บบที่๕...เหตุการณ์ชวนสงสัย (๑)
๕
เหตุการณ์ชวนสงสัย
หัวใจของหล่อนเต้นเร็วราวกับผ่านการวิ่งมาราธอนกว่าสามสิบกิโลเมตร ทั้งที่ความจริงยืนนิ่งไม่ได้ไปไหน ทำเพียงแค่จ้องมองดวงตาคมที่ได้สบอยู่ทุกวัน วันนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกอย่างราวถูกจัดสร้างเอาไว้เพื่อให้เขามาพบหล่อน
กับคุณยายที่นั่งอยู่บนรถเข็น!
วิมาลาลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มือสั่นจนต้องประสานไว้ที่หน้าขา ผ่อนลมหายใจเข้าออก ค่อยแย้มยิ้มมุมปากถึงจะดูฝืนมากแค่ไหนก็ตาม หล่อนไม่ทราบว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สมองเบลอจนคิดอะไรไม่ออก
กลัวเพียงอย่างเดียวว่าความจริงจะถูกเปิดเผย หากเป็นเช่นนั้นตนต้องแย่แน่ แล้วควรทำอย่างไรเพื่อให้พ้นจากเหตุการณ์น่าอันตรายไปได้...
ก้มมองคุณยายที่นิ่งเงียบไม่พูดจา คล้ายว่ากำลังใช้ความคิดบางอย่าง จึงรีบเดินมาหยุดตรงหน้าท่านประธานที่เป็นสามีของตน พร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มประดับดวงหน้าเสมอ แต่มันไม่ได้หวานเหมือนทุกครั้ง
แววตาของหล่อนกำลังสั่นไหว เหมือนตกอยู่ในความกังวล...
“อา อาชาน์มาที่นี่ได้ยังไงคะ” พยายามเอาตัวบังคุณยายไว้ เลือกบีบมือของตัวเองไว้แน่นเมื่อสัมผัสได้ถึงอาการสั่นและเย็นเชียบ เสียงหัวใจเต้นดังก้องหูจนกลัวว่าคนตรงหน้าของหล่อนจะได้ยินไปด้วย
“อามาหาเพื่อนค่ะ อาจำได้ว่าตอนเช้าบอกหนูพริมแล้วไม่ใช่เหรอ...นึกว่าหนูพริมมาหาอาซะอีก ไม่ได้มาหาอาเหรอคะ” คำตอบของสามีทำให้หล่อนนึกย้อนไปถึงช่วงเช้าที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน
ปิญชาน์มักรายงานหล่อนเสมอว่าวันนี้จะไปไหนทำอะไรบ้าง เธอก็ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้างเพราะกำลังหลงรูปลักษณ์แสนหล่อเหลา พร้อมพรรณนาชมความเสมอต้นเสมอปลายของสามีในใจ นึกอิจฉาอรลภัสญาตัวจริง
หากเธอเป็นหญิงสาวจะไม่หนีไป...
แต่จะพยายามทำให้หัวใจอันแสนหนาวเหน็บของหนุ่มผู้นี้รักตนให้ได้ เขาต้องลืมเลือนคนในอดีตแล้วมีเพียงแค่หล่อนผู้เดียว
เหมือนว่าตอนนี้ความรู้สึกของวิมาลาจะถลำลึกเกินไปแล้ว เพราะหญิงสาวเริ่มหลงรักคนที่ไม่ควรรัก
“ค่ะ พริม มา มาหาอา” พยักหน้าทันทีแล้วพยายามยิ้ม แต่มันดูเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความจริงใจสักนิด แต่ปิญชาน์เลือกจะเงียบไม่ได้เอ่ยออกไป เขาจำได้ว่าเห็นหล่อนกำลังคุยกับคุณยายที่นั่งรถเข็น แต่ไม่อาจได้ยินว่าคุยเรื่องอะไรกัน
ก้มมองมือบางที่สั่นไหว จากนั้นจึงเหลือบสายตามองคุณยายที่ไม่คุ้นหน้าสักนิด ดวงหน้าคมยังคงเรียบเฉยไม่ได้แสดงอาการหรือปฏิกิริยาใด นอกจากถามภรรยาเสียงเรียบ ไม่ได้ติดใจสงสัยมากเท่าไหร่นัก ทว่าหัวใจกลับนึกกังขา
ราวกับว่าหล่อนกำลังปิดบังเรื่องบางอย่าง...
แต่เขากลับไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร
“หนูพริมรู้จักกับคุณยายเหรอ” สายตาที่หล่อนมองคนสูงวัยมันผูกพันอย่างน่าประหลาด จึงถามเพื่อคลายความสงสัย แต่กลับทำให้ร่างแบบบางน้ำท่วมปาก เผยอปากค้างอยู่อย่างนั้นไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
หล่อนไม่อาจบอกความจริงกับร่างสูงได้ แต่ก็ไม่อยากพูดโกหกคำโตต่อหน้ายายที่เลี้ยงตนมาตั้งแต่เด็ก ท่านคือครอบครัวเพียงคนเดียวที่เธอหลงเหลือบนโลกใบนี้ เป็นเพียงคนเดียวที่รักหลานสาวอย่างวิมาลาหมดหัวใจ โดยไม่หวังผลสิ่งใดตอบแทนเหมือนคนอื่น
“ค่ะ ไม่ คือว่า...” ยิ่งตอบเหมือนยิ่งเผยพิรุธ จนคนแก่ไม่อาจทนไหวจึงเป็นฝ่ายพูดเรื่องราวทั้งหมด
แม้จะเป็นการแต่งเรื่องก็ตาม
“ไม่รู้จักหรอกค่ะคุณ ยายจะรู้จักผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ได้ยังไง ยายมาหาหมอแต่หลงกับญาติแล้วหนูคนนี้มาช่วยพอดีค่ะ” ใบหน้าหวานหันขวับมามองท่านอย่างตกตะลึง หล่อนไม่ได้อธิบายอะไรให้ยายฟังมากนัก เพียงแค่บอกว่าต้องไปทำงานกับคนรวย แล้วอาจจะได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น
เมื่อได้มาเห็นกับตา คุณยายจึงรู้ทันทีว่าตัวเองควรทำอย่างไรจึงจะสามารถออกจากที่ตรงนี้ได้ หญิงแก่แต่งเรื่องในเวลานั้น พร้อมยิ้มขณะเอ่ยชมหลานของตัวเองอย่างแนบเนียน จนคนที่นึกสงสัยคลายข้อข้องใจ
“ให้ผมประกาศตามหาไหมครับ” รีบเสนอตัวช่วยแต่ก็ได้รับการปฏิเสธ
วิมาลากำมือแน่นไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ ดวงตากลมมีย้ำใสคลอเบ้า นึกโทษตัวเองที่ทำให้ยายต้องโกหกไปด้วย ทั้งยังไม่ได้ดูแลท่านยามเจ็บป่วยอีก อึดอัดใจจนอยากบอกความจริงให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าหล่อนก็นึกหวงแหนชีวิตในฐานะอรลภัสญา
ไม่อยากยอมรับว่าตนเริ่มจะหลงระเริงกับความสบายเสียแล้ว
ยอมเป็นตัวสำรองตลอดไป หากมันจะทำให้ได้อยู่เคียงคู่กับปิญชาน์ไปอีกแสนนาน ขอเพียงแค่เขาไม่รู้และยังรักหล่อน...
ถึงจะสูญเสียความเป็นตัวตน...เธอก็ยอม
“ไม่ต้องหรอกค่ะ มันกลับไปรอที่บ้านแล้ว”
“อย่างนี้ยายจะกลับยังไงล่ะครับ...เดี๋ยวผมให้คนรถที่บ้านไปส่งแล้วกัน จำทางกลับบ้านได้ใช่ไหม” อาการห่วงใยของภรรยาทำให้เขานึกเป็นห่วงคุณยายเช่นกัน จึงได้อาสาให้คนรถของตัวเองไปส่งอีกฝ่ายถึงบ้าน
เขาจำได้ว่าอรลภัสญาติดยายมาก หลังจากที่ท่านเสียชีวิตด้วยโรคชรา ทำให้หญิงสาวซึมเศร้าหลายเดือน คราวนี้เมื่อเจอคนแก่ที่คล้ายยาย จึงเข้ามาช่วยเหลือด้วยใจเมตตา...
คิดได้ดังนั้นก็ยิ่งเอ็นดูคู่ชีวิตของตนมากกว่าเดิม
“ไม่ต้องหรอกค่ะ!” กลายเป็นร่างบางที่ปฏิเสธเสียงดังด้วยความตระหนก หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวยิ่งกว่าเดิม
จนปิญชาน์ถึงกับตกใจ หันมามองหล่อนอย่างฉงนกับท่าทีร้อนรนผิดปกติ ทว่าไม่นานหญิงสาวก็ยื่นมือมากอดแขนหนาเอาไว้ พลางยิ้มแย้มพูดด้วยสติซึ่งหลงเหลือน้อยนิดก่อนจะพยายามเรียบเรียงคำพูดขณะที่ปากอวบอิ่มสั่นเล็กน้อย
“คุณอาต้องใช้รถไม่ใช่เหรอคะ จะให้ยืมได้ยังไงล่ะ พริมว่างพอดีเดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปส่งคุณยาย ท่านแก่แล้วพริมไม่อยากให้เดินทางคนเดียวค่ะ” รีบเดินไปจับรถเข็นของคุณยายเพื่อพาท่านออกไปข้างนอก แต่กลับมีเสียงทัดทานดังขึ้น
พร้อมเอื้อมมากอบกุมมือบางเอาไว้ จนหล่อนต้องปล่อยมือจากรถเข็นของยาย กดดันกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมาก แต่ไม่อาจแสดงออกไปได้มากกว่านี้
“ไม่ดีหรอกค่ะ ใกล้เที่ยงแล้วอาไม่อยากกินข้าวคนเดียว อาจะให้คนเรียกแท็กซี่แล้วจ่ายเงินให้เอง หนูพริมจะได้ไม่เป็นห่วงคุณยาย เอาแบบนี้นะคะ” จัดการเองเสร็จสรรพแล้วจ้องมองภรรยาเหมือนเป็นการบังคับให้เธอตอบตกลง
หญิงสาวอยากไปส่งยายด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าท่านกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่เกรงว่าหากทำเช่นนั้นคนข้างกายจะยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม สีหน้าของหล่อนแสดงออกถึงความลำบากใจ ไม่ยอมตอบสักทีจนคิ้วหนาเริ่มขมวดมุ่น
ไม่เห็นว่าจะตอบยากตรงไหน เมื่อเธอไม่รู้จักคุณยายเป็นการส่วนตัว การที่เขาจ้างคนไปส่งทั้งยังออกค่าเดินทางทั้งหมดก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
“เอ่อ”
“ค่ะ ก็ได้ค่ะ” เป็นยายที่รีบตกปากรับคำ กลัวว่าหากช้ากว่านี้จะสร้างความลำบากแก่หลานสาวของตัวเอง
ท่านพอจะเดาเรื่องทั้งหมดได้ถึงแม้ว่าวิมาลาจะไม่ได้อธิบายให้ฟัง ฐานะทางบ้านที่ยากจนและการดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ไหนจะต้องดูแลคนแก่ที่มีแต่โรครุมเร้า ไม่ว่าจะให้ทำอะไรก็คงต้องยอมทั้งนั้น นึกแล้วก็ได้แต่เสียใจที่ไม่มีเงินถุงเงินถังเลี้ยงหลานเหมือนคนอื่นเขา
ทั้งที่ควรได้อยู่ด้วยกัน แต่อีกฝ่ายกลับต้องทำเหมือนไม่รู้จัก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจแต่ยังคงยิ้มให้วิมาลาที่อยู่ในคราบของอรลภัสญาคุณหนูผู้สูงศักดิ์
ปิญชาน์ให้คนจัดการเรียกแท็กซี่เพื่อไปส่งคุณยาย บอกจุดหมายปลายทางเรียบร้อยก็ผละออกห่าง แต่ภรรยายังคงจับมือของคนชราเอาไว้ ดวงตากลมคลอด้วยน้ำสีใส แววตาคล้ายจะบอกขอโทษตลอดเวลาด้วยความรู้สึกผิด
“คุณยายเดินทางปลอดภัยนะคะ” สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงแค่นี้ อยากกอดท่านให้สมความคิดถึงก็ต้องกลั้นใจบีบมือไม่ให้หลุดแสดงกริยาน่าสงสัยไปมากกว่านี้ ต้องเล่นเป็นคุณหนูพริมให้แนบเนียนมากที่สุด ห้ามหลุดความเป็นพริกแกงเด็กสลัมออกมาเด็ดขาด
“จ้ะ ขอบคุณนะคะ” คุณยายหันมาบอกร่างสูงที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างหลัง เขาทำเพียงพยักหน้าแล้วยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ค่อยตอบรับเสียงเบาในลำคอ
“ครับ”
ร่างบางมองรถแท็กซี่แล่นออกจากหน้าโรงพยาบาล กำสายสะพายกระเป๋าแน่นแล้วกระพริบตาถี่พลางผ่อนลมหายใจ ไล่น้ำตาที่จวนเจียนจะไหลให้กลับเข้าไป เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นแล้วต้องมานั่งตอบคำถามมากมาย
ตนเกรงว่าทุกอย่างที่สร้างมาทั้งหมดจะพัง...
วิมาลาไม่อยากทิ้งบทที่ตนกำลังเล่น เพราะตอนนี้เริ่มเชื่อจริงๆ แล้วว่าตัวเองคืออรลภัสญา ภรรยาของปิญชาน์เจ้าของธุรกิจใหญ่โต เป็นที่รักของสามีและผู้คนมากมาย ฝันที่ไม่เคยเอื้อมถึงตอนนี้เป็นจริงแล้ว ถึงแม้จะต้องสวมรอยเป็นคนอื่นก็ตาม
“เราไปกินข้าวกันเถอะหนูพริม อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ อาจะได้พาหนูพริมไปกิน...หรือกลับไปกินที่บ้านไหม” คว้ามือบางมากอบกุมไว้ ยิ้มให้เธอด้วยความอ่อนโยนจนหญิงสาวต้องยิ้มตอบ
ชอบความอบอุ่นที่คนข้างกายมอบให้ รอยยิ้มหวานและคำพูดอ่อนโยน ที่เขาทำให้ตนเพียงผู้เดียว เพราะดูเหมือนว่ากับหญิงอื่น...จะได้รับเพียงความเย็นชา
หรือไม่ก็สวมหน้ากากยิ้มแย้มเพื่อคุยธุรกิจ แต่ไม่มีความเสน่หาในแววตาคม
เพราะมอบให้ภรรยาเพียงผู้เดียว...เป็นคนซื่อสัตย์กับความรักแต่เหมือนว่ารักนั้นคล้ายจะไม่ใช่ของตน
เธอไม่ได้ครอบครองความรักของเขา และอรลภัสญาก็เป็นเพียงแค่ตัวแทนของหญิงในอดีต ซึ่งชายหนุ่มไม่เคยลืมเลือนได้
“ตอนบ่ายอาชาน์มีงานไม่ใช่เหรอคะ ไม่ต้องเดินทางไปกลับหรอกค่ะ เรากินข้าวแถวโรง’บาลดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องเดินทางหลายรอบ ตอนนั่งรถเข้ามามีอาหารหลายอย่างน่ากินทั้งนั้น...พริมอยากกินส้มตำไก่ย่าง”
เริ่มคิดถึงอาหารจานโปรดของตัวเอง ไม่ได้กินมาสักพักแล้ว แค่คิดก็น้ำลายสอแต่กลับถูกสามีขัดเพราะเป็นห่วงสุขอนามัย
“อาหารข้างทางไม่สะอาด ถ้าหนูพริมอยากกินอาจะพาไปกินร้านสะอาดนะคะ” คำพูดของเขาทำให้เธอห่อเหี่ยว อยากกินร้านส้มตำข้างทางที่รสชาติถึงใจมากกว่าตามร้านอาหารที่เขาพาไป ซึ่งไม่ค่อยจะถูกใจเธอเท่าไหร่
“แต่กินข้างทางได้บรรยากาศนะคะ”
“อากลัวหนูพริมท้องเสีย ถ้าหนูพริมอยากกินข้าวที่นี่เราไปโรงอาหารของโรง’บาลดีไหมคะ อาว่าสะอาดกว่ากินข้างทางนะ” เมื่อเห็นว่าภรรยามีท่าทีคล้ายใจจะน้อยใจ เขาก็เปลี่ยนจากจับมือเป็นโอบไหล่บางอย่างรวดเร็ว ยิ้มให้หล่อนอย่างเอาใจแล้วบอกเหตุผลที่ห้าม
คุณหนูอย่างเธอไม่ค่อยได้กินอาหารข้างทางเขาจึงนึกเป็นห่วง โดยไม่รู้เลยว่าคนอย่างวิมาลากินข้าวข้างทางบ่อยแค่ไหน
“ค่ะ” สิ่งที่ทำได้คือการตอบรับเสียงอ่อน เดินเข้ามาในโรงพยาบาลแล้วทักทายบรรดาคุณหมอที่เข้ามาพูดคุยกับผู้บริหาร ส่วนเธอก็ทำได้แค่ยืนข้างกายเขา ฟังอย่างเดียวแม้จะไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างก็ตาม ผินมองเสี้ยวหน้าคมอย่างนึกหลงใหล
ถ้าได้เป็นเจ้าของเขาทั้งตัวและหัวใจก็คงจะดี...