ตอนที่ 6
ฮือ...ฮือ...
เสียงร้องครวญครางคล้ายคนกำลังได้รับความทุกข์และเสียใจอย่างที่สุดดังลอดเข้ามาจากซุ้มต้นไม้ข้างบ้านทำให้เด็กชายวัย 12 ปีที่กำลังจะเดินเข้าสู่บ้านไม้หลังสีขาวของย่าชะงักฝีเท้า เงี่ยหูฟังที่มาของเสียงอย่างกล้าๆ กลัวๆ ใบหน้าหล่อเหลาแต่น้อยคล้ายจะมีแววหวาดหวั่นเล็กน้อย เมื่อคะเนที่มาของเสียงมากมายหลายอย่างด้วยกัน แต่บรรยากาศโดยรอบที่ยังอยู่ในช่วงแสงอาทิตย์สาดส่องก็ทำให้สองเท้าพาก้าวเดินไปสู่ ณ จุดที่เขาคิดว่าเสียงเกิดจากตรงนั้น แม้จะกลัว แต่ความอยากรู้ก็ยังมีมากกว่าและความเชื่อที่ว่า ‘ผีไม่โผล่มาตอนมีแสง’ ก็ทำให้ชื้นใจขึ้นมาได้บ้าง
ภาพเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งซุกตัวแทรกอยู่ในแนวรั้วไม้ทำให้เขาถึงกับผงะ เพราะใบหน้ามอมแมมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่เห็นนั้นชวนให้สงสัยว่าเป็นคนหรือว่าผีเด็กกุมารทองอย่างที่พี่เลี้ยงของเขาเคยเล่าให้ฟังว่า ชอบมานั่งร้องไห้อยู่หน้าห้องนอนของแก แต่เมื่อเห็นบางอย่างในอ้อมกอดของเด็กหญิง รอยยิ้มเอ็นดูจึงปรากฏขึ้นมาแทนที่ ลูกสุนัขพันธุ์ไทยสีน้ำตาลเข้มครางหงิงและทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นคนแปลกหน้ากำลังส่งเสียงทักทายเขา
“อื้อ...”
เด็กหญิงที่กระชับสุนัขตัวน้อยไว้ในอ้อมกอดไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้สัมผัสถูกตัว ยิ่งทำให้เขาอยากทดลองอุ้มเจ้าหมาน้อยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นสารพัดสิ่งล่อหลอกจึงถูกงัดออกมาใช้และก็หวังว่าครั้งนี้จะได้ผล
“หึๆ...ขอพี่จับหน่อยนะ แต่ถ้าให้พี่อุ้มด้วยพี่จะให้กินขนม เอาไหมขนมอร่อยนา ในบ้านคุณย่าพี่มีเยอะเลย สนใจไหม”
ผิดคาดเพราะเด็กหญิงยิ่งกอดกระชับเจ้าหมาน้อยแน่นขึ้น พร้อมทั้งส่ายใบหน้ามอมแมมไปมา ราวกับว่าหมาน้อยตัวนี้เป็นสมบัติที่เธอหวงแหน ไม่ต่างไปจากตุ๊กตาที่เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบเล่น โดยเฉพาะพราวรุ้ง น้องสาวข้างบ้านซึ่งน่าจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับเด็กหญิงคนนี้ รายนั้นกอดตุ๊กตาเด็กฝรั่งแน่นเป็นตังเมและก็ไม่ยอมให้เขาแตะต้องเหมือนกัน
“น้อง! อย่ากอดเขาแรง เห็นไหมเขาร้องแล้ว เขาเจ็บนะ”
เสียงร้องหงิงดังแหลมขึ้นส่งสัญญาณว่าอ้อมกอดน้อยๆ นี้คงจะสร้างความเจ็บ หรือไม่ก็สร้างความรำคาญให้แก่เจ้าตัวน้อยสี่ขานั่นแล้ว
“จะ...เจ็บ โอ๋...เปี๊ยกเจ็บเหรอ หล้าขอโทษ หล้าไม่ได้ตั้งใจให้เปี๊ยกเจ็บนะ หล้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องไห้นะ กอดเขาเบาๆ เขาก็หายแล้ว ปะ เข้าไปในบ้านกับพี่เถอะ ไปกินขนมกัน แล้วเจ้าเปี๊ยกนี่ก็คงจะหิวนมแล้วด้วย เดี๋ยวพี่หานมให้มันกินเอง ดีไหม”
เม็ดน้ำตาหล่นเปาะแปะกระทบต้นแขนเล็ก และบางเม็ดก็หล่นใส่หัวเจ้าหมาน้อยที่เธอเรียกว่าเจ้าเปี๊ยกไปโดยปริยาย ทำให้คนที่โตกว่าต้องพูดปลอบคนที่กำลังเสียใจไม่ให้ร้องไห้ไปมากกว่านี้
“แล้วพี่ก็มีขนมอร่อยๆ ให้น้องกินด้วยนะ ไปกันเถอะ”
ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าเธอเกือบสองเท่าเอื้อมมาตรงหน้าในกิริยาเชื้อเชิญ ดวงตาสดใสจริงใจที่ไม่เคยได้รับจากใครมองตรงมา ทำให้เจ้าของดวงตาหวาดหวั่นที่ยังคงเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาชำเลืองมองฝ่ามือนั้นอย่างชั่งใจ รอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้าทำให้เด็กหญิงรู้สึกอบอุ่นและวางใจ จนลุกขึ้นเดินตามคำเชื้อเชิญนั่น แต่ก็ยังคงกระชับร่างเจ้าเปี๊ยกในอ้อมกอดแน่น
“งั้นเดินตามพี่มานะ”
แววคลางแคลงใจและความไม่แน่ใจที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตคู่นั้น ทำให้เขาเลือกที่จะเดินนำหน้าและคอยมองดูว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะเดินตามทันหรือไม่ ถ้าเธอเดินช้าเขาก็จะหยุดคอย แต่ถ้าเธอเดินเร็วเขาก็จะเดินให้ช้าลงเพราะเขาอยากพาเธอเข้าไปในบ้าน ให้คุณย่ากับคุณอาได้เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่น่าสงสารเหลือเกิน และก็แน่ใจว่าท่านทั้งสองจะต้องรู้ว่าเธอเป็นใครกัน
ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีเศษ รูปร่างผอมสูง ไม่ใส่เสื้อ ทั้งร่างมีเพียงกางเกงยีนตัดขาที่ทั้งขาดและเก่าเหมือนไม่ได้เจอน้ำมาแรมปี ใบหน้าซูบแก้มตอบทว่าแววตาฉายชัดว่ากำลังหงุดหงิดเพราะหาใครหรืออะไรบางอย่างไม่เจอ
“แม่ อีหล้ามันไปไหนเนี่ย อีนี่พอจะใช้ซื้อของก็หายหัวเลยนะมึง แม่ มันไปไหนรู้ไหม”
ยายเล็กละมือจากกะละมังข้าวเหนียวที่คลุกถั่วดำไว้แล้วเป็นบางส่วนก่อนจะหันมองเมฆลูกชายคนโต แต่เป็นลูกคนที่ 3 ของแกด้วยสายตาที่คนถูกมองก็คาดเดาไม่ถูก แต่ในเวลานี้เขาสนใจเพียงว่าหลานสาวที่มักใช้ให้ไปซื้อ ‘ของ’ บางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอนั้นหายไปไหนตั้งแต่ช่วงบ่าย จนใกล้จะเย็นค่ำก็ยังไม่กลับมา
“กูไม่รู้ มันก็คงไปเล่นของมันแถวนี้” คนเป็นแม่ตอบเสียงห้วน ก่อนจะหันไปสนใจกะละมังข้าวเหนียวตามเดิม
“อ้าว! นี่สรุปแม่ญาติดีกับมันแล้วเรอะ เห็นปกติไม่เคยให้มันห่างตัว อ้อ...ยิ่งโตมันก็ยิ่งหน้าเหมือนแม่มันอะนะ ฉันลืมไป” เมฆพยักพเยิดกับความคิดตนเอง จึงไม่ทันเห็นอาการผิดปกติของแม่ ที่คำพูดของเขาไปจี้ใจดำพอดี
“ไอ้เมฆ! มึงจะไปไหนก็ไป อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตากูเลย แค่กูต้องทำงานงกๆ เลี้ยงพวกมึงก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว นี่มึงยังจะมาแขวะกูอีก กูทำอะไรกูรู้ตัวของกูดี พวกมึงนั่นแหละ วันหนึ่งกูตายไปพวกมึงคงต้องกินแกลบเพราะหาแดกกันเองไม่ได้”
