บทที่ 2
แต่เมื่อมาถึงเวลาอย่างนี้แล้ว เธอก็จะต้องตัดสินใจอะไรลงไปสักอย่าง บัดนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ามันจะต้องมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นตรงไหนสักตรงหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่มีประโยชน์สำหรับการที่จะมายืนคอยอยู่ที่สนามบินเช่นนี้ แชนนอนทำสัญญาณเรียกรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ในบริเวณนั้น คนขับก้าวลงจากรถ มองดูเธอด้วยสายตานิยมชมชื่นอยู่ ก่อนที่จะแสดงคารวะออกมา อายุอานามของเขาก็คงจะไม่ห่างจากแชนนอนเท่าใดนัก สวมเสื้อกันฝนสีฟ้ายกปกสูง เพื่อป้องกันละอองฝนไว้
“ขอประทานโทษครับ” เขายิ้มให้เธอ “ผมเห็นคุณยืนอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว แต่คิดว่าคุณคงกำลังคอยใครอยู่”
“ใช่...แต่...เอ้อ...คนมารับเขาคงยุ่งเลยมารับฉันไม่ได้” แชนนอนเอ่ยข้ออ้างที่คิดว่าริคจะแก้ตัวกับเธอซึ่งผ่านเข้ามาในสมองครั้งแล้วครั้งเล่าออกมาดัง ๆ
“ครับ อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายก็ได้” คนขับรถคล้อยตามพร้อมกับยักไหล่
การที่ได้ยินใครสักคนหนึ่งคล้อยตามความคิดเห็นของตัวเอง ยิ่งเท่ากับสร้างความมั่นใจให้แชนนอนและมองเห็นว่ามันน่าจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ในทันที ในขณะที่คนขับรถยกกระเป๋าเดินทางใส่ในที่วางของท้ายรถ แชนนอนก็ลอดตัวเข้าไปในที่นั่งด้านหลัง เปิดกระเป๋าถือ ค้นหาจดหมายฉบับล่าสุดของริคพร้อมกับตำบลที่อยู่ในเมืองแอนโชเรจแห่งนี้ขึ้นมา
เมื่อคนขับรถก้าวขึ้นนั่งหลังพวงมาลัยแล้วจึงได้เอี้ยวตัวมามองเธอ
“จะให้ไปส่งที่ไหนครับ คุณ ?”
“นอร์ทเธิร์น ไลท์ส โบลีวาร์ด” แชนนอนตอบด้วยชื่อถนนก่อนที่จะยื่นจ่าหน้าซองจดหมาย ซึ่งแจ้งเลขที่ของอพาร์ทเม้นท์ที่ริคเช่าไว้ เพื่อจะเป็นเรือนหอของเธอและเขาในอนาคตให้ดู
ขณะที่รถเคลื่อนออกจากบริเวณอาคารที่ทำการของสนามบิน ผ่านบริเวณร้านค้ามุ่งหน้าออกสู่ถนนใหญ่แล้ว คนขับรถรุ่นหนุ่มผู้นั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้โดยสารสาวผ่านทางกระจกส่องหลัง
“คุณคงเพิ่งจะเดินทางมาอลาสก้าครั้งนี้เป็นครั้งแรกสินะครับ ?”
“ใช่” แชนนอนปรายตาจับอยู่ที่นอกหน้าต่าง
ความกังวลกับการที่มิได้พบหน้าค่าตาริค ทำให้เธอพยายามกำหนดจดจำในสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ไว้ “ต้นไม้ใบหญ้าแถบนี้ดูเขียวชอุ่มกว่าที่ฉันเคยคิดไว้มากทีเดียว” เธอตั้งข้อสังเกตเมื่อมองดูพื้นหญ้าตรงสนามหน้าบ้านเรือน และที่ปลูกประดับอยู่สองฟากทาง เสื้อคลุมขนสัตว์สีน้ำตาลเข้มวางพาดอยู่บนตัก เสื้อไหมพรมคอตลบที่สวมอยู่ให้ความอบอุ่นเกือบจะเกินความต้องการด้วยซ้ำ “แล้วอากาศที่นี่ก็อุ่นกว่าที่ฉันคิดไว้ด้วย โดยเฉพาะในเดือนกันยายนอย่างนี้”
“คุณคงนึกวาดภาพว่าจะต้องมาเผชิญกับอากาศที่หนาวเป็นน้ำแข็งสิใช่ไหมครับ ?” คนขับรถหัวเราะเบา ๆ อยู่ในลำคอ
“เอ้อ...” แชนนอนหัวเราะตามเบา ๆ รู้สึกว่าตัวเองคาดผิดไปถนัด “เอ้อ...ก็คิดว่าคงไม่ต้องสวมชุดชั้นในหนา ๆ หรอกตอนนี้น่ะ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า เมื่อมองเห็นดอกไม้บานไสวอยู่ในบริเวณสนามหน้าบ้านเรือนสองข้างทาง
“อากาศที่นี่ออกจะผิดความคาดหมายของคนที่มาจากเมืองอื่น ๆ อยู่มากครับ ถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว อากาศในเมืองแอนโชเรจนี้มิได้ผิดแผกแตกต่างกว่าในซีแอตเติ้ลเลย ถ้าเป็นแถว ๆ เมืองแฟร์แบงค์ละก็ว่าไม่ถูก เพราะจะหนาวกว่าที่นี่มากทีเดียวละครับ” เขาบอก
“แล้วคุณล่ะ เป็นคนพื้นเมืองที่นี่หรือ ?” แชนนอนชักสงสัย เพราะรู้ว่าเขาออกจะมีความรู้รอบตัวดีอยู่ไม่น้อย
“ครับ ผมเป็นชาวอลาสกันโดยแท้เลย เกิดที่นี่ด้วย น้ำเสียงของเขาบอกความภาคภูมิใจอยู่และเป็นความภาคภูมิใจอย่างคนมีอารมณ์ขัน “เมื่อ 3 ปีก่อน ผมก็ลงไปเยี่ยมญาติที่แคลิฟอร์เนีย แต่แล้วก็กลับมาอีก เห็นไหมครับว่าผมโง่ขนาดไหน”
แชนนอนอดหัวเราะไม่ได้ เพราะเธอก็กำลังเป็นอย่างที่เขาว่าในตอนท้ายอยู่เหมือนกันคนขับรถสำแดงออกถึงความเป็นผู้มีอัธยาศัย ให้ความสนิทสนมตามธรรมชาติ มิได้แสดงอะไรให้เห็นว่าจะฉวยโอกาสเพราะความเป็นสาวน้อยทรงเสน่ห์ของเธอเลย
“นั่นสินะ” คล้อยตามคำพูดของเขา
“รู้สึกฤดูนี้จะช้าไปแล้วสำหรับพวกนักทัศนาจร คุณล่ะครับ แค่มาเที่ยว 2-3 วันหรือว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่
เลย ?”
“ก็...คิดจะมาอยู่ที่นี่นั้นแหละ” แชนนอนตอบอย่างมั่นใจ
“อ้อ...มีญาติอยู่ที่นี่หรือครับ หรือว่าเพื่อน ?” คนขับถามอย่างสนใจ
“คู่หมั้นของฉันเอง” แชนนอนตอบ และคล้ายจะมองเห็นแววแห่งความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนขับรถผู้นั้นจากภาพสะท้อนในกระจกส่องหลัง
“อ้อ...” เขาอุทานรับเบา ๆ ก่อนที่จะเลี้ยวรถผ่านทางแยกออกสู่ถนนใหญ่ “เขาทำอะไรอยู่ที่นี่ล่ะครับ ?”
“เป็นนักบิน” แชนนอนตอบสั้น ๆ
“แล้วก็ไม่ได้อยู่แถว ๆ นี้ด้วยหรือครับ ?” หนุ่มน้อยคนขับพูดปนหัวเราะ “บางครั้งนะครับ ผมยังเคยคิดว่าเมืองนี้มีเครื่องบินมากกว่ารถยนต์เสียอีก เพราะการเดินทางโดยเครื่องบินเท่านั้นถึงจะไปทั่วอลาสก้าได้ คู่หมั้นของคุณทำงานกับสายการบินใหญ่ ๆ หรือครับ ?”
“เปล่าหรอก” ครั้งหนึ่งริคเคยตั้งความปรารถนาเช่นนั้นไว้เหมือนกัน จนกระทั่งได้ยินเรื่องงานบินในไร่ของเกษตรกรชาวอลาสก้า, แต่หลังจากนั้น เขาก็เปลี่ยนความคิดตัดสินใจเข้าสมัครเป็นนักบินของบริษัทส่วนตัว ด้วยเชื่อว่าจะเป็นงานที่ง่ายกว่าบริษัทใหญ่ ๆ “เขาทำงานอยู่กับบริษัทที่ให้เช่าเครื่องบินส่วนตัวน่ะ”
“ดีนี่ครับ ผมเองขนาดทำงานปีหนึ่งแล้วยังไปได้ไม่ทั่วอลาสก้าเลย ไม่เหมือนในคำโฆษณาที่คุณเคยได้ยินมาหรอก” เขาชะลอรถลงก่อนที่จะหยุดลงตรงหน้าอาคารชั้นซึ่งไม่มีป้ายบอกอะไรให้รู้เลยสักหลังหนึ่ง “นี่ไงครับ...ถึงแล้วละ” เขาชี้มือเป็นเชิงบอกให้รู้ว่า บัดนี้เธอได้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจจะมาแล้ว เมื่อแชนนอนจ่ายค่าโดยสารให้ เขาก็ยัดลงในกระเป๋าก่อนที่จะพูดว่า “ผมจะช่วยหิ้วกระเป๋าเข้าไปข้างในให้ครับ”
เมื่อลงจากรถแล้ว เธอก็เดินตรงไปยังห้องโถงที่ใช้รวมกัน เปิดประตูออก หมายเลขห้องเช่าของริคอยู่บนประตูฝั่งตรงข้ามกับห้องที่ติดป้ายไว้ว่า “ผู้จัดการ” แม้ว่าเธอจะไม่หวังว่าริคจะอยู่ในห้องแต่ก็ยังเคาะประตูอยู่นั่นเองเพื่อให้เขามีโอกาสรู้ตัวก่อน ประตูมิได้เปิดออกในทันที และแชนนอนก็หวังว่าผู้จัดการจะยอมอนุญาตให้เธอเข้าไปนั่งรอริคในห้องได้ และทันใดประตูบานนั้นก็เปิดออก
เธอหันกลับมามองทางประตูอีกครั้ง รอยยิ้มอย่างเปี่ยมไปด้วยความสุขและความหวังที่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก เลือนหายไปเกือบจะทันทีที่เผชิญกับใบหน้าที่กำลังมองมาจากด้านในของห้อง แววในดวงตาของผู้ชายในวัย 40 มองเธออย่างหยาบ ๆ กวาดสายตาไปทั่วเรือนร่างของเธอศีรษะจรดเท้าอย่างหยาบคาย
“จะมาขายอะไรที่นี่ล่ะ อีหนู...ไปเสียเถอะ ถึงยังไงฉันก็ไม่ซื้อหรอก” น้ำเสียงของผู้ชายคนนั้นห้วนห้าว ก่อนที่จะปิดประตูใส่หน้าเธอโครมใหญ่
คนขับรถก้าวเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางของเธอพอดี ตอนที่แชนนอนตระหนกอยู่กับภาพของผู้ชายแปลกหน้า ที่โผล่ออกมาจากห้องส่วนตัวของริค ถ้าจะหาคำอธิบายกันก็เห็นจะเป็นได้เพียงว่าริคคงจะเช่าห้องใน
อพาร์ตเมนท์แห่งนี้รวมกับใครสักคนหนึ่ง เพื่อตัดทอนค่าใช้จ่ายลง...แชนนอนจึงเคาะประตูซ้ำ ครั้งนี้ประตูเปิดผางออกมาทันที ผู้ชายคนนั้นออกมายืนขวางหน้าประตูไว้เต็มที่
“ฟังนะอีหนู” น้ำเสียงของเขาไม่น่าฟังเลยแม้แต่นิด “ฉันทำงานตอนกลางคืน แล้วก้ไม่ชอบให้ใครมาปลุกให้ตื่นตอนบ่ายอย่างนี้ ถามจริง ๆ เถอะว่าทำไมเธอถึงไม่ลองไปเคาะประตูห้องคนอื่นเขาบ้างล่ะ ?”
“ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้” บานประตูทำท่าจะถูกปิดกลับเอาจริง ๆ
“แต่...นี่มันเป็นห้องของเขานี่คะ” แชนนอนทักท้วง ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ
“คุณผู้หญิง ฉันไม่รู้หรอกนะน่าเธอกำลังเล่นเกมส์อะไรกันแน่” เขามองเธอโกรธ ๆ “แต่ทว่าห้องนี้น่ะมันเป็นห้องเช่าของฉัน และชื่อของฉันคือแจ๊ค โมโร่ว์ และภายในห้องนี้ ก็ไม่มีใครอีกนอกจากฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าจะต้องมีอะไรผิด ๆ เกิดขึ้นแล้วละค่ะ” สีหน้าของแชนนอนบอกถึงความยุ่งยากโดยแท้ เมื่อก้มลงค้นหาจดหมายของริคในกระเป๋าถือที่สะพายคล้องไว้กับไหล่
“ซึ่งถ้าจะมีอะไรผิด ๆ อย่างที่ว่านั่น ผมว่าคุณนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ” น้ำเสียงของผู้ชายคนนั้นไร้ความปราณีโดยแท้... อึ้งกันไปครู่หนึ่งเขาจึงได้แนะนำด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ลองไปคุยกับผู้จัดการดูก็ได้นี่ บางทีคนที่คุณพูดถึงอาจจะอยู่อพาร์ตเมนท์ที่อื่นก็ได้ ไปถามเขาเถอะผมจะได้นอน ๆ เสียที”
ประตูบานนั้นปิดลงอีกครั้ง พอดีกับที่เธอหาจดหมายของริคพบ แชนนอนลองตรวจสอบเลขที่อยู่บนจ่าหน้าซอง แต่ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไร หมายเลขห้องและสถานที่ก็ยังเป็นที่เดียวกันอยู่นั่นเอง ในความรู้สึกสับสนนั้นที่เธอหันหลังกลับ และเผชิญหน้ากับคนขับรถหนุ่มน้อยคนนั้น ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังโดยมีกระเป๋าเดินทางตั้งอยู่รอบ ๆ ตัว สีหน้าของเขาบอกความรู้สึกเห็นใจโดยแท้