บทที่๔...รักชื่นมื่น (๒)
“สวย สวยมากเลยค่ะอาชาน์ พริมชอบเค้กชิ้นนี้” จดจ้องเค้กสีหวานที่มีรูปปั้นของพวกเขาอยู่บนหน้าเค้กด้วยแววตาเป็นประกาย หล่อนไม่สนใจอาหารที่วางเรียงรายเพราะไม่ได้ชอบ
แต่สิ่งที่ถูกใจคือเค้กที่เขาสั่งทำพิเศษเพื่อมาฉลองกับหล่อนโดยเฉพาะต่างหาก
“อาถ่ายรูปให้นะคะ” เขาเอ่ยอาสา ซึ่งเธอก็รีบไปยืนหลังเค้กแล้วยิ้มกว้างทันที สามีบันทึกภาพผ่านกล้องฟิล์ม ช่วงเวลาที่แสนมีความสุขกับภรรยาคนสวยของตัวเอง
“เจ้าหญิงคนสวยของอา” เอ่ยชมไม่ขาดปากเมื่อเก็บภาพไปเยอะ
“ขอบคุณอาชาน์มากเลยนะคะ ไม่เคยมีใครทำให้พริมมาก่อน มีแค่อาชาน์...” ร่างแบบบางเธอมายืนตรงหน้าเขา พลางจับเอวสอบไว้เพียงหลวมๆ แล้วเอ่ยเสียงสั่นจนต้องเม้มปากเน้นกลัวจะร้องไห้
“งั้นอาคือคนสำคัญของหนูพริมใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้าทันที เขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะมนอย่างเอ็นดู แล้วค่อยยิ้มกว้างยามสบตากัน
“หนูพริมก็สำคัญกับอา สำคัญมากที่สุด...” ใบหน้าหวานที่คุ้นเคย เธอคือคนที่เขามอบชีวิตให้ทั้งหมด หมายจะครองคู่กับหญิงสาวไปจนแก่เฒ่า ขอเพียงหล่อนไม่จากไปก่อน
แค่อยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ…
“อาชาน์ขา ถ้าพริมทำผิดหรือทำให้อาโกรธ อาชาน์จะให้อภัยพริมได้หรือเปล่าคะ” เอ่ยอ้อนเสียงหวาน แล้วซบลงที่แผงอกกว้างไม่กล้าสบตาเขา กลัวชายหนุ่มจะจับสังเกตถึงความผิดปกติของตนเอง
“อาไม่เคยโกรธหนูพริม และจะไม่มีวันทำร้ายหนูพริมเด็ดขาด อารักหนูพริมมากนะคะ” คำบอกรักที่เธอได้ยินมาตลอด แต่น่าเสียดายที่ชื่อนั้นไม่ใช่ชื่อของเธอ
“อาชาน์รักพริมจริงเหรอคะ พริมที่เป็นพริมคนนี้ใช่ไหม” ถามย้ำอีกรอบแต่เขาก็หลุดหัวเราะเหมือนขำกับคำถาม
“ก็มีหนูพริมคนเดียว อาก็รักหนูพริมคนนี้แหละค่ะ” เธอรู้ดีว่าไม่ควรจี้ถามมากไปกว่านี้ จึงผละออกแล้วเดินมายังเค้กชิ้นโตเพื่อเปลี่ยนบทสนทนา
ต่อให้เสียใจแค่ไหนก็แสดงออกไม่ได้ เธอต้องเล่นเป็นหนูพริมที่เขารักให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด
“เรากินเค้กกันนะคะ”
“ค่ะ”
รอยยิ้มของปิญชาน์ที่ตนได้รับ จะยังคงอยู่แบบนี้ตลอดไปใช่หรือเปล่า
ถึงเวลาเข้านอนร่างสูงก็เตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราทันที วันนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะโอ้โลมหล่อนเหมือนอย่างทุกวัน ทว่าพอมองคนข้างกายที่ลืมตาไม่ยอมหลับก็นึกสงสัย จนต้องขยับเข้าหาแล้ววาดวงแขนโอบเอวคอด
มุมปากหยักยกยิ้มเอ็นดูภรรยาที่ทำหน้านิ่ง แต่ก็ขยับกายเข้าหาตนเหมือนเด็กน้อยต้องการอ้อน
ถึงพวกเราจะอายุห่างกันสิบแปดปี แต่ตนก็เชื่อว่าตัวเองไม่ได้แก่กว่าหล่อนมากนัก อีกทั้งไม่ค่อยมีช่องว่างระหว่างวัย เขาพยายามหาความรู้และความต้องการของเธอ เพื่อให้พวกเราเข้ากันได้
“หนูพริม...ไม่ง่วงเหรอคะ”
“ไม่ง่วงค่ะ” ส่ายศีรษะแล้วสูดดมกลิ่นหอมจากกายหนา เธอรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งยามอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม
“แต่อาง่วงแล้ว” เขาเหนื่อยจากงานและพร้อมเข้าสู่ห้วงนิทราได้ทุกเมื่อ แต่เพราะไม่อยากให้ภรรยาเบิกตาค้างอยู่คนเดียวทั้งคืน จึงพยายามกล่อมหล่อนให้หลับพร้อมกัน
“อาชาน์ช่วยเล่าความรู้สึกที่เจอพริมให้ฟังหน่อยได้ไหม พริมอยากฟังความรู้สึกของอาชาน์” เธอใช้โอกาสนี้เพื่อสำรวจความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจเจตนาของหล่อน จึงเล่าย้อนไปยังวันแรกที่ได้พบกับเด็กน้อยซึ่งหน้าเหมือนแฟนเก่าของตนไม่ผิดเพี้ยน
“เหมือนอาได้เห็น...ของขวัญที่ฟ้าประทานมาให้อาคนเดียว หัวใจมันเต้นแรง ปากสั่น น้ำตาคลอ...จะเป็นลมให้ได้”
ในงานวันเกิดของอรลภัสญาที่เขาไปเป็นแขก การได้เจอหญิงสาวเหมือนกับว่าเขาได้พบแฟนเก่าที่ตนคะนึงหาอยู่ตลอด ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มเข้าหาครอบครัวประมุขกรกันต์
ใช้ทุกวิธีเพื่อให้อีกฝ่ายมาเป็นพวกตน หยิบยื่นโอกาส สร้างรายได้ให้ธุรกิจที่ซบเซา จนบุพการีของหล่อนนับถือเขาเป็นอย่างมาก ถึงขนาดยอมยกลูกสาวให้ตน
“ไม่เอาตอนเด็กสิคะ ตอนที่พริมกลับจากเมืองนอก อาชาน์รู้สึกยังไง” รีบแก้ไขทันทีเพราะอยากฟังความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ
คนที่ชื่อวิมาลา…ไม่ใช่อรลภัสญา
“คิดถึง อาคิดถึงหนูพริม” ทว่าชายหนุ่มไม่สามารถแยกความรู้สึกออกจากกันได้ เพราะอย่างไรหล่อนก็เป็นคนเดียวกัน
ยังคงเป็นหนูพริมคนเดิมของตนเสมอ
“แล้วพริมคนนี้กับพริมคนนั้น ต่างกันมากไหมคะ”
“หือ...ก็หนูพริมคนเดิมนี่คะ” ก้มมองดวงหน้าหวาน เขายังเห็นเธอเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยน จึงตอบตามที่คิด แต่ดูเหมือนหล่อนยังไม่วางใจจนต้องถามต่อเพื่อให้รู้ว่าคนที่ชายหนุ่มชอบ
คือเธอคนใหม่ หรือเป็นคนเก่า
“อาชาน์ชอบคนไหนมากกว่ากันคะ” ยังคงเค้นถามเพื่อต้องการคำตอบ แต่กลายเป็นสร้างความสงสัยแก่ชายหนุ่ม
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า” นึกห่วงหล่อนกลัวว่าคนอื่นจะทำให้เธอคิดมากเป็นกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา
หลังจากที่เขาแต่งงานใช่ว่าไม่มีผู้หญิงเข้าหา ทว่าปิญชาน์ชัดเจนมากพอที่จะปฏิเสธทุกคน
เพราะสำหรับเขาแล้ว…ต้องการมีภรรยาแค่คนเดียวเท่านั้น
คืออรลภัสญาที่หน้าเหมือนรมย์นลินจนคล้ายกับเป็นคนเดียวกัน
“เปล่าคะ แค่กลัวเสียอาชาน์ให้คนอื่น”
“อาเป็นของหนูพริมคนเดียว” กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วหลับตาเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา เขาพูดเพื่อให้เธอสบายใจแต่หญิงสาวไม่ได้รู้สึกดีขึ้นสักนิด
เธอเริ่มหวงแหนเขา อยากให้ชายหนุ่มเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว…
แต่ละวันผ่านไปด้วยการที่คุณผู้หญิงของบ้านเข้าครัวช่วยทำอาหาร อย่างเช่นวันนี้ที่หล่อนได้เรียนรู้สูตรอาหารชาววังจากคุณป้าที่เป็นแม่บ้านอยู่ที่นี่มากว่าห้าสิบปี ทำงานตั้งแต่สมัยยังเป็นสาวจนตอนนี้ผมขาวเกือบหมดหัว ก็ยังไม่คิดจะหนีไปไหน
“อร่อยมากเลยค่ะ คุณพริมทำอะไรก็อร่อยไปหมด” เมื่อเธอลองทำแกงนพเก้าให้ทุกคนชิม ต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกันพร้อมยกนิ้วโป้งให้หล่อน แต่เหมือนว่าเธอจะยังไม่ค่อยมั่นใจ
“จริงหรือเปล่าคะ ไม่ใช่แค่ยอพริมให้ดีใจเล่นหรอกนะ”
“พูดจริงค่ะ ลองให้คุณชาน์ชิมก็พูดแบบน้า” แม่บ้านอีกคนพูดขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้หล่อน แต่หญิงสาวกลับสายหน้าระอาแล้วเอ่ยถึงสามีลับหลัง
“รายนั้นให้ชิมอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ชมจนพริมจะลอยอยู่แล้ว เท้าแทบไม่ติดพื้นแหนะค่ะ” พูดจบก็สร้างรอยยิ้มให้คนที่อยู่ในครัวได้เป็นอย่างดี
“ก็คุณชาน์รักคุณพริมนี่คะ” คุณป้าแม่บ้านเอ่ยย้ำ เธอจึงทำเพียงแค่ยิ้มตอบ
เขารักอรลภัสญาต่างหากล่ะ…
หญิงสาวพยายามย้ำเตือนตัวเองเพื่อไม่ให้หลงระเริงไปกับคำว่ารัก ที่เขาบอกหญิงอีกคนไม่ใช่ตัวแทนอย่างเธอ
“นกยูงกลับมาหรือยังคะ พริมเอาไปให้นกยูงชิมดีกว่า” เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“คุณพริมลืมแล้วเหรอคะว่าโรงเรียนเปิดเทอม นกยูงมันไปเรียนหนังสือค่ะ น่าจะกลับค่ำบอกว่าจะไปอ่านหนังสือกับเพื่อน”
“อ้าว...งั้นเก็บไว้ให้นกยูงด้วยนะคะ” เธอเก็บไว้ให้ลูกสาวของแม่บ้านที่มาอาศัยอยู่บ้านดำรงฤทธิ์ ทั้งยังอายุใกล้เคียงกันจนเหมือนเป็นเพื่อน
“ค่ะ”
เท้าเรียวก้าวออกจากห้องครัว คิดจะไปอ่านหนังสือที่ห้องทำงานของสามี แต่แล้วกลับมีแม่บ้านนำโทรศัพท์ของหล่อนที่ชาร์ตไว้บนบ้านมายื่นตรงหน้า
“โทรศัพท์ค่ะคุณพริม” รับมาดูตัวเลขที่ไม่คุ้นเคย หล่อนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็เอ่ยขอบคุณคนตรงหน้าพร้อมปลีกตัวไปรับโทรศัพท์
“ขอบคุณค่ะ”
“สวัสดีค่ะ” กรอกเสียงหวานลงไป แต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงแหบทุ้มที่คุ้นเคย จนแทบทรุดลงนั่งกับพื้น มือสั่นปากสั่นทั้งยังน้ำตาคลอด้วยความคิดถึง
‘พริก พริกแกง’ ชื่อของเธอที่ไม่ได้ยินคนเรียกมาสักพัก
“ยาย!” หญิงสาวเผลอเรียกท่านเสียงดังจนต้องยกมือปิดปาก ปาดน้ำตาที่ไหลเปื้อนใบหน้า แสดงถึงความคิดถึงท่านอย่างสุดหัวใจ ไม่อาจไปเยี่ยมเยียนได้กลัวความจะแตก
ตั้งแต่บิดามารดาจากโลกนี้ไป ตนก็อยู่กับยายเพียงสองคนมาโดยตลอด ตอนนี้เธอมาทำงานให้คนอื่น ปล่อยยายอยู่บ้านคนเดียวก็เป็นกังวลอย่างมาก
จนต้องจ้างเพื่อนบ้านคอยดูแลท่านยามที่ตนไม่อาจอยู่ดูแลด้วยตัวเองได้
“ฮัลโหล ยายมีอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงได้โทรมาหาหนู ยายไม่สบายตรงไหนจ๊ะ” รีบกระซิบเสียงเบาแล้วขยับไปคุยคนเดียว มองทางซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีคนอยู่แถวนั้น
‘ยายมาโรง’บาลกับไอ้เก่ง แต่พอออกมาก็ไม่เจอมัน ยายหาทางกลับไม่ถูก...’ ได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ หญิงสาวไม่ทันฟังท่านจบก็บอกด้วยเสียงมุ่งมั่น
“หนูจะไปหายายเดี๋ยวนี้ ยายรอก่อนนะ” กดวางสายอย่างรวดเร็ว รู้ว่าท่านมาโรงพยาบาลเอกชนที่อรลภัสญาเป็นคนจ่ายเงินทั้งยังฝากฝังคุณหมอเฉพาะทางที่รู้จัก เพื่อให้ดูแลคุณยายของหล่อน
“พริมจะออกไปหาเพื่อนข้างนอก แล้วจะรีบกลับมาให้ทันอาหารเย็นนะคะ” ขึ้นมาหยิบกระเป๋าบนห้องแล้วลงมาข้างล่าง บอกแม่บ้านที่เดินผ่านด้วยความรีบ
“คุณพริมจะไปยังไงคะ”
“นั่งแท็กซี่ค่ะ” เธอไม่ทันฟังว่าอีกฝ่ายพูดอะไร เพราะรีบวิ่งไปขึ้นแท็กซี่ที่ผ่านหน้าบ้านพอดี พร้อมบอกจุดหมายปลายทางด้วยใจที่ร้อนรน
ยายของหล่อนแก่แล้วไม่อยากให้ท่านรอนาน ดีที่บอกเบอร์โทรของตัวเองเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็คิดไม่ออกเลยว่าควรทำอย่างไร แต่ที่มั่นใจคือตนต้องไปด่าคนที่หนีกลับบ้านก่อนสักหน่อยแล้ว
“ยาย ยายจ๋า” เพียงแค่รถแท็กซี่จอดก็รีบจ่ายเงินโดยไม่เอาตังค์ทอน วิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลแล้วพบยายของตนที่นั่งรออยู่บนรถเข็นใกล้ทางออก เธอน้ำตาซึมทันทีแล้วโผเข้ากอดท่านด้วยความคิดถึง ไม่สนใจสายตารอบข้างสักนิด
“พริกแกง” มองหลานสาวที่แตกต่างออกไปจากเดิม เรียกชื่อที่เธอไม่ได้ยินมานาน
รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นตัวเองอีกครั้ง…
“หลานของยายสวยเหลือเกิน สวยมากจริงๆ” ประคองดวงหน้าหวานแล้วเอ่ยชมไม่ขาดปาก เธอยิ้มกว้างมีความสุขแล้วลุกยืนเต็มความสูง เข็นรถที่ท่านนั่งไปหน้าโรงพยาบาลเพื่อจะได้กลับไปส่งที่บ้าน โดยมีแท็กซี่คันใหม่จอดรอรับผู้โดยสาร
“เดี๋ยวหนูพายายกลับบ้านนะ ยายหาหมอเสร็จแล้วใช่ไหม”
“จ้ะ” เธอยิ้มกว้างที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับยาย
ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับหดหายเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่ทักจากทางด้านหลัง ชาวาบไปทั่วสันหลังแทบไม่อยากหันกลับไปมองด้วยซ้ำ
“หนูพริม”
“อาชาน์...” แต่เขากลับเดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน จนหญิงสาวจำต้องเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน กับหัวใจที่หล่นไปอยู่ตาตุ่ม
เธอแย่แล้ว!