บทที่๔...รักชื่นมื่น (๑)
บทที่๔...รักชื่นมื่น
วิมาลาเริ่มชินกับการเป็นคุณผู้หญิงของบ้านดำรงฤทธิ์ ตื่นเช้ามาเตรียมชุดให้สามี ลงมาข้างล่างเพื่อทำอาหารกับแม่ครัว เรียนรู้สูตรขนมทั้งยังได้อ่านหนังสือในห้องทำงานของปิญชาน์ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองทั้งนั้น
หากไม่ได้มาใช้ชีวิตในฐานะอรลภัสญา คงไม่อาจสัมผัสชีวิตเช่นนี้ได้ หล่อนจึงนึกขอบคุณหล่อนที่ยื่นโอกาสมาให้ แม้ตอนแรกนึกกังวลใจจนเอ่ยปฏิเสธ ทว่าเมื่อเขาตาจนเงินมากองตรงหน้าก็จำต้องรับเอาไว้
จนถึงวันนี้ที่ได้ครอบครองทุกอย่าง ไม่ว่าจะบ้านหลังงาม เงินหลายล้านรวมทั้งผู้ชายที่รัก…
ชีวิตสมบูรณ์เพียบพร้อมจนไม่อยากให้เป็นแค่ภาพลวง เธออยากเป็นอรลภัสญาตัวจริง อยากเป็นคนที่เขารักไม่ใช่เพียงตัวแทน
ปิญชาน์ยังคงไม่ลืมรักเก่าอย่างรมย์นลินจนใช้สาวน้อยรุ่นหลานเข้ามาเป็นตัวแทน ส่วนเธอก็มาเป็นตัวแทนของคู่หมั้นเขาอีกที กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ชวนสับสน
ความรักที่ชายหนุ่มมอบให้อรลภัสญาเป็นความจริงหรือเปล่า
แล้วรักที่เขามอบให้เธอล่ะ…
มันจริงมากน้อยเพียงใด หญิงสาวไม่อาจทราบได้เลย มีเพียงเธอที่มอบความรักให้เขาอย่างง่ายดาย เพียงเพราะไม่เคยได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่เฉกเช่นปิญชาน์มอบแก่หล่อน
แม้เขาจะคิดว่าตนเป็นอรลภัสญาก็ตาม
“ฮัลโหลคุณพริม” แนบโทรศัพท์ข้างหู แล้วเอ่ยทักทายคนที่อยู่ไกลอีกซีกโลก
เจ้าของชื่อตัวจริง…
‘พริกแกง! เป็นยังไงบ้าง ฉันรอเธอโทรหาตั้งหลายสัปดาห์ แต่การที่เธอไม่โทรมาถือเป็นนิมิตรหมายอันดีว่าเรื่องของเรายังคงราบรื่น’ ปลายสายเรียกเธอด้วยชื่อที่ไม่ได้ยินมาสักพักจนเกือบหลงลืมความจริงว่าตนเป็นใคร
เค้นยิ้มหัวเราะด้วยความสมเพชตัวเอง เธอเผลอหลงละเมออยากครอบครองสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง
เสียงที่ได้ยินทำให้เธอนึกถึงวันแรกที่เราเจอกัน นึกฉงนว่าเหตุใดตนหน้าตาคล้ายคลึงกับสาวสวยคนนี้ จนอีกฝ่ายตามตื้อร้องขอความช่วยเหลือ
ต้องการใช้ชื่อของหล่อนเพื่อโบยบินออกจากกรงทอง…
ทว่าหญิงสาวตอบปฏิเสธเมื่อได้ฟังเงื่อนไขที่เหลือ เธอไม่อาจปลอมตัวเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์เข้ามาเป็นภรรยาของชายที่ไม่รู้จักได้
กระทั่งคุณยายที่เลี้ยงดูมาแต่เกิดต้องเข้าผ่าตัดขา ใช้เงินรักษาจำนวนมากซึ่งเธอไม่อาจหามาได้เพียงข้ามคืน จนมีมือหนึ่งยื่นเข้ามาช่วย พร้อมข้อเสนอเดิม
คราวนี้จึงต้องยอมตกลง ร่วมเล่นละครโรงใหญ่ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจบลง
แต่คราวนี้ต่างกันตรงที่หล่อนไม่อยากให้มันปิดฉาก ต้องการอยู่ในตำแหน่งอรลภัสญาต่อไป…
“ค่ะ ทุกคนไม่ได้สงสัย” ตอบด้วยความมั่นใจ ไม่อย่างนั้นตนคงถูกไล่ออกจากบ้านดำรงฤทธิ์แล้ว
‘แล้วอาชาน์สงสัยหรือเปล่า คนอื่นฉันไม่กลัวเท่าไหร่หรอก มีแค่อาชาน์เนี่ยแหละที่ฉันกลัว ถ้าถูกจับได้ศพไม่สวยแน่’ เธอเองก็นึกกลัวปิญชาน์สงสัยเช่นกัน
แต่ช่วงนี้ชายหนุ่มยุ่งกับงานแทบไม่มีเวลาให้ภรรยา นอกจากยามกลางคืนที่นอนด้วยกัน เขาจึงไม่ทันได้สังเกตหรืออาจไม่ใส่ใจ ถึงได้มองข้ามเรื่องเล็กน้อยทั้งหมด
เพราะเชื่อเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนเดิม…
“คุณปิญชาน์ไม่ได้สงสัยอะไรค่ะ”
‘เปลืองตัวหรือเปล่า’ คำถามชวนให้เธอชะงัก
ตั้งแต่แต่งงานและนอนห้องเดียวกัน ถ้าเขาไม่เหนื่อยจากงานจนเกินไปก็มักยุ่มย่ามกับร่างกายของภรรยา จนจบลงบนเตียงหรือห้องน้ำเพื่อเป็นการชำระกายไปในตัว จะได้ไม่เสียเวลา
ซึ่งหญิงสาวชอบมาก…เธอหลงไปกับสัมผัสเร่าร้อนที่เขามอบให้ตน
“คะ...ไม่ ไม่ค่ะ” ปฏิเสธไม่เต็มเสียง แต่ทำให้ปลายสายที่คิดกังวลพรูลมหายใจโล่งอก กลัววิมาลาจะโดนคุณอารังแก
‘ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันกลัวอาชาน์จะรังแกเธอน่ะสิ ถึงกับฉันจะสุภาพไม่แตะต้องแต่ฉันรู้ว่าอาชาน์พยายามเก็บอารมณ์รอวันแต่งงาน พอได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งใจ’
อรลภัสญาเป็นคู่หมั้นกับเขามาหลายปี เธอถูกดูแลประดุจเจ้าหญิง ไม่ว่าจะไปส่งที่โรงเรียน ไปรับกลับบ้านหรือส่งหล่อนไปเรียนพิเศษ จวบจนเข้าปริญญาตรีที่เขามักขับรถมารับด้วยตัวเอง จนเพื่อนรอบข้างหรือคนในคณะเธอต่างอิจฉาในความรักของทั้งคู่
โดยไม่รู้เลยว่าหล่อนกล้ำกลืนฝืนทนมากแค่ไหน เหมือนตนต้องเป็นคนที่ปิญชาน์ชอบ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง จึงเกิดการต่อต้านในหลายครั้ง
ซึ่งเขามักเข้าทางบุพการีของเธอ เพื่อให้จัดการหล่อนอีกครั้ง โดยที่ชายหนุ่มไม่ต้องลงมือเอง
จึงเริ่มสัมผัสถึงความน่ากลัวของความสัมพันธ์ครั้งนี้ จนต้องคิดแผนการหนี
อีกเหตุผลที่เธอต้องการหนีจากเขา เพราะตนมีคนรักอยู่แล้ว จึงไม่อยากแต่งงานไปเป็นตัวแทนของใคร
โชคดีที่ได้วิมาลาเข้ามาเป็นตัวตายตัวแทน เธอจึงหวังว่าแผนการครั้งนี้จะยืดเวลาให้ตนรอดพ้นจากการเป็นภรรยาของชายที่ไม่ได้รักสักระยะ
เพราะเธอเตรียมใจไว้แล้วว่าอย่างไรแผนก็ต้องแตก ทว่าระหว่างนั้นตนก็พยายามเตรียมเอกสาร เพื่อขอเป็นพลเมืองของประเทศมหาอำนาจ
คงพอจะทำให้ตนไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือสำเร็จความรักของปิญชาน์
“แค่นี้ก่อนนะคะคุณพริม พริกคุยนานไม่ได้ ยืมโทรศัพท์คนอื่นน่ะค่ะ” เมื่อเห็นเวลาก็ต้องรีบบอกปลายสาย เธอไม่กล้าใช้โทรศัพท์ตนเองโทรต่างประเทศเพราะกลัวร่างสูงจะนึกสงสัย
ถึงได้ใช้หน้าตาเข้าไปขอยืมโทรศัพท์จากคนที่เดินผ่าน
‘โอเค ขอบคุณมากนะพริกแกง’ กดวางสายทันทีแล้วนำโทรศัพท์ไปคืนเจ้าของ
“ขอบคุณที่ให้ยืมโทรศัพท์นะคะ นี่ค่ะเงินค่าโทร...พอดีฉันโทรต่างประเทศค่าโทรน่าจะแพง” พร้อมทั้งมอบเงินจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่ายถือเป็นค่าตอบแทน
“อ้อ ค่ะ” ตอนแรกเจ้าของเครื่องไม่คิดจะรับ แต่เมื่อได้ยินว่าโทรออกต่างประเทศจึงจำต้องรับเงินนั้นมาถือไว้ แล้วต่างแยกย้ายทางใครทางมัน
วิมาลาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วค่อยถือถุงเครื่องสำอางที่ตนแอบซื้อถึงจะไม่ค่อยจำเป็นสำหรับหล่อนก็ตาม
“คุณพริมไปไหนมาคะ น้าเดินหาซะทั่วก็ไม่เจอ” แม่บ้านที่มาด้วยกันเดินเข้ามาหาหญิงสาวด้วยท่าทีร้อนรน หล่อนจึงชูถุงเครื่องสำอางให้คนตรงหน้าดู
เตรียมข้ออ้างไว้หมดแล้วจึงไม่กังวล
“พริมไปซื้อเครื่องสำอางด้านบนค่ะ พอดีนึกออกว่าหมดเลยรีบไปซื้อไม่ได้บอกคุณน้า ขอโทษนะคะ” ตอบได้ลื่นไหลเพราะเตรียมคำพูดไว้หมดแล้ว
“น้าก็ตกใจ กลัวทำเมียคุณชาน์หาย น้าแย่เลย” หลุดยิ้มกับคำพูดของอีกฝ่าย เธอนึกอุ่นวาบในใจยามนึกถึงสถานะของตัวเอง ว่าเป็นภรรยาของปิญชาน์
เจ้าของอาณาจักรขนาดใหญ่ที่ครอบครองธุรกิจหลายประเภทในประเทศนี้
“ไม่หายหรอกค่ะ เราเดินซื้อของต่อดีกว่า” หล่อนเลือกจับรถเข็นแล้วเลือกซื้อของใช้จำเป็นเข้าบ้าน กลายเป็นคุณผู้หญิงอย่างสมบูรณ์แบบ
จนเริ่มไม่อยากกลับไปทำงานเสียแล้ว
เธอชินกับการเป็นแม่บ้านที่รอต้อนรับสามีกลับจากที่ทำงาน ความใฝ่ฝันวัยเด็กที่หายไปเพราะต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเพื่อครอบครัว
“ค่ะ”
ถึงวันนี้ที่สุขสบาย จนอยากพายายมาอยู่ด้วย…
แต่น่าเสียดายที่เธออยู่บ้านดำรงฤทธิ์ในนามอรลภัสญาไม่ใช่วิมาลา
กลับเข้าบ้านก่อนเวลาอาหารเย็น หญิงสาวช่วยแม่บ้านถือของแม้อีกฝ่ายจะเอ่ยทักทานมากเพียงใดก็ไม่เป็นผล ความเงียบที่แปลกไปจากทุกครั้งจนต้องตั้งคำถาม
ปกติหากได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดหน้ามุขต้องมีคนเดินมารับของ แต่วันนี้กลับไร้วี่แววจนหล่อนสงสัย
หายออกไปไม่กี่ชั่วโมง ทุกคนไปไหนกัน…
“ทำไมบ้านเงียบจังเลยคะ คนอื่นหายไปไหนหมด”
“นั่นสิคะ” แม่บ้านที่เดินตามแอบยิ้มกริ่มไม่ยอมบอกความจริง แต่เดินไปคว้าถุงผ้าจากมือบางมาถือไว้เอง จนหล่อนต้องเหลียวมองด้วยความตระหนก ก่อนยินยอมให้อีกฝ่ายถือของทุกอย่าง
“คุณพริมลองไปดูที่ลีฟวิ่งรูมสิคะ เดี๋ยวน้าเอาของเข้าไปไว้ในครัวเอง” แววตาของคนตรงหน้าสร้างความฉงนแก่หล่อนเป็นอย่างมาก แต่ก็ยอมทำตามด้วยการเดินไปที่ห้องรับแขก
“ค่ะ” เธอสวมสลิปเปอร์แล้วค่อยก้าวเข้ามาในบ้าน เครื่องปรับอากาศที่ซุกซ่อนอยู่ตามเพดานให้ความเย็นฉ่ำที่โลมเลียผิวกาย
ร่างโปร่งบางเดินมายังห้องรับแขกที่อยู่ซ้ายมือ ความหรูหราที่หล่อนไม่ค่อยกล้าเข้ามานั่งเท่าไหร่ ส่วนมากเขาเอาไว้ใช้รับแขกที่ไม่ค่อยได้ย่างกรายเข้าบ้านหลังนี้
เพราะส่วนมากชายหนุ่มพาไปเรือนรับรองแขกที่อยู่บ้านหลังถัดไป สำหรับปิญชาน์บ้านพักอาศัยก็ต้องให้เจ้าของบ้านได้ใช้เต็มที่ ส่วนการรับแขกแค่สร้างอาคารขึ้นมาอีกหลังไว้รับรองก็พอแล้ว
จึงไม่มีแขกคนใดได้ย่างกรายเข้ามาบ้านหลังนี้…
“อาชาน์...นี่มันอะไรกันคะ” เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาที่ห้องรับแขก หล่อนก็ตกตะลึงกับสิ่งของตรงหน้า
ลูกโป่งขนาดใหญ่ลูกล่องอยู่กลางอากาศ พร้อมคำอวยพรฉลองครบรอบแต่งงาน ทั้งยังมีเค้กสีชมพูซึ่งมีรูปปั้นของพวกเรายืนจับมือกันอยู่ตรงกลาง
หล่อนประทับใจเป็นอย่างมากจนน้ำตาซึม
ปิญชาน์กลับบ้านก่อนเวลาเลิกงาน เพียงเพื่อต้องการมาเซอร์ไพรส์เธอเหรอ…
ความสำคัญที่ได้รับจากอีกฝ่าย ทำให้หญิงสาวยิ่งหวงแหนชีวิตคู่ของเรามากกว่าเดิม
“ครบรอบแต่งงานหนึ่งเดือนไงคะ อาเลยสั่งแม่ครัวทำอาหารพิเศษสำหรับหนูพริมโดยเฉพาะ ชอบหรือเปล่าคะ” กวาดสายตามองอาหารอิตาเลี่ยนที่ไม่ใช่ความชอบของเธอ
แต่เป็นความชอบของอรลภัสญาตัวจริง…
“ชอบค่ะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อนแต่ก็ตอบเพื่อเล่นละครให้เขาเชื่อได้อย่างแนบเนียน
“เค้กก็เพื่อหนูพริม ของขวัญก็ให้หนูพริม ทุกอย่างเป็นของหนูพริม...อาก็เป็นของหนูพริม” ร่างสูงเดินเข้ามากอดภรรยา พลางเกยคางไว้ที่ไหล่บาง
กระซิบข้างหูหล่อนจนวิมาลาน้ำตาซึม คนที่ไม่เคยมีสิ่งใดเป็นของตัวเอง วันนี้กลับมีเขาที่เป็นของเธอ
สิ่งอื่นหล่อนไม่ต้องการ ขอเพียงปิญชาน์คนเดียวเท่านั้น…
“อาชาน์เป็นของพริม” เธอผละออกเพื่อมองดวงหน้าคม ชายหนุ่มจึงพยักหน้าแล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมน เพื่อตอกย้ำสิ่งที่หล่อนพูดให้เป็นจริง
“ค่ะ เป็นของหนูพริมคนเดียว” แขนเรียวกอดเอวสอบเอาไว้แน่น เธอดีใจที่ได้รับความรักจากอีกฝ่าย เชื่อว่าอย่างน้อยหัวใจของปิญชาน์คงไม่ด้านชากับหล่อน แม้จะรู้ความจริงในสักวันว่าตนไม่ใช่อรลภัสญาก็ตาม
เขาต้องคิดถึงสิ่งดีๆ ที่เราทำร่วมกันบ้าง ความทุกข์ความสุขที่ต่างมอบแก่กันและกัน
ชายหนุ่มจะไม่จดจำเลยหรือ…
“แล้วอาชาน์จะฉลองแบบนี้ทุกเดือนไหมคะ” เงยหน้ามองปลายคางสาก ก่อนที่เขาจะก้มลงมองหล่อนเช่นเดียวกันจึงได้สบตา ชายหนุ่มเลือกจุมพิตที่ปลายจมูกของหล่อน แล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ถ้าหนูพริมต้องการอาจะทำทุกเดือนเลยดีไหม ความจริงอาอยากรีบพาหนูพริมไปฮันนีมูนแต่งานที่บริษัทก็เยอะจนอาแทบไม่มีเวลาให้หนูพริม ถือว่าวันนี้ชดเชยได้ไหมคะ”
คำหวานที่เขาเอ่ย แววตาที่ชายหนุ่มใช้มองหล่อน มีหรือที่คนซึ่งโหยหาความรักมาโดยตลอดจะไม่หลงใหล หญิงสาวยอมมอบทั้งหัวใจให้เขาด้วยซ้ำ
“ค่ะ” เขายอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แล้วปักเทียนบนหน้าเค้ก จากนั้นจึงจุดไฟเพื่อให้หญิงสาวได้เป่าเทียน
“เป่าเทียนสิคะ” ทว่าก่อนจะเป่าเธอเลือกประสานมือเข้าหากันแล้ววางไว้กลางอก หลับตานิ่งพร้อมอธิษฐานขอให้เราได้อยู่ด้วยกันตราบนานเท่านั้น
จากนั้นเธอจึงเป่าเทียน แสงไฟที่ส่องสว่างจึงดับลมพร้อมควันที่ลอยไปตามลม หญิงสาวรู้สึกว่าคำอธิษฐานของหล่อนกำลังจะเป็นจริง
ขอเพียงชายตรงหน้าเป็นของเธอ…ก็พอแล้ว