๒.๑ น้องสาวนอกไส้
๒
น้องสาวนอกไส้
หนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับในเช้านี้ ต่างพากันพาดหัวข้อข่าวใหญ่บนหน้าหนึ่ง เมื่อมหาเศรษฐีชาวเซอร์เบียวัยห้าสิบสี่ อดีตเจ้าของธุรกิจสายการบินยักษ์ใหญ่ระดับโลกกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงไทยผู้โชคดีซึ่งเป็นแม่หม้ายวัยสี่สิบหกหลังจากทั้งคู่คบหาดูใจกันนานเกือบปี พิธีวิวาห์ในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา พิธีการเป็นไปอย่างถูกต้องตามประเพณีไทยทุกอย่าง และสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องอิจฉาตาร้อนก็คือมูลค่าของสินสอดที่เจ้าบ่าวได้มอบให้เจ้าสาวนั้นมีมูลค่ามากกว่าสองร้อยล้าน ยังไม่รวมทองคำและเครื่องเพชรชุดใหญ่อีกหลายชุด พอเสร็จจากพิธีแต่งงานแล้ว ฝ่ายเจ้าบ่าวก็พาเจ้าสาวพร้อมกับบุตรสาวของเธอบินกลับไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันต่อที่เซอร์เบียทันที
‘มณีบุษรา กานต์สิรี’ รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อรถลีมูซีนขนาดแปดประตูคันหรูแล่นออกจากสนามบินนานาชาติกรุงเบลเกรด โดยสองข้างทางเต็มไปด้วยไร่ข้าวโพดและทุ่งข้าวบาร์เลย์ที่ปลูกเรียงรายเป็นทิวแถวสลับกันอย่างสวยงามตระการตา
รถคันนั้นแล่นอย่างนุ่มนวลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่คฤหาสน์หลังใหญ่ของ ‘เซอร์เก อิวานโนวิช’ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่แถบชานเมือง ติดกับริมแม่น้ำซาวา บนพื้นที่กว้างขวางขนาดกว่าสิบไร่
ดวงตาคู่สวยของมณีบุษรามองออกไปนอกกระจกรถอย่างสำรวจ ความเขียวขจีของสนามหญ้าและต้นไม้ใหญ่หลายสิบต้นทำให้บรรยากาศของคฤหาสน์ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกเต็มไปด้วยความร่มรื่นยิ่งนัก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ร่ำรวยมหาศาลแค่ไหน เพราะบ้านเดี่ยวหลังอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกเดียวกันนั้นส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กกะทัดรัด
เมื่อรถจอดสนิทยังหน้าคฤหาสน์หลังงามซึ่งมีชื่อว่า ‘บรีซไวท์’ บอดี้การ์ดที่นั่งคู่กับคนขับก็รีบก้าวลงมาเปิดประตูรถตอนกลางและตอนหลังให้พร้อมกับโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“ขอต้อนรับสู่บ้านของเราครับฮันนี่/หนูบัว” เซอร์เกกล่าวต้อนรับอาภาศิริและมณีบุษราด้วยความเป็นกันเอง
“บ้านหลังใหญ่มากเลยค่ะเซอร์เก นี่คุณอยู่คนเดียวจริงๆ เหรอคะ”
“ใช่สิฮันนี่ ผมอยู่คนเดียว เพราะส่วนใหญ่ลูกชายผมจะอยู่ที่อเมริกา นานๆ จะกลับมาที ต่อไปบ้านหลังนี้ก็คงจะเล็กลงมานิดหนึ่งแล้วล่ะเพราะมีคุณกับหนูบัวมาอยู่เป็นเพื่อน” เซอร์เกยิ้มให้อาภาศิริแล้วหันไปหามณีบุษราบ้าง “เป็นไงหนูบัวชอบที่นี่หรือเปล่า”
“ชอบค่ะคุณลุง บรรยากาศร่มรื่นดีค่ะ” หญิงสาวตอบในขณะมองดูพื้นที่รอบๆ ของคฤหาสน์บรีซไวท์
“ชอบก็อยู่นานๆ เลยนะ หรือจะมาอยู่ตลอดเลยก็ได้” เซอร์เกบอกยิ้มๆ เพราะรู้ว่าอาภาศิริคงจะมีความสุขมากหากมีลูกสาวอยู่ใกล้ๆ
“ขอบคุณมากค่ะคุณลุง แต่เดี๋ยวบัวก็ต้องกลับไปหางานทำแล้วล่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าบ้านกันเถอะ”
เซอร์เกเดินนำเข้าไปในคฤหาสน์หลังงามซึ่งโอ่อ่ากว้างขวาง จากนั้นพ่อบ้านและสาวใช้ก็มาช่วยกันยกกระเป๋าของอาภาศิริกับมณีบุษราขึ้นไปบนห้องตามที่ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์สั่งให้จัดเตรียมไว้เมื่อหลายวันก่อน
ภายในคฤหาสน์ถูกตกแต่งอย่างหรูหราทุกตารางนิ้วตั้งแต่พื้นไปจรดเพดาน เจ้าของร่างอรชรสมส่วนเดินตามสาวใช้ขึ้นไปดูห้อง โดยปล่อยให้เซอร์เกกับอาภาศิริอยู่ด้วยกันตามลำพังบ้าง
ห้องนอนของมณีบุษราเป็นห้องกว้างอยู่ทางปีกซ้ายของคฤหาสน์ เธอกวาดตามองห้องนั้นอย่างทึ่งๆ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูเรียบง่ายแต่หรูหรา มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ดูเผินๆ ห้องนี้ไม่ต่างอะไรกับห้องสวีตราคาแพงในโรงแรม โดยเฉพาะเตียงนอนที่กว้างขวางรองด้วยฟูกหนานุ่มและเครื่องนอนสีหวานเข้าชุดกันชวนให้อยากจะกระโจนลงไปนอนทันที
เท้าเล็กๆ พาตัวเองไปยืนข้างหน้าต่างแล้วทอดสายตามองออกไปดูทิวทัศน์ด้านนอกในขณะที่สาวใช้กำลังจัดแจงข้าวของใส่ตู้ให้เธอ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เช่นนี้อากาศในเซอร์เบียกำลังเย็นสบายๆ ไม่หนาวมากนัก มณีบุษรารู้สึกชอบอากาศแบบนี้เป็นพิเศษ เธอไม่ชอบการใส่เสื้อโค้ตตัวใหญ่ๆ หนาๆ เพื่อปกปิดร่างกายในยามอากาศหนาวจัดเพราะต้องแบกน้ำหนักของเสื้อผ้าหลายกิโล เวลาจะเดินเหินไปไหนก็ไม่สะดวก
“ดิฉันจัดของเข้าตู้ให้เรียบร้อยแล้วนะคะ”
เสียงของสาวใช้ชาวเซอร์เบียดังขึ้นเป็นครั้งแรก ภาษาที่สาวใช้พูดกับมณีบุษรานั้นเป็นภาษาอังกฤษ ร่างอรชรค่อยๆ หันกลับมามอง คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นน้อยๆ ด้วยความฉงนเพราะปกติคนเซอร์เบียจะพูดภาษาเซอร์เบียนเป็นหลัก ดูเหมือนสาวใช้จะเข้าใจถึงความสงสัยที่แสดงออกทางสีหน้าของมณีบุษราจึงรีบอธิบาย
“พอดีนายท่านมีแขกชาวต่างประเทศมาพบค่อนข้างบ่อยค่ะ ดังนั้นแม่บ้านและสาวใช้ในคฤหาสน์หลังนี้ส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ”
“อ๋อ...เอ่อ ฉันต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะที่เสียมารยาท” เจ้าของเสียงหวานใสเอ่ยขอลุแก่โทษ
“ไม่เป็นไรค่ะดิฉันเข้าใจค่ะ แล้วคุณต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะ”
“ไม่ล่ะจ้ะ แล้วเธอชื่ออะไร”
“ชื่ออันนาค่ะ ถ้าคุณต้องการอะไรเรียกใช้ดิฉันได้เลยนะคะ นายท่านให้ดิฉันมาคอยรับใช้คุณค่ะ”
“ชื่ออันนาเหรอ เพราะดีเหมือนกันนะ ฉันชื่อมณีบุษราจ้ะเรียกสั้นๆ ว่าบัวก็ได้นะ แต่อาจจะออกเสียงยากสักหน่อยนะ ไหนลองเรียกสิอันนา” มณีบุษราชวนคุยพลางยิ้มให้อย่างมีไมตรีจิตตามพื้นเพนิสัยของตัวเอง
“คุณบะ...บัว” อันนาพยายามออกเสียงให้ถูก
“บัวจ้ะ”
“คุณบัว” อันนาออกเสียงอีกครั้งและยิ้มกว้างๆ เมื่อสามารถเรียกชื่อนั้นได้ใกล้เคียงกับผู้เป็นเจ้าของภาษามากยิ่งขึ้น
“ถูกต้องจ้ะ เธอเก่งมากเลยอันนา” เจ้าของเสียงหวานใสเอ่ยชมและคลี่ยิ้มอวดฟันซี่เล็กๆ ที่ขาวสะอาดเรียงกันเป็นระเบียบราวกับสร้อยไข่มุก ทำให้อันนาเผลอยิ้มตามและอดชื่นชมในความน่ารักสดใสของมณีบุษราไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกคุ้นเคยกับมณีบุษราในเวลาอันรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับแขกคนไหนของเจ้านายมาก่อน
“คุณเคยมาเซอร์เบียหรือเปล่าคะ”
“ไม่เคยเลยจ้ะอันนา เอาไว้ว่างๆ เธอพาฉันทัวร์เซอร์เบียบ้างนะ”
“ถ้านายท่านอนุญาตก็ไม่มีปัญหาค่ะ คุณอยากไปที่ไหนบอกได้เลยนะคะ”
“ฉันเคยรู้มาว่าที่เซอร์เบียมีกาสิโนหรูหลายแห่งเลยใช่ไหม” มณีบุษราชวนคุยต่อ
“ใช่ค่ะหรูหรามาก กาสิโนของคุณเฮกเตอร์ก็มีนะคะ มีทั้งในเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวล้วนแต่เป็นระดับมหาเศรษฐีทั้งนั้นเลยค่ะ” อันนาเล่าเจื้อยแจ้วให้ฟังตามที่ตัวเองรู้มา “ว่าแต่คุณบัวเคยเจอคุณเฮกเตอร์หรือยังคะ”
“ลูกชายของคุณลุงน่ะเหรอ?”
“ใช่ค่ะ คุณเฮกเตอร์เก่งแถมหล่อมากเลยนะคะเป็นขวัญใจของสาวๆ ที่เซอร์เบียและที่สหรัฐอเมริกา ดิฉันว่านายแบบหรือดาราฮอลลีวูดบางคนยังหล่อไม่เท่าคุณเฮกเตอร์เลยนะคะ” น้ำเสียงของอันนาเต็มไปด้วยความชื่นชมและภูมิใจยามพูดถึงเจ้านายอีกคนของตน
“ขนาดนั้นเชียว” มณีบุษราถามเสียงสูง
“ใช่ค่ะ คุณเฮกเตอร์หล่อแบบลูกครึ่ง มาดามคนเก่าของนายท่านเป็นคนอเมริกันค่ะ แม่บอกว่าตอนมาดามสาวๆ สวยมากๆ เลยนะคะ ท่านเสียตอนที่คุณเฮกเตอร์กำลังเรียนปริญญาตรีค่ะ คุณเฮกเตอร์เรียนอยู่ที่อเมริกาพอทราบข่าวเรื่องมาดาม คุณเฮกเตอร์แทบจะไม่อยากกลับไปเรียน”
หญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้กับเรื่องราวอันได้เนื้อถ้อยกระทงความที่อีกฝ่ายเล่าให้ฟัง “ขอโทษนะอันนา ท่านเสียเพราะอะไร”
“เพราะอุบัติเหตุรถคว่ำค่ะ”
น้ำเสียงของอันนาหม่นลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่คนที่เข้าใจความรู้สึกนั้นมากกว่าก็คือมณีบุษราเพราะเธอเองก็สูญเสียพ่อจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปตั้งแต่เด็กเช่นกัน และเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้ชีวิตของเธอเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ พยายามสลัดความเศร้าที่ซุกซ่อนอยู่ในหัวใจมานานหลายปีออกไป แล้วจึงปรับน้ำเสียงให้แจ่มใสเช่นเคย
“ฉันชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าคุณเฮกเตอร์ของเธอจะหล่อสักแค่ไหน” ใบหน้าสวยหวานยิ้มน้อยๆ พร้อมกับวางมโนภาพของฝ่ายชายไปในตัว “แต่เห็นคุณลุงบอกว่าเขาอยู่อเมริกาเป็นส่วนใหญ่ไม่ใช่เหรออันนา”
“ใช่ค่ะคุณเฮกเตอร์อยู่ที่อเมริกา แต่ก็กลับมาบ่อยเหมือนกันนะคะเพราะธุรกิจส่วนหนึ่งอยู่ที่นี่ ถ้าคุณเฮกเตอร์กลับมาคุณบัวก็คงจะได้เจอตัวจริง”
มณีบุษราพยักหน้าแล้วชวนอันนาคุยสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวลงไปรับประทานอาหารค่ำ
เมื่อได้เวลาอาหาร หญิงสาวก็ลงมายังชั้นล่างโดยไม่ต้องรอให้สาวใช้ขึ้นไปเชิญ เมนูของอาหารค่ำที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพบนโต๊ะคือ สเต๊กเนื้อมัตสึซากะซึ่งเป็นสเต๊กเนื้อวัวที่สั่งตรงมาจากประเทศญี่ปุ่น หน้าตาน่ารับประทานยิ่งนัก เมื่อเซอร์เก อาภาศิริ และมณีบุษรานั่งพร้อมหน้ากันแล้ว สาวใช้ก็เริ่มจัดการรินไวน์แดงและเสิร์ฟให้อย่างรู้หน้าที่ทันที
“เป็นไงบ้างหนูบัวชอบห้องที่ลุงเตรียมไว้ให้ไหม” เซอร์เกเอ่ยถามในขณะกำลังรับประทานอาหาร
“ชอบค่ะคุณลุง ห้องกว้างน่าอยู่มากเลยค่ะ”
“แล้วสเต๊กนี่ล่ะเป็นยังไงบ้างรสชาติถูกปากหรือเปล่า” เซอร์เกถามต่ออย่างเอาใจด้วยความที่รักอาภาศิริมากจึงเกิดความเอ็นดูและเอาใจใส่ลูกสาวของผู้เป็นภรรยาด้วย
“อร่อยมากเลยค่ะ หอมและนุ่มลิ้นดี” หญิงสาวยิ้มแป้นจนเห็นรอยลักยิ้มในขณะเคี้ยวสเต๊กเลิศรสตุ้ยๆ
“พรุ่งนี้แม่กับคุณเซอร์เกว่าจะไปเที่ยวซูโบติกา บัวไปกับแม่นะลูก” อาภาศิริชวนลูกสาว ทว่ามณีบุษรากลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“เชิญคุณแม่กับคุณลุงเถอะค่ะ บัวยังเหนื่อยๆ กับการเดินทางอยู่เลย ขอพักผ่อนเอาแรงก่อนนะคะ”
“ยังสาวยังแส้เหนื่อยกว่าคนแก่ได้ยังไง” ผู้เป็นแม่สัพยอก แต่ก็ไม่ได้คะยั้นคะยออะไร
“ถ้าอย่างนั้นให้หนูบัวพักผ่อนอยู่บ้านเถอะนะฮันนี่ เอาไว้คราวหลังค่อยชวนหนูบัวไปด้วยกัน”
“ค่ะ”
อาหารค่ำมื้อแรกในเซอร์เบียผ่านไปอย่างเอร็ดอร่อย ฝีมือการทำสเต๊กของแม่ครัวยอดเยี่ยมเทียบเท่ากับร้านอาหารดังๆ เลยก็ว่าได้ อีกทั้งเซอร์เกยังเป็นคนที่คุยสนุกจึงทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความเป็นกันเองและอบอุ่น