บท
ตั้งค่า

บบที่๕...เหตุการณ์ชวนสงสัย (๒)

ทุกค่ำคืนสามีไม่ปล่อยให้หล่อนได้โดดเดี่ยว เพียงแค่ขึ้นมาบนเตียงก็จับคนรักลอกคราบแล้วเริ่มกิจกรรมยามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว เขาเล้าโลมจนเธอครางไม่ได้ศัพท์ สัมผัสทุกตารางนิ้วบนเรือนร่างงดงาม วิมาลามีความสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานได้ดี แต่ร่างกายที่กอดรัดกันกลับร้อนผ่าวจนเหงื่อซึมตามไรผม หล่อนแอ่นบั้นท้ายขึ้นเพื่อรับความแข็งขืนที่เข้ามาจากด้านหลัง นอนคว่ำหน้าลงบนเตียงนุ่มพลางกำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น เม้มปากยามที่เกือบจะเผลอหลุดเสียงคราง

ไม่น่าเชื่อว่าร่างหนาอายุจะขึ้นต้นด้วยเลขสี่ เพราะเขาแข็งแรงจนเป็นเธอที่เหนื่อยหอบเพียงแค่ผ่านไปรอบเดียว และเรากำลังต่อรอบสองด้วยท่าที่แตกต่าง

“เร็ว เร็วอีกค่ะอาชาน์” เปิดปากแล้วแอ่นบั้นท้ายสูงกว่าเก่า ทำให้เขาเข้ามาลึกกว่าเดิม เสียงกระทบของเนื้อแรงและเร็วตามที่หญิงสาวขอร้อง ทรวงอกสาวเคลื่อนไหวตามแรงโยก ขณะที่เสียงของเธอก็หาดห้วงเช่นเดียวกัน

ไม่นึกเลยว่าเขาจะมอบความหฤหรรษ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ พาเธอก้าวเข้าไปแตะขอบก้อนเมฆนุ่มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พบดาวพร่างพราวในห้วงอวกาศอันมืดดำไม่รู้กี่รอบ ความสุขเป็นเช่นไรหล่อนได้พานพบเพราะเขา

จนนึกหวงแหนช่วงเวลานี้ คิดว่าถึงตนจะไม่ใช่อรลภัสญาตัวจริง แต่เขาก็คงต้องหลงใหลในรูปกายของเธอบ้างล่ะ จึงพยายามตามใจชายหนุ่มทุกอย่าง...หวังมัดใจเขาไว้ด้วยท้วงท่าและลีลาที่ไม่ประสา

“อยากได้เร็วอีกไหมคะ” จับสะโพกมนแล้วขย้ำเมื่อนึกหมั่นเขี้ยว ถามคนที่กำลังร่วมรักแต่ก็ยังเพิ่มความเร็วจนหัวมนสั่นคลอน กระนั้นหล่อนก็ยังขอร้องเขาไม่หยุด พลางส่งเสียงครางคลอไปกับกิจกรรมที่เรากำลังมีร่วมกัน

“ขอแรงกว่านี้ได้ไหมคะ อ่ะๆ” ปากหยักยกยิ้มเอ็นดูภรรยา เขาจึงเอ่ยหยอกล้อ ดูเหมือนวันนี้ร่างบางจะขอเยอะเสียเหลือเกิน

“ถ้าแรงกว่านี้อากลัวว่าขาเตียงของเราจะรับแรงโยกไม่ไหวน่ะสิ” แค่นี้เขาก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียง คล้ายว่าจะรับน้ำหนักไม่ไหวแล้ว สงสัยคงต้องเปลี่ยนเตียงใหม่ให้สามารถรับแรงได้มากกว่านี้ ต่อให้เสียเป็นแสนก็ยอม

ขอเพียงได้ขย่มคนรักตามใจตัวเอง...ดูเหมือนว่าหญิงสาวเองก็จะชอบเช่นเดียวกัน

“อีกนิด อีกนิดนะหนูพริม” บอกเพื่อให้เธอรอรับแรงกระแทกครั้งสุดท้าย เขาเร่งความเร็วให้มากกว่าเดิม หญิงสาวหายใจแทบไม่ทันทำได้เพียงร้องครางเสียงหลง ตอดรักความเป็นชายจนสุดท้ายเขาก็เติมเต็มความอบอุ่นให้หล่อนมากกว่าเดิม

“อ่า!” ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วค่อยทรุดกายนอนเต็มร่าง เอียงศีรษะไปทางซ้ายแล้วหอบหายใจเหมือนวิ่งมาราธอน ไม่สนใจจะเช็ดหรือทำความสะอาดน้ำที่เปื้อนตามง่ามขา จนเจ้าของน้ำรักต้องหากระดาษทิชชู่มาเช็ดให้เธอ

“อามีความสุขที่สุดเลย” เขาทำอย่างอ่อนโยน แล้วโน้มลงจุมพิตที่แผ่นหลังงาม ไล่มาเรื่อยๆ ก่อนคลอเคลียที่ซอกคอหอมกรุ่น ขึ้นมานอนกอดภรรยาเอาไว้ ขณะที่เธอก็หันกายเข้าหาเขา โอบกอดร่างหนาด้วยความรัก

เพลงรักบรรเลงจบไปแล้วแต่ความรู้สึกยังเต็มตื้น ดวงตากลมมีน้ำใสคลอแล้วรีบซุกหน้าลงบนอกแกร่ง เธอหวงแหนเขาไม่อยากให้ใครได้รับความรักจากชายหนุ่ม อยากเก็บความรักทั้งหมดเอาไว้เพียงผู้เดียว

ความอ่อนโยน ความห่วงใย ความอบอุ่น...อยากครอบครองเอาไว้ทั้งหมด

“อาชาน์คะ” ดวงตากลมเหม่อลอยขณะที่เรียกสามี กระชับกอดเขาแน่นกว่าเดิม จนร่างสูงต้องหันมากอดเธอทั้งสองมือ

“ว่าไงคะ”

“พริมเป็นคนสำคัญของอาหรือเปล่า” เงยหน้าแล้วถามด้วยแววตาวาว เขาเห็นอย่างนั้นก็นึกสงสัยว่าหญิงสาวเป็นอะไร เหตุใดจึงคล้ายจะร้องไห้ หล่อนอยู่ในช่วงอ่อนไหวทางอารมณ์อย่างนั้นหรือ แต่ปิญชาน์ก็เลือกตอบตามความจริง

“หนูพริมสำคัญที่สุด หนูพริมคือคนที่อายกให้เป็นที่หนึ่งของหัวใจ อาให้หนูพริมหมดทุกอย่างขนาดนี้ยังไม่มั่นใจอีกเหรอคะ” คนที่เขาเห็นตรงหน้า เธอไม่รู้แล้วว่าชายหนุ่มกำลังหมายถึงใครกันแน่

อรลภัสญาตัวจริง...หรืออดีตคนรักที่ตายจาก

“พริมรักอาชาน์” เธอบอกรักเขาแล้วยืดกายหอมแก้มสาก ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็ตื้นตันและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่คิดว่าจะได้ยินเธอบอกรักด้วยแววตาจริงใจขนาดนี้ จึงโน้มศีรษะมาจุมพิตที่หน้าผากมน แช่ค้างไว้อย่างนั้นพลางพึมพำเสียงเบา

“อาก็รักหนูพริมค่ะ รักหนูพริมคนเดียว...” ปลายประโยคเสียงขาดหาย คล้ายว่าเขากลืนลงคอยามมีดวงหน้าหวานของใครอีกคนผุดขึ้นมาในห้วงความคิด

ผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจ...

“ถ้าพริมมีลูกให้อาชาน์ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไหมคะ” เห็นสามีนิ่งเงียบ หล่อนจึงรีบถามถึงความน่าจะเป็นที่เพิ่งคิดออก หากมีโซ่ทองมาคล้องพวกเราเอาไว้ก็น่าจะดี วันหนึ่งถ้าความจริงเปิดเผยเขาก็คงเอ็นดูเธอบ้าง

“ถึงหนูพริมไม่มีลูกให้อา เราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไปค่ะ หนูพริมไม่ต้องกลัวว่าอาจะทิ้งหรือยกคนอื่นขึ้นมาเหนือหนูพริมนะ เพราะอาไม่เคยคิดจะมีใคร...หนูพริมจะเป็นภรรยาของอาแค่คนเดียว ตั้งแต่วันนี้และตลอดไป” คำพูดของเขาหนักแน่นจนเธอเชื่อสนิทใจ เสียแต่ว่าตนไม่ใช่อรลภัสญาตัวจริง

“ค่ะ”

“กลายเป็นเด็กน้อยคิดมากตั้งแต่เมื่อไหร่นะ” กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ถามเธอด้วยความเอ็นดูเพราะไม่เคยเห็นหล่อนเป็นแบบนี้มาก่อน

“พริมคงโลภมากมั้งคะ พริมรักอาชาน์ รักมากขึ้นทุกวันเลยอยากให้อาชาน์รักพริมบ้าง อยากเป็นคนที่สำคัญของอาแค่คนเดียว พริมไม่รู้ว่าตัวเองขอมากไปหรือเปล่า” อ้อนเขาหวังให้อีกฝ่ายบอกรักอีกครั้ง อยากครอบครองชายหนุ่มคนนี้

ถึงรู้ดีว่าเขาไม่ใช่ของตน

และคงไม่มีวันเป็นของเธอ...

“ไม่มากค่ะ เรื่องแค่นี้อาทำให้เมียของอาได้” ยิ้มกว้างก่อนจะอุ้มภรรยาเข้าห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกาย เธอยินยอมให้เขาลูบคลำร่างกายของเธอได้ตามใจ จ้องดวงหน้าคมด้วยความคิดที่มีแต่ความกังวล

‘ถ้าวันหนึ่งคุณรู้ว่าฉันไม่ใช่คุณพริม แต่ชื่อพริกแกงเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง คุณยังจะรักฉันหรือเปล่า’

เพิ่งเคยมางานการกุศลครั้งแรกจึงยังทำตัวไม่ค่อยถูก หล่อนถูกจับแปลงโฉมเกือบสามชั่วโมงจนกลายเป็นสาวผู้เพียบพร้อม ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ยิ่งได้ควงคู่มากับสามีที่เป็นนักธุรกิจชื่อดัง ทำให้ทุกสายตาแทบจะจับจ้องตลอดเวลา

งานไวน์ดินเนอร์เพื่อมอบรายได้เป็นทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้ แม้จะเป็นงานการกุศลแต่ทุกคนกลับประโคมเครื่องเพชรมาประชันตั้งแต่หน้างาน จนเธอต้องจับแขนสามีเอาไว้แน่น เกรงว่าจะเผลอหลุดกริยาแปลกๆ

“เป็นอะไรคะ” มาถึงหน้างานที่เป็นห้องจัดเลี้ยงสุดหรูของโรงแรม

เขาจองที่นั่งสำหรับสองคน มอบเงินหลายหมื่นและบริจาคเพิ่มเพื่อทำการกุศล โดยไม่ลืมใช้ส่วนนี้เพื่อขอลดหย่อนภาษี ชายหนุ่มถูกคนรอบข้างสรรเสริญถึงความใจบุญ แต่ทุกโครงการที่เขาทำมักมีผลประโยชน์แอบแฝงเสมอ

“เปล่าคะ...” ส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้มจืดเจื่อน ตื่นเต้นกับงานหรูหราที่มาเป็นครั้งแรก คิดในใจว่าต้องเกาะติดกับเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นตนแย่แน่

“เราเข้าไปข้างในกันเถอะ คนอื่นรอแย่แล้ว”

เข้ามาภายในงานที่จัดโต๊ะแบบเชฟ เทเบิล หันโต๊ะเข้าสู่ครัวของเชฟที่มาทำอาหารให้เห็นกันสดๆ พร้อมกับตู้ไวน์ที่จัดมาทุกประเทศและต่างราคา ซึ่งดูแล้วเป็นไวน์รสชาติดีราคาสูงทั้งนั้น แค่มองบรรยากาศก็ทำเอาวิมาลาถึงกับปาดเหงื่อ

เธอจะรอด...วันนี้ต้องรอด!

เพียงแค่พวกเขาก้าวเท้ามาข้างใน ทุกสายตาก็จับจ้องแล้วรีบเดินเข้ามาทักทาย โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนของปิญชาน์ที่หล่อนเคยเห็นวันงานแต่ง จึงทำเพียงส่งยิ้มให้พวกเขาอย่างทั่วถึง

“คนดังมาแล้ว ข้าวใหม่ปลามันควงกันเข้างานอย่างนี้ไม่เกรงใจคนโสดบ้างเลยนะครับ” พอเห็นว่าสาวสวยควงแขนสามีก็รีบเอ่ยล้ออย่างรวดเร็ว เขายิ้มเต็มปากด้วยความภาคภูมิใจ เหลียวมองคนข้างกายแล้วค่อยตอบเพื่อน

“หาบ้างสิ แม่นายบอกว่าควงสาวไม่ซ้ำหน้า...ลงหลักปักฐานได้แล้วอายุไม่ใช่น้อย หาคนที่เหมาะสมอย่างฉันกับหนูพริมสิ” หล่อนได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง

คนที่เหมาะสมกับเขา...ไม่ใช่เธอ

“หึ อวยตัวเองเก่งชะมัด อย่างนายเขาเรียกดวงดี ได้สาวงามที่เพียบพร้อมไปครอง แต่ฉันไม่รู้จะโชคดีอย่างนายหรือเปล่า” ไม่ว่าจะมองด้านไหนทั้งสองก็เหมาะสมกันไปหมด ไม่เสียแรงที่ปิญชาน์เฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักว่าที่เจ้าสาวตั้งแต่หล่อนยังเรียนไม่จบ

เติบโตเป็นสาวงามอย่างที่ชายหลายคนหมายปอง จึงนึกอิจฉาเพื่อนสนิทที่มองการณ์ไกลเช่นนี้

“ได้ข่าวว่าโปรเจครถไฟฟ้ามีปัญหาเหรอ” เพื่อนอีกคนเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง แต่เขาก็ยักไหล่แล้วพูดอย่างไม่ยีหระ

“นิดหน่อย แต่แก้ไขได้” ทุกงานมีปัญหา เขาก็ทำได้แค่ต้องหาทางแก้ไข

“แล้วเรื่องที่เราเคยคุยกันเกี่ยวกับโปรเจคคาสิโนล่ะ นายไม่สนใจเหรอ”

“ฉันไม่ค่อยมีดวงกับเรื่องพนันเท่าไหร่ แค่ที่มีในมือก็ดูแลไม่หมดแล้ว นายยังจะชวนฉันไปสร้างงานเพิ่มอีกหรือไง ให้ฉันมีเวลากับเมียบ้างเถอะ” ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับพวกอบายมุขเท่าไหร่ ได้ไม่คุ้มเสียหากขัดแข้งขาภายใน

แต่จะให้พูดตามตรงก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายบ้าง จึงตอบเลี่ยงแล้วหันไปมองภรรยาที่ส่งยิ้มให้เขาเช่นเดิม เพื่อนคนอื่นเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งหมั่นไส้มากขึ้น

“ไม่ยักรู้ว่านายเป็นคนติดเมียขนาดนี้”

“สำหรับฉัน...หนูพริมสำคัญที่สุด”

“โห่ หมั่นไส้คนมีความรัก” หล่อนหลุดยิ้มเขินกาย ฟังผู้ชายคุยกันไปเรื่อยแล้วก็ทำได้แค่เงียบ เพราะตนฟังพวกเขาพูดเรื่องธุรกิจที่ความรู้ของเธอแทบจะเป็นศูนย์ไม่รู้เรื่อง พอดีหันมองอีกฝั่งก็เห็นคนกวักมือเรียก จำได้ทันทีว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของอรลภัสญา

“พริมขอตัวไปหาเพื่อนก่อนนะคะ”

“ค่ะ” เขาพยักหน้าอนุญาต เพราะอย่างไรงานก็ยังไม่เริ่ม ให้หล่อนไปพูดคุยกับเพื่อคลายเหงาก็ยังดี

สาวสวยก้าวเข้ามาหาเพื่อนที่ยืนรวมกลุ่มกันสี่ห้าคน ยกมือทักทายแบบเป็นกันเองถึงใจจะเต้นไม่เป็นจังหวะ กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับพิรุธได้ว่าตนไม่ใช่ตัวจริง ทว่ายังทำใจดีสู้เสือ คิดจะประหยัดคำพูดให้ได้มากที่สุด

“หน้าตาอิ่มเอิบเลยนะคุณผู้หญิง...นี่สินะที่เขาเรียกว่าราศีคุณนายจับ ประกายวิ้งวับจนแสบตา” คำหยอกล้อทำเอาวิมาลายิ้มเขินพลางปัดป้องมือเล็กน้อย

“ไม่ขนาดนั้นหรอก”

เธอมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้อยู่ในสถานะภรรยาของปิญชาน์ ผู้ชายแสนอบอุ่นที่มองตนด้วยแววตาหวานเชื่อม ถึงแม้จะต้องอยู่ในคราบของหญิงสาวอีกคนก็ตาม

“ผู้หญิงพวกนั้นมองเธอตาขวางเลย เป็นอย่างนี้มาตลอด คงอิจฉาเพราะอยากได้คุณปิญชาน์จนตัวสั่น ดีนะที่เขาไม่เคยวอกแวกมองใคร มองแค่เธอคนเดียว”

เหลือบมองไปทางผู้หญิงที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด จ้องเธอตาแข็งก็รีบหันกลับ เชื่อว่าอย่างไรสามีของตนก็คงไม่มองคนกลุ่มนั้นแน่นอน

“ชมจนฉันจะลอยแล้ว ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ” รีบปลีกตัวเพื่อไปสงบสติอารมณ์ หล่อนมือชื้นเหงื่อกลัวว่าความจะแตก เห็นพนักงานเสิร์ฟที่เดินผ่านคล้ายเพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกัน ดวงหน้าหวานซีดเผือดจนเผลอก้าวถอยหลัง

“ตามสบายเลย”

รีบปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่คิดว่าพนักงานเสิร์ฟของที่นี่จะเป็นเพื่อนในชั้นเรียนของตน หญิงสาวกลัวเหลือเกินว่าความจะแตก จนมาส่องกระจกแล้วเห็นว่าคนตรงหน้าไม่เหมือนพริกแกงสักนิด สูงส่งและเลอค่า...

คงไม่มีใครจำได้หรอก อย่าเป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยเลย

“เฮ้อ...ขอให้วันนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีเถอะ” บอกตัวเองอย่างนั้นแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่วงท่ามั่นใจ แต่แล้วกลับมีคนที่รีบเดินจนไม่ดูทางมาชนไหล่เธอ อีกฝ่ายจึงค้อมศีรษะแล้วเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็ว

“อ่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” บอกปัดแล้วคิดจะเดินหนีเข้างาน ทว่าแขนเรียวถูกจับเอาไว้ พร้อมเรียกชื่อที่หล่อนไม่อยากได้ยินสักนิด!

“พริกแกง! พริกแกงใช่ไหม ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ แถมแต่งตัวดีด้วย”

ชาไปทั่วลำตัวแล้วผินมองรอบข้าง โชคดีที่ไม่มีใครเดินผ่านจึงไม่มีคนเห็นหรือได้ยินชื่อนั้น อุตส่าห์หลีกหนีออกมาแล้วยังพบกันอีก

“ฉันชื่อพริมค่ะ ไม่ใช่พริกแกง...คุณคงจำคนผิดแล้วล่ะ” รีบสะบัดแขนทิ้ง พลางผินหน้าไปทางอื่นและแสดงสีหน้าไม่ชอบใจ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงเดินตามก่อนจะหยุดตรงหน้า

“ไม่ผิด ฉันจะจำเพื่อนที่เรียนด้วยกันตั้งแต่ประถมถึงมัธยมผิดได้ไงล่ะ ฉันเห็นหน้าแกบ่อยกว่าหน้าพ่อแม่ตัวเองอีก” เชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง จนเพ่งมองดูให้ดีถึงเห็นความต่าง กระพริบตาปริบมองจนใจของวิมาลาหล่นไปอยู่ตาตุ่ม

วัวสันหลังหวะเป็นอย่างไรวันนี้เธอรู้ซึ้งแล้ว...

“อ่ะ...แกไปทำหน้ามาหรือเปล่า เปลี่ยนไป...”

“หนูพริม” ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีเสียงดังขึ้น เธอจึงหันไปมองแล้วรีบเดินไปหาสามี ไม่รู้ว่าเขามายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ยินหรือเห็นอะไรมากน้อยแค่ไหน

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เดินเข้ามาหาหล่อนแล้วปรายตามองพนักงานเสิร์ฟ ร่างบางจึงรีบเดินไปกอดแขนเขาอย่างรวดเร็ว

“พริม...ไม่ใช่พริกแกงเหรอ” หญิงคนนั้นถามอีกครั้งด้วยแววตาสับสน วิมาลาหน้าถอดสีไม่ได้ตอบอะไรแล้วรีบดึงสามีให้เข้างานด้วยกัน เกรงว่าหากอยู่ที่นี่นานกว่านี้เขาอาจสงสัยก็ได้

“เปล่าค่ะอาชาน์ เขาแค่จำคนผิด เราเข้าไปในงานกันเถอะค่ะ”

“พริกแกง...คือใครเหรอคะ” แต่เดินยังไม่ถึงไหน ร่างหนากลับเอ่ยขึ้นจนเธอเสียววาบทั่วแผ่นหลัง

ไม่กล้ากระทั่งจะหันไปมองคนข้างกาย...

เธอควรตอบว่าอย่างไรล่ะ บอกเขาไปตามตรงอย่างนั้นหรือว่าตัวเองคือพริกแกง ไม่ใช่หนูพริมของอาชาน์...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel