมโหแทบตาย แต่ตอนนี้เขากลับมาทำออดอ้อนหยอดคำหวานใส่ราวกับเทน้ำตาลลงในหม้อไฟเพื่อทำน้ำเชื่อม

พญาเหยี่ยวแดงยิ้มยั่วเย้าใส่ตาเสมือนกำลังร่ายมนตร์สะกดให้เหยื่ออยู่ในอาการนิ่งงัน ก่อนจะเดินไปที่ตู้ยาอีกครั้ง หยิบยาเม็ดแก้ปวดออกมาพร้อมกับเลยไปเทน้ำเปล่าบนหลังตู้เย็นใส่แก้ว

“เอานี่ยาแก้ปวด กินซะ คืนนี้จะได้ไม่ปวดเข่า” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนโยน ขณะส่งยาเม็ดสีขาวให้เธอเม็ดหนึ่ง มณีบุษรากินยาเม็ดนั้นแล้วดื่มน้ำที่เขายื่นให้ตามลงไป

“ขอบคุณค่ะ” เรียวปากรูปกระจับขมุบขมิบพึมพำเบาหวิว ใบหน้าสวยหวานก้มงุด ไม่กล้าสบตาที่กำลังทอประกายกล้าของเขา

เฮกเตอร์ยิ้มกว้างอย่างพอใจ เห็นใบหน้าเล็กใสที่สวยจับตาคนมองแล้วก็นึกอยากจะเอื้อมมือไปไล้แก้มป่องๆ เล่นเสียจริง แต่รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นท่าทางที่กำลังหวานๆ เหมือนกระต่ายน้อยแสนเชื่องตอนนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นแมวเหมียวตัวใหญ่ที่ขู่ฟ่อๆ และพองขนใส่เขาทันที

“เวลาคุณทำท่าอายๆ แบบนี้น่ารักกว่าตอนที่ทำหน้านิ่งๆ หรืออาละวาดใส่ผมเป็นไหนๆ นะแม่ชีน้อย” ริมฝีปากหยักแย้มยิ้มอวดฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบอย่างยั่วเย้า

มณีบุษราอ้าปากค้าง ไม่รู้จะโกรธหรือจะอายดี เพราะไม่แน่ใจว่าเจตนาของเขาคืออะไร จะชมหรือจะยั่วโมโหเธอกันแน่

“ฉันจะกลับห้องฉันแล้วค่ะ”

“เดี๋ยวจะไปส่ง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”

พูดจบร่างอรชรก็ประคองตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วเดินกะโผลกกะเผลกออกไปอย่างช้าๆ เฮกเตอร์เดินตามมาจนถึงหน้าห้อง

มือเล็กจับลูกบิดกำลังจะปิดประตู แต่เฮกเตอร์เรียกไว้ก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิ”

“มีอะไรอีกคะ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย ความประหม่าลดลงไปกว่าครึ่งเมื่อได้ออกมายืนนอกห้องของเขาแล้ว อย่างน้อยบรรยากาศก็ไม่ได้อบอวลด้วยกลิ่นอายความเป็นบุรุษทุกวินาทีเหมือนเมื่อครู่นี้

“จะไม่บอกฝันดีผมหน่อยเหรอ” เฮกเตอร์อ้อนทั้งปากทั้งตา

“เอ่อ...” มณีบุษราอึกอัก “ถ้าอย่างนั้นก็ฝันดีค่ะ”

“เช่นกันครับแม่ชีน้อยของผม” คำพูดของเขาตีตราแสดงความเป็นเจ้าของแต่ช่างอ่อนหวานเหลือประมาณ

มณีบุษรารีบหันหลังให้แล้วเดินกลับห้องตัวเองเพราะไม่อยากตกลงไปในบ่วงเสน่หาที่เขาร่ายมนตร์ เฮกเตอร์มองตามร่างอรชรไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน จนกระทั่งหญิงสาวเดินหายวับเข้าไปในห้องนอนของเธอ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel