๓.๑ เสน่หาพญาเหยี่ยว
๓
เสน่หาพญาเหยี่ยว
ร่างอรชรยืนพิงประตูห้องนอนที่เพิ่งปิดลงพร้อมกับยกมือขึ้นทาบอกและระบายลมหายใจออกมาอย่างหอบๆ ผู้ชายบ้าอะไร หล่อเหลาเร้าใจราวเทพบุตรแต่หื่นเป็นที่สุด ใบหน้าเรียวเล็กกลายเป็นสีระเรื่อเมื่อนึกถึงความร้อนผ่าวที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกำยำและ ‘สิ่งนั้น’ ขนาดใหญ่โตของเขาที่เบียดเสียดร่างกายนุ่มนิ่มของเธอเมื่อครู่นี้ ผู้ชายประเภทเฮกเตอร์คงเคยชินกับการได้ทุกอย่างตามใจโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาไม่เคยโดนผู้หญิงคนไหนปฏิเสธแน่ๆ หรือไม่บางครั้งเขาอาจจะเป็นฝ่ายปฏิเสธเสียเองด้วยซ้ำ ถึงได้มั่นอกมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองนักหนา
มณีบุษราเติบโตในสหรัฐอเมริกาโดยย้ายไปอยู่ที่นั่นกับป้าลดาและลุงแพทริกซึ่งมาขอเธอไปเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่บิดาของเธอเสียชีวิต ถึงเธอจะไม่ได้เป็นสาวสังคมแต่ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์อันเลื่องชื่อของสี่พญาเหยี่ยวแห่งฮาร์วาร์ดมาบ้างพอสมควร เพราะเธอเองก็เรียนจบจากที่นั่นเหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาจะเรียนจบไปก่อนหน้าเธอหลายปีก็ตาม แต่สาวๆ ทั่วทั้งฮาร์วาร์ดก็ยังใฝ่ฝันที่จะได้เป็นคู่ควงหรือแม้แต่คู่นอนของบรรดาสี่หนุ่มพญาเหยี่ยวสักครั้ง
“อี๋ น่าเกลียดที่สุด ฉันไม่หลงเสน่ห์คุณง่ายๆ หรอก” เสียงใสพึมพำกับตัวเองแล้วรีบสลัดความคิดเกี่ยวกับเฮกเตอร์ทิ้งซะ ก่อนจะเดินไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือและกดโทร.ออกหาผู้เป็นป้า เสียงรอสายดังอยู่ไม่นานปลายสายก็กดรับ
“บัว...” คุณลดาอุทานออกมาด้วยความดีใจที่หลานสาวโทร.มาหา
“คิดถึงป้าลดากับลุงแพทจังค่ะ” เจ้าของเสียงหวานพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
“ป้ากับลุงแพทก็คิดถึง โดยเฉพาะลุงแพทนะบ่นเช้าบ่นเย็น บอกว่าอยากให้บัวกลับอเมริกาไวๆ”
“บัวต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อนค่ะป้าลดา”
“แล้วที่เซอร์เบียเป็นยังไงบ้าง”
“ก็น่าอยู่ค่ะ อากาศดี บ้านคุณลุงเซอร์เกสวยมากค่ะ” มณีบุษราบอกไปตามความจริงโดยละเว้นที่จะเล่าเรื่องของเฮกเตอร์ให้ผู้เป็นป้าฟัง
“ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยนะบัว ป้าเป็นห่วง”
“บัวสัญญาค่ะว่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เสร็จธุระทางนี้แล้วบัวจะกลับไปหาป้าลดากับลุงแพทนะคะ”
“จ้ะ”
สองป้าหลานคุยกันต่ออีกพักใหญ่จึงวางสาย มณีบุษราเอาโทรศัพท์มือถือไปวางไว้ที่เตียงนอนกำลังจะไปอาบน้ำ แต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน เบอร์บนหน้าจอเป็นเบอร์ของผู้เป็นมารดา หญิงสาวจึงรีบกดรับทันที
“ค่ะแม่”
“บัวคืนนี้แม่กับลุงเซอร์เกว่าจะค้างที่ซูโบติกานะลูก บัวอยู่บ้านคนเดียวได้ไหม” อาภาศิริถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“อยู่ได้สิคะแม่ แต่ว่าตอนนี้บัวไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกค่ะ” เสียงใสบอกมารดาและอ่อยลงนิดๆ ในตอนท้าย
“ยังไงลูก”
“คุณเฮกเตอร์ลูกชายของคุณลุงกลับมาเซอร์เบียแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยมีคุณเฮกเตอร์อยู่เป็นเพื่อนบัวจะได้ไม่เหงา” เสียงของผู้เป็นมารดาดีขึ้นคล้ายคนมองโลกในแง่ดี มณีบุษราใคร่รู้นักเชียวว่าถ้าแม่ของเธอเห็นท่าทางที่ไม่เป็นมิตรและพฤติกรรมอันแสนอุกอาจของเฮกเตอร์จะยังคิดแบบนี้อยู่อีกไหม
“แล้วแม่จะกลับมาวันไหนคะ”
“คงจะเป็นพรุ่งนี้ช่วงสายๆ น่ะลูก”
“ถ้าอย่างนั้นก็เที่ยวให้สนุกนะคะ” มณีบุษราพยายามทำเสียงให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้มารดาเป็นห่วง แล้วระบายลมหายใจออกมาหลังจากกดวางสาย คืนนี้กับพรุ่งนี้เธอต้องอยู่ในคฤหาสน์บรีซไวท์ร่วมกับเฮกเตอร์กันตามลำพังอย่างนั้นหรือ ถึงจะมีแม่บ้านและคนรับใช้อยู่ด้วยจำนวนมากแต่คนเหล่านั้นก็ไม่มายุ่มย่ามหากเจ้านายไม่ได้เรียกใช้
มณีบุษราตัดสินใจไม่ลงไปรับประทานอาหารเย็นเนื่องจากยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเฮกเตอร์ แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นอันนาขึ้นมาตาม
“ขอโทษด้วยนะจ๊ะอันนา พอดีว่าฉันปวดหัวมากอยากนอนพัก”
“ปวดมากไหมคะ ถ้าปวดมากดิฉันจะไปเอายามาให้นะคะ” อันนาถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่มากหรอกจ้ะอันนา ขอบใจมาก นอนพักเดี๋ยวเดียวก็คงหาย”
“ว้าเสียดายจัง คุณเฮกเตอร์กลับมาทั้งที ดิฉันคิดว่าวันนี้คุณกับคุณเฮกเตอร์จะได้ร่วมโต๊ะอาหารมื้อแรกกันซะอีกค่ะ” สาวใช้บ่นไปตามประสาซื่อ
“ฉันไม่หิวด้วยจ้ะอันนา”
“คุณเฮกเตอร์ตัวจริงหล่อเหมือนอย่างที่ดิฉันบอกหรือเปล่าคะ”
“ก็หล่อใช้ได้จ้ะ” เจ้าของเสียงหวานใสตอบเอื่อยๆ ทำให้อันนาคิดว่ามณีบุษราคงจะปวดศีรษะมากก็เลยไม่กล้าชวนคุยอีก
“ถ้าอย่างนั้นคุณนอนพักเถอะนะคะ ดิฉันไม่กวนแล้วค่ะ”
หลังจากที่อันนาออกไปแล้ว มณีบุษราก็คลานขึ้นเตียงนอนทั้งๆ ที่เพิ่งจะหัวค่ำ ร่างอรชรนั่งพิงพนักหัวเตียงอย่างเบื่อๆ จึงหยิบเอาไอแพดมาเปิดอินเทอร์เน็ตเล่นไปพลางๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเฮกเตอร์ ป่านนี้เธอคงจะมีความสุขอยู่กับการรับประทานอาหารค่ำแล้ว ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ เรียกหาอาหารเพราะตอนกลางวันเธอรับประทานอาหารไปแค่นิดเดียว มือเล็กยกขึ้นลูบท้องตัวเองป้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วกลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียงใหม่ พยายามจะข่มตาให้หลับเพื่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกถึงความหิว...
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเลยเวลาเที่ยงคืน ร่างอรชรที่หลับอยู่บนเตียงกว้างก็สะดุ้งตื่นเมื่อถูกอาการแสบท้องรุมเร้าอย่างหนัก มณีบุษราควานมือไปเปิดไฟหัวเตียงแล้วหยีตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับให้ชินกับแสงสว่าง
“โอย กระเพาะจ๋าทำไมงอแงแบบนี้ รู้แล้วน่าว่าหิว แต่ทำไมต้องประท้วงแบบนี้ด้วย มันทรมานนะ”
เจ้าของเสียงหวานบ่นกับตัวเองแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง กดดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์ เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้วก็ชั่งใจว่าจะเอายังไงดีระหว่างนอนหิวอยู่แบบนี้จนถึงเช้าหรือลงไปหาอาหารใส่ท้องเพื่อให้หลับสบายขึ้น
ดูเหมือนว่าตัวเลือกข้อหลังจะมีน้ำหนักมากกว่าเพราะท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะลงไปหาอะไรกิน ดวงตาเรียวหวานจึงก้มลงมองสำรวจตัวเอง คืนนี้เธอใส่ชุดนอนผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อนแบบแขนยาวกางเกงก็เป็นแบบขายาวดูเรียบร้อยคงไม่จำเป็นต้องหาเสื้อคลุมมาใส่เพิ่ม อีกอย่างป่านนี้ใครต่อใครคงจะหลับหมดแล้วจะเหลือก็เพียงบอดี้การ์ดที่ยืนและเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยอยู่ด้านนอกคฤหาสน์เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดก็คงจะไม่เข้ามายุ่มย่ามอะไรหากไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ร่างอรชรพาตัวเองออกจากห้องนอนในยามวิกาล ก้าวลงไปตามบันไดที่มีโคมไฟสีส้มนวลตาส่องสลัวๆ พอให้มองเห็นทาง โดยชั้นล่างค่อนข้างมืด แต่ยังดีที่มีแสงสว่างจากโคมไฟด้านนอกคฤหาสน์สาดส่องเข้ามาบ้าง เท้าเล็กๆ ก้าวต่อไปแม้จะยังไม่คุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมในคฤหาสน์หลังนี้แต่ก็พอจะสุ่มเดาเอาได้ จุดหมายปลายทางคือห้องครัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องรับประทานอาหารนัก
พรายน้ำที่สะท้อนให้เห็นจากข้างผนังบ่งบอกว่าตรงนั้นคือสวิตช์ไฟ มือบางกดมันทันทีและไม่กี่วินาทีห้องทั้งห้องก็สว่างพรึบขึ้น ร่างบางตรงไปยังตู้เย็นและเปิดมันออก ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าในนั้นมีขนมปัง เนยถั่ว และนมสด ซึ่งล้วนแต่เป็นเมนูที่น่าเอร็ดอร่อยที่สุดในยามหิวโหยเช่นนี้
มณีบุษราไม่รีรอรีบหยิบทุกอย่างออกมาจากตู้เย็น พาตัวเองมานั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะกลางห้องครัว จัดการทาเนยถั่วลงบนแผ่นขนมปังและเทนมสดใส่แก้ว จากนั้นก็ลงมือรับประทานทันที
“อิ่มและอร่อยที่สุด” เสียงหวานใสพึมพำขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ขนมปังสองแผ่นถูกละเลียดลงกระเพาะตามด้วยนมสดแก้วใหญ่
ร่างอรชรลุกจากเก้าอี้และเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยเข้าที่เข้าทางเช่นเดิม พลางคิดไปด้วยว่ากลับขึ้นไปรอบนี้คงจะหลับสบายไปถึงเช้าแน่ๆ ดวงตาคู่สวยกวาดมองสำรวจความเรียบร้อยในห้องครัวอีกครั้งก่อนจะปิดไฟ
เท้าเล็กๆ เดินไปทางประตูห้องครัวท่ามกลางความมืด ทันทีที่ก้าวพ้นประตูออกมาร่างของเธอก็ชนโครมเข้ากับอะไรบางอย่างซึ่งขวางทางอยู่อย่างเต็มแรง มณีบุษราเซถลาเกือบจะล้มก้นจ้ำเบ้าหากแต่ได้มือของใครบางคนช่วยโอบประคองเอาไว้ได้เสียก่อน
“ว้าย!” หญิงสาวร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ
“จะร้องทำไมล่ะบัว”
เสียงห้าวทุ้มบวกกับกลิ่นกายแบบบุรุษที่ตัวเองรู้สึกคล้ายจะคุ้นเคยทำให้หัวใจของมณีบุษราเต้นแรงขึ้นหากไม่ใช่เพราะความตกใจเหมือนเมื่อครู่นี้แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นต่างหาก
“คะ...คุณเฮกเตอร์”
“มาทำอะไรในครัวดึกๆ ดื่นๆ หิวล่ะสิ”
“ก็หิวสิคะ”
“แล้วทำไมตอนเย็นไม่ลงมาทานอาหาร หรือว่ากลัวความผิดก็เลยไม่กล้าลงมาเผชิญหน้ากับผม”
“กลัวอะไรคะ ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เสียงหวานเริ่มแข็งขึ้นเมื่อรู้ว่าคนที่ตัวเองคุยอยู่นั้นไม่ใช่โจรผู้ร้ายที่ไหนแต่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ซึ่งนิสัยน่าจะแย่กว่าโจรบางคนด้วยซ้ำ
“นี่อย่าบอกนะว่าคุณเป็นโรคสมองเสื่อมจนจำไม่ได้ว่าเมื่อตอนกลางวันทำอะไรกับผมไว้บ้าง”
“ดิฉันไม่ได้ลืม แต่ไม่คิดว่านั่นคือความผิดค่ะเพราะว่าคุณลวนลามดิฉันก่อน ดิฉันจำเป็นต้องป้องกันตัว”
“นอกจากจะเล่นงานทีเผลอได้เก่งแล้ว ยังปากเก่งอีกต่างหาก ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าอย่างอื่นจะเก่งด้วยหรือเปล่า” ร่างแกร่งตวัดร่างบางเข้าไปแนบชิดยิ่งกว่าเดิมทำให้มณีบุษรานึกได้ว่าตอนนี้แขนของเขายังโอบอยู่ที่เอวเล็กของเธอ
“ปล่อยฉันนะคะคุณเฮกเตอร์ ไม่อย่างนั้นฉันจะเล่นงานคุณให้หนักกว่าเมื่อตอนกลางวันอีก” มณีบุษราขู่ฟ่อหวังจะให้เขากลัวและปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
“ครั้งเดียวก็มากเกินพอแล้วแม่ชีน้อย ผมสาบานว่าคุณจะไม่มีโอกาสทำแบบนั้นอีก” เฮกเตอร์หัวเราะน้อยๆ คล้ายกำลังขบขันมากกว่าจะกลัวคำขู่ของเธอ แถมยังรัดร่างแสนพยศแน่นเข้ากว่าเดิม ทำให้มณีบุษราเริ่มดิ้นรนเอาตัวรอดเท่าที่เรี่ยวแรงจะมี
ลำตัวนุ่มนิ่มที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดและกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ลอยฟุ้งมาเตะจมูกทำให้เฮกเตอร์ตวัดช้อนอุ้มเอาร่างของมณีบุษราขึ้นไว้ในอ้อมแขนแล้วพาเดินผ่านห้องโถงตรงไปยังห้องนั่งเล่น
“ปล่อยฉันนะคุณเฮกเตอร์” หญิงสาวแกว่งแขนขาไปมา
“พูดแต่ประโยคเดิมๆ ไม่เบื่อหรือไงทูนหัว”
“ฉันไม่ใช่ทูนหัวของคุณ อย่าเอาคำที่ใช้เรียกสาวๆ อื่นมาใช้พร่ำเพรื่อกับฉัน!” มณีบุษราทั้งโต้เถียงเขาทั้งดิ้นไปด้วย
พญาเหยี่ยวแดงไม่ตอบโต้อะไรนอกจากหัวเราะในลำคอเบาๆ พาเธอไปวางบนโซฟาตัวใหญ่โดยที่ไม่ได้เปิดไฟราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดีว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน ร่างใหญ่ตามทาบทับร่างอรชรลงมาทันทีอย่างไม่เปิดโอกาสให้เธอดิ้นหนี น้ำหนักของเขาทำให้มณีบุษราแทบจะจมหายลงไปกับโซฟานุ่มๆ นั้น
“คุณจะทำอะไร ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ”
“ถามได้ คุณว่าผู้ชายนอนทับบนตัวผู้หญิงเขาจะทำอะไรล่ะ หรือว่าคุณอยู่แต่ในโบสถ์เลยไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้”
“นี่คุณจะข่มขืนฉันเหรอ ฉันเป็นน้องสาวคุณนะ” สมันน้อยที่กำลังตกหลุมบ่วงของนายพรานเจ้าเสน่ห์ถามอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับยกมือขึ้นยันหัวไหล่เขาไว้เป็นพัลวัน
“พนันกันไหมว่ามันจะไม่ใช่การข่มขืนอย่างที่คุณว่า” เฮกเตอร์พูดอย่างเจ้าเล่ห์แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง
“ฉันไม่ชอบเล่นการพนัน”
“ใช่สินะผมลืมไปว่าคุณเป็นแม่ชี รู้อะไรไหมบัว ผมไม่เคยเข้าใกล้แม่ชีเลยสักที ถ้ารู้ว่าแม่ชีตัวหอมแบบนี้คงจะไปชวนสึกหลายคนแล้วล่ะ”
มณีบุษราถลึงตาใส่เขาท่ามกลางความมืด ฟังพูดเข้าเถอะราวกับไม่เกรงกลัวต่อบาปสักนิด “คนบ้า! บอกแล้วไงว่าฉันไม่เคยบวช”