บทที่ 1
ทันทีที่เครื่องบินเจทลำที่โดยสารมา บินผ่านออกจากกลุ่มเมฆซึ่งเสมือนผ้าคลุมสีเท่าผืนใหญ่, แชน นอน เฮย์ รีบยืดตัวขึ้น มองฝ่ากระจกหน้าต่างมัว ๆ ของตัวเครื่องออกไปภายนอก ภาพที่เธอได้เห็นคือ ทิวทัศน์ของตัวเมืองใหญ่แห่งมลรัฐอลาสก้า ซึ่งยังมิได้เห็นอย่างชัดเจนนัก ขุนเขาทมึนตั้งรายล้อมตัวเมืองไว้สูงเสียดฟ้าแฝงยอดไว้ในหมู่เมฆ ต่ำลงไปบนพื้นดินคือหมู่บ้านที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่ว คล้ายจะร้อยรัดไว้ด้วยถนนสายเล็ก ๆ ที่เมื่อมองลงมาจากที่สูงและดูประหนึ่งสายตาข่ายในระยะไกลเช่นนี้อีกเช่นกัน ที่ตึกรามสูง ๆ หลายแห่งอันบ่งบอกถึงความเป็นตัวเมืองนั้น จะมองเห็นเป็นเพียงรูปทรงสี่เหลี่ยมสีเท่า ๆ ซึ่งเมื่อเครื่องลดระยะเพดานบินลงแล้ว ยอดตึกเหล่านั้นก็คล้ายจะหายไปโดยสิ้นเชิง
ลึกลงไปในหัวใจ สาวน้อยอดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่งไม่ได้ เพราะเธอหวังจะได้เห็นตึกรามบ้านช่องที่โอ่อ่า บริเวณตัวเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่านี้ อย่างน้อยในความเป็นเมืองหลวงเช่นเดียวกัน ก็ควรจะมีความภาคภูมิอยู่อย่างที่เมืองฮิวสตัน มลรัฐเท็กซัส อันเป็นบ้านเกิดของเธอมี, แต่ทว่าความคิดเปรียบเทียบเช่นนั้นมิได้ค้างอยู่ในใจนานนัก เนื่องด้วยความตื่นเต้นเมื่อนึกไปถึงจุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้มีอิทธิพลเหนือกว่า
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มของแชนนอน เฮย์ เป็นประกายยามที่เอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้ตามเดิม รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขั้นตรงมุมปาก เมื่อนึกไปถึงความรื่นรมย์ทั้งหลายอันจะเกิดขึ้นหลังจากที่การเดินทางไกลครั้งนี้ของเธอได้สุดสิ้นลง ไล้มืออยู่บนแหวนหมั้นที่สวมอยู่ในนิ้วนางข้างซ้าย หัวเพชรหน้าตัดรูปสี่เหลี่ยมที่ประดับอยู่บนเรือนแหวนวงนั้น คล้ายจะเป็นเครื่องรางที่บอกถึงความโชคดี แสงสลัวภายนอกตัวเครื่องไม่อาจจะซ่อนความกระวนกระวายใจของเธอไว้ได้
แรงสะเทือนเกิดขึ้นเบา ๆ ขณะที่ล้อเครื่องบินแตะลงบนรันเวย์ เครื่องบินแท็กซี่ไปตามทางชั่วครู่ขณะที่เครื่องยนต์ผ่อนกำลังความเร็วลง ชีพจรในเรือนกายของสาวน้อยเต้นตัวแรงขึ้น อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะเรือนผมสีน้ำตาลปนแดง ซึ่งเมื่อ 20 นาทีที่แล้วมานี่เอง ที่เธอเพิ่งจะหวีใหม่ให้เข้ารูปเรียบร้อย แถมยังตกแต่งใบหน้าเสียใหม่ด้วยจนงดงามสดใส, แชนนอนต้องการให้ตัวเองสวยที่สุด เพื่อริคจะได้พบกับสาวน้อย “ผมสีทองแดง...ดวงตาสีน้ำตาล” อย่างที่เขาชอบเรียกเธอในครั้งนี้ หลังจากที่ไม่ได้พบกันมานานแรมเดือน
ซึ่งช่างเป็นช่วงแรมเดือนที่สุดแสนจะว้าเหว่เปลี่ยวเปล่าอะไรเช่นนั้น นึกถึงภาพของตัวเองที่ดวงตาฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา วันที่ไปส่งเขาที่สนามบินตอนที่ริคเดินทางมาอลาสก้า, คำมั่นสัญญาที่ต่างได้พร่ำฝากไว้ให้แก่กัน และรสจุมพิตดูดดื่มซาบซึ้งอันเกิดขึ้นจากความอาลัยอาวรณ์อย่างที่สุด, และหลังจากนั้นแม้จะมีจดหมายและโทรศัพท์จากริคบ้างก็ดูน้อยครั้งและทิ้งช่วงระยะเวลาห่างกันมาก ซึ่งยิ่งทำให้แชนนอนรู้สึกอ้างว้างเหว่ในการจากกันในครั้งนี้อย่างสุดแสน
ริคได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า ทันทีที่เขาได้ทำงานในบริษัทที่มีหลักประกันมั่นคง หาบ้านช่องห้องหอได้โดยเรียบร้อยแล้วเขาจะรีบจดหมาย หรือโทรศัพท์มาบอกให้เธอทราบ ไม่น่าจะมีอะไรมาทำให้มันต้องเนิ่นนานเลย จดหมายฉบับล่าสุดที่แชนนอนได้รับจากเขามาถึงเมื่อเดือนกว่าแล้ว ตอนปลายเดือนกรกฎาคมหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้รับข่าวคราวของเขาอีก จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนกันยายน ที่ผ่านมานี่เองเธอได้รับซองของเอกสารฉบับหนึ่ง เอกสารฉบับนั้นคือตั๋วเครื่องบินเดินทางเที่ยวเดียว มายังเมืองแอนโชเรจแห่งนี้ ไม่มีอะไรอื่นอีกแม้แต่จดหมาย หรือแม้แต่โน้ตสั้น ๆ สักตัว, แต่ทว่า การได้รับตั๋วเครื่องบินนั้นก็ยังความกระจ่างแจ้งให้เธอเกินพอแล้ว เพราะมันเท่ากับบอกให้รู้ในทันทีว่าริคต้องการให้เธอเดินทางมาอยู่กับเขา ความหวาดหวั่นพรั่นใจมาตลอดที่ว่า นิคอาจจะหมดรักเธอแล้ว หายไปจากใจทันที และบัดนี้แชนนอนก็ได้ออกเดินทางมาสู่อ้อมแขนของริคแล้ว
สาวน้อยต้องใช้เวลาอยู่เกือบอาทิตย์ที่จะจัดข้าวของและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในครั้งนี้...เข้าของบางชิ้นก็เอาติดตัวมาได้ แต่บางอย่างก็ต้องจัดเตรียมส่งมาทางเรือ สำหรับพ่อกับแม่นั้นจะบินตามมาในปลายสัปดาห์หน้า เพื่อร่วมในพิธีสมรส, และท่านทั้งสองก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า เธอกับริคนั้นคลั่งพอกันทั้งคู่ที่ยอมละทิ้งชีวิตความเป็นอยู่อันสุขสบาย อากาศที่แสนจะอบอุ่นในเมืองกัลฟ์ โคสท์ ของเท๊กซัสมาอยู่ในเมืองที่เย็นเยียบแห่งอลาสก้าเช่นนี้ แต่แชนนอนคิดว่าตัวเองเข้าใจความคิดของริค โดยเฉพาะในเรื่องของการเป็นคนที่ชอบผจญชีวิตได้เป็นอย่างดี รวมทั้งความปรารถนาใคร่จะได้เป็นนักบุกเบิกชาวอเมริกันรุ่นสุดท้ายอีกโสดหนึ่งด้วย
และด้วยความมุ่งมั่นที่จะได้ร่วมชีวิตกับเขาทำให้เธอมีความเห็นคล้อยตามคู่หมั้นอยู่มาก แต่ขณะเดียวกัน สาวน้อยก็ยอมรับกับความจริงที่ว่ามันอาจจะได้เป็นสวรรค์อย่างที่คิดฝันไว้ว่าจะได้เห็นอยู่
แม้ว่า พ่อกับแม่จะได้ทำในทุกสิ่งทุกอย่างอันจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตั้งใจจะกีดกันมิให้ลูกสาวต้องเดินทางมาหรือโยกย้ายมาพำนักพักพิงในเมืองอื่น แต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยปากห้ามตรง ๆ, เมื่อมาถึงวัย 23 เช่นนี้แล้ว แชนนอนก็ไม่จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นในเรื่องของการเลือกคู่อีกต่อไป และเธอก็หมั้นหมายกับริคมา
กว่าปีแล้วด้วย ดังนั้นการแต่งงานของเธอจึงมิได้เกิดขึ้นเพราะความงมงายอย่างแน่นอน
บัดนี้ ช่วงเวลาที่เธอจะได้พบกับคู่หมั้นใกล้เข้ามาเต็มที เพราะเครื่องบินเคลื่อนใกล้ตัวอาคารสนามบินเข้ามาแล้ว เมื่อสัญญาณเตือนขึ้นให้ปลดเข็มขัดนิรภัยออกได้สว่างวูบหนึ่ง แชนนอนก็ก้มลงดึงกระเป๋าเดินทางใบเล็กออกมาจากใต้ที่นั่ง ดึงเสื้อคลุมขนสัตว์สีน้ำเงินเข้มจากชั้นวางของเหนือศีรษะ แล้วจึงได้เข้าคิวกับคนอื่น ๆ เพื่อลงจากตัวเครื่อง
นอกจากสัมภาระที่ใส่อยู่ในกระเป๋าที่คล้องไหล่ไว้, กระเป๋าเดินทาง และเสื้อคลุมตัวหน้าหนักแล้วแชนนอนรู้สึกเหมือนตัวเองเกือบจะลอยละล่องตัวปลิวออกไปได้ มองตรงไปยังผู้คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่มายืนรอรับผู้โดยสารคนอื่น ๆ อยู่ตรงบริเวณประตูทางออก สอดส่ายสายตาหาร่างสูง ๆ สะโอดสะองของริค โดยเฉพาะศีรษะที่ปกคลุมไว้ด้วยเส้นผมสีบลอนด์เข้มที่เคยคุ้นตา ทุกใบหน้าที่มองตอบมาบอกถึงความสนใจ และหวั่นไหวในรูปโฉมของเธออยู่ ยามที่เธอพยายามสอดส่ายสายตาหาริคในท่ามกลางคนแปลกหน้าเหล่านั้น
เมื่อเธอมิได้พบหน้าค่าตาของเขาในทันทีเหมือนที่ได้มุ่งหวังตั้งใจไว้แต่แรก ฝีเท้าของแชนนอนก็ลดความเร็วลง ซึ่งทำให้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่เดินตามหลังมาต้องพลอยชะงักตามกันไปด้วย ก่อนที่เธอจะเดินออกจากแถวและสอดส่ายสายตาหาริคต่อไปอีก แววในดวงตาที่รุ่งโรจน์เป็นประกายอยู่เมื่อครู่หม่นลงด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจและสับสน เพราะริคไม่ได้อยู่บริเวณนั้นเอาเลยจริง ๆ ไม่ว่าเธอจะกวาดสายตาหาสักเท่าใดก็ตาม แชนนอนยืนรีรออยู่ตรงช่องทางเดินด้านนอก จนกระทั่งผู้โดยสารทุกคนลงจากเครื่องบินหมดแล้ว และแต่ละคนนั้นบ้างก็มีผู้มารับ หรือมิฉะนั้นก็เดินเลยไปรับกระเป๋าแล้วแต่ริคก็ยังไม่มาอยู่นั่นเอง
เธอได้ส่ง่โทรเลขล่วงหน้า แจ้งวันเวลาที่จะมาถึงไว้อย่างชัดเจนแล้ว...ก็แล้วมันเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาเล่า ?...แชนนอนเดินตามผู้โดยสารคนอื่น ๆ เข้าไปรับกระเป๋าตามระเบียบ, และความคิดที่ว่าริคอาจจะไปรอเธออยู่ตรงนั้นก็ได้ ทำให้สาวน้อยเร่งฝีเท้าขึ้น
แต่ ณ ที่นั่งก็ยังไม่มีริคอยู่ดี มิได้มาจอดรถรออยู่บริเวณนั้นด้วย, แชนนอนซึ่งขณะนี้มีกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ถึง 3 ใบรายล้อมอยู่ เดินไปหยุดอยู่ใต้ชายคา มองออกไปในแสงสีเทาและกลุ่มเมฆทึบทมึนที่กำลังเคลื่อนตัวต่ำลงมา เหมือนจะปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างไวอย่างใจคอไม่ดีนัก
เธอพยายามที่จะไม่แสดงความวิตกกังวลในความผิดหวังครั้งนี้ออกมาให้ปรากฏ พบข้ออ้างที่จะอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงไม่มารอรับเธอได้ บางที...อาจจะเป็นเพราะเขากำลังทำงานหนัก ไม่อาจจะปลีกตัวมารับเธอได้แต่เขาก็น่าจะฝากบอกอะไรไว้กับเจ้าหน้าที่ของสายการบินให้เธอรู้บ้าง ถ้าเช่นนั้นสาเหตุที่สร้างความผิดหวังให้เธอในครั้งนี้ก็เห็นจะเหลืออยู่อีก 2 ประการ คือมันจะต้องมีความผิดพลาดในโทรเลขที่เธอส่งมาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง อาจจะบอกเวลาการมาถึงที่ผิดพลาดไป, หรือมิฉะนั้น ริคอาจจะไม่ได้รับเลยด้วยซ้ำ...แต่ทว่าริคเองนี่นาที่มุ่งหวังตั้งใจจะได้พบเธอ...เขาเป็นคนส่งตั๋วเครื่องบินให้เธอเดินทางมาเอง...