บทที่๘...ปัญหาไม่จบ (๑)
๘
ปัญหาไม่จบ
ดวงตากลมสั่นไหวพูดอะไรไม่ออก เธออยากจะยืนกรานว่าตนเป็นอรลภัสญาเหมือนเดิมแต่ทุกอย่างก็ถูกเขาล่วงรู้หมดแล้ว อาชาน์ที่แสนอ่อนโยนได้หายไปและคล้ายว่าจะไม่ได้ชายคนนั้นกลับมาอีก ไม่รู้เขาสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่และหาข้อมูลตอนไหน
จึงได้ทุกอย่างในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ หล่อนไม่ได้ฉุกคิดหรือมีเวลาให้แก้ตัว เพราะหลักฐานมัดแน่นจนดิ้นไม่หลุด สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คงมีเพียงอย่างเดียวคืออ้อนวอนให้เขาเห็นใจ และยอมให้เธออยู่ในสถานะนี้ต่อไป
วิมาลาขายศักดิ์ศรีของตนเองทิ้งหมดแล้วตั้งแต่รับเงินจากหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของชื่อตัวจริง ยิ่งมีใจปฏิพัทธ์ต่อคนตรงหน้าก็เลือกจะยอมหมดทุกอย่าง ขอเพียงได้อยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป...
ไม่คิดว่าเขาจะโกรธตนมากขนาดนี้ ดวงหน้าคมแดงก่ำ ดวงตาวาวโรจน์พร้อมจะแผดเผาสิ่งตรงหน้า แตกต่างจากอาชาน์ผู้พูดจาอ่อนหวาน
“ฉัน ฉันไม่...” ส่ายหน้าหวังปฏิเสธ แต่ทำให้เขายิ่งโมโหมากกว่าเดิมจนตามเข้ามาบีบลำคอเล็กด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างเคียดแค้น
ระยะเวลากว่าสามเดือนที่ร่วมรักกับอรลภัสญาโดยไม่รู้เลยว่าคือตัวปลอม เขารังเกียจตัวเองมากแค่ไหนเพียงนึกว่าเอาร่างกายไปเกลือกกลั้วกับสิ่งสกปรก อยากจะบีบลำคอเล็กให้แหลกแต่ทำได้เพียงบีบเล็กน้อยแล้วคลายออก ไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นฆาตกร
แม้อารมณ์ตอนนี้แทบจะฆ่าคนตรงหน้าได้ก็ตาม
เกลียดผู้หญิงคนนี้เป็นที่สุด...กล้าดีอย่างไรจึงมาหลอกเขา!
และที่น่าโมโหคือตนก็หลงเชื่อหมดใจ ไม่คิดสงสัยหรือระแวงสักนิด เตรียมการมาดีจริงๆ ถึงหลอกทุกคนได้กระทั่งบุพการีที่เลี้ยงดูอรลภัสญามาตั้งแต่เด็ก
“เรื่องแดงขนาดนี้เธอยังคิดปฏิเสธอีกเหรอ! ฉันไม่โง่ให้เธอหลอกซ้ำสองหรอกนะ ที่ผ่านมาฉันก็โง่มามากพอแล้ว ผู้หญิงอย่างเธอ...น่ารังเกียจที่สุด” แค่คิดย้อนหลังก็ยิ่งนึกรังเกียจ ไม่แปลกใจเลยที่หล่อนจะถามเรื่องที่ชวนฉงนอย่างการเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม
เขาควรฉุกคิดได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดไม่ใช่หญิงที่ตนพึงใจ เพราะหล่อนไม่เคยเลยสักนิดที่จะมองเขาด้วยสายตารักใคร่หลงใหล
ปล่อยวิมาลาเป็นอิสระพลางถอนหายใจ อย่างไรก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งที่เขาควรทำตอนนี้คือพาตัวจริงกลับมาเมืองไทยและเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ทั้งหมด
ต้องการจัดงานแต่งใหม่อีกรอบ ถึงจะเสียอีกร้อยล้านเขาก็ยอม ขอเพียงเจ้าสาวที่อยู่ในงานเป็นตัวจริง ไม่ใช่เพียงกาในคราบหงส์อย่างที่ผ่านมา!
“หนูพริมอยู่ที่ไหน” ถามอย่างใจเย็น ข่มอารมณ์ไม่ให้ทำร้ายคนตรงหน้า อยากรู้มากกว่าว่าตอนนี้อรลภัสญาไปอยู่ไหน คิดว่าอย่างไรหล่อนก็ต้องทราบอย่างแน่นอน เมื่อช่วยกันขนาดนี้ก็ต้องติดต่อกันบ้าง
ทว่าคำตอบที่เขาได้คือหล่อนส่ายหน้า
“ไม่รู้ค่ะ” ตอบเสียงเบา ยกมือจับลำคอด้วยความกลัว เมื่อครู่ที่ร่างสูงตรงเข้ามาบีบคอหล่อนคิดว่าตัวเองจะไม่รอดเสียแล้ว เขาน่ากลัวราวกับปีศาจที่กำลังจะคร่าชีวิตหล่อน แต่กระนั้นหัวใจของวิมาลาก็ยังมีเพียงเขาเหมือนเดิม
กลัวแต่ก็รัก...เพราะปิญชาน์ให้ในสิ่งที่เธอไม่เคยได้เลยสักครั้ง
ความอบอุ่นแสนจอมปลอม แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเกิดขึ้นจริง แล้วเธอก็หลงใหลไปกับสัมผัสนั้น จนกลายเป็นรักปักอกไม่อาจถอดถอนได้
“เธอต้องรู้!” ตะโกนลั่นห้องจนเธอสะดุ้ง หญิงสาวส่ายหน้าแล้วจ้องตาเขา น้ำตาไหลอาบแก้มไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรร่างสูงถึงจะเชื่อตน แทบจะยกมือขึ้นกราบกรานแต่รู้ดีว่าทำไปก็เท่านั้น จึงบอกเสียงสั่นนึกหวาดกลัว
ว่ามือหนาจะตรงเข้ามาบีบคอของตนอีก...
“ฉัน ฉันไม่รู้จริงๆ คุณพริมไม่ได้บอกว่าอยู่ที่ไหน” ติดต่อกับอีกฝ่ายนับครั้งได้ ซึ่งแต่ละครั้งก็ต้องหาโอกาสเหมาะและยืมโทรศัพท์คนอื่นเพื่อจะได้พูดคุย กลัวว่าเขาจะตามสืบจนเจอโดยลืมเสียสนิทว่าชายหนุ่มสามารถสืบหาตามพาสปอร์ตของชื่อวิมาลาได้
ซึ่งตอนนี้ปิญชาน์ให้คนจัดการสืบแล้ว เพียงระบุได้แค่ประเทศเท่านั้น ไม่อาจตามหาตัวพบในเร็ววัน และเขาคงต้องทุ่มเงินเยอะหากต้องจ้างคนต่างชาติเพื่อช่วยเสาะหา
แต่ไม่ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่...ก็ต้องหาตัวหญิงสาวจนเจอ!
“งั้นหนูพริมอยู่ในต่างประเทศโดยใช้ชื่อของเธอใช่ไหม” มองดวงหน้าหวานที่เหมือนกับอรลภัสญาทุกกระเบียดนิ้ว เสียแต่ว่าเสียงแตกต่างออกไปนิดหน่อย เขาคิดว่าเธอไม่สบายหรือมีเหตุให้เสียงเปลี่ยนในบางครั้ง
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าที่ผ่านมาหญิงสาวเลียนแบบเสียงและทำได้เก่งเสียด้วย ไม่มีคนจับได้เลย หากไม่ใช่เพราะเขาได้ยินพนักงานพูดถึงชื่อพริกแกง ก็คงยังเป็นคนโง่ให้หล่อนหลอกเรื่อยมา
“ค่ะ”
เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว...
ขอแค่รู้ชื่อทุกอย่างก็ง่ายขึ้นสำหรับตน เขามีเงินมากมายที่ต่อให้ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด หากจะเอามาใช้กับการตามหาคนรักจะเป็นอะไร
แต่ตอนนี้เรื่องของคนไกลไม่สำคัญเท่าหญิงที่อยู่ตรงหน้า เขาจัดการคว้าแขนเรียวแล้วกระชากให้หล่อนเดินตาม ไม่มีการเบาแรงเลยสักนิด หญิงสาวสะดุดล้มจนหน้าคะมำเขาก็ยังไม่ยอมปล่อย มองดูเธออย่างไร้ความปรานี
“ตามมานี่” กระตุกแขนให้ลุก ซึ่งวิมาลาก็รีบลุกอย่างรวดเร็ว เดินกระเผลกออกไปข้างนอกตามเขา แต่ชายหนุ่มไม่ลดความเร็วลงเลยสักนิด เธอแทบจะตกบันไดอยู่รอมร่อจึงพยายามระมัดระวัง เพราะเชื่อว่าถึงตนบาดเจ็บ...เขาก็คงไม่ส่งโรงพยาบาล
คงเลือกจะพาหล่อนไปที่วัดมากกว่า จึงต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เดินตามจนกระทั่งถึงห้องเล็กที่อยู่หลังบ้านติดกับห้องนอนของแม่บ้าน ด้านนอกปิดตายรู้เพียงว่าเป็นห้องเก็บของ ชายหนุ่มไขกุญแจออกแล้วเปิดประตูกว้าง ได้กลิ่นเหม็นอับโชยออกมาข้างนอกจนต้องผินหน้าหนีแล้วยกมือขึ้นปิดจมูก
“โอ๊ย อา...คุณปิญชาน์ฉันเจ็บ” เกือบเผลอเรียกเขาว่าอาชาน์ด้วยความเคยชิน แต่เจอดวงตาคมตวัดมองจึงรีบเปลี่ยน
ร่างแบบบางถูกผลักเข้าไปในห้องเก็บของที่ร้างคนอาศัย มีเพียงเตียงที่ตั้งไว้กลางห้อง ตู้หนึ่งหลังและกล่องกระดาษที่วางระเกะระกะ เผลอเหลือบสายตาไปเห็นซากศพหนูที่ตายหลงเหลือเพียงโครงกระดูกก็นึกขยะแขยงจนขนลุก แค่มองแวบเดียวก็จำติดตา ทั้งยังได้กลิ่นชวนคลื่นไส้ตลอดเวลาอีกต่างหาก
เธอก้มมองข้อมือที่แดงเถือกจากการถูกกำแน่น ความอ่อนโยนที่เคยได้รับแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว จนเธอได้แต่นึกเสียดาย
ระยะเวลากว่าสามเดือนที่เราอยู่ด้วยกัน ไม่ทำให้อีกฝ่ายรักตนบ้างเลยหรือ...
“เมื่อเธอไม่ใช่หนูพริมก็ไม่มีสิทธิ์อยู่บ้านหลังนี้อย่างสุขสบาย ฉันถือว่าปรานีมากที่สุดแล้วไม่จับเธอส่งตำรวจข้อหาหลอกลวง ต่อจากนี้เธอเป็นแค่เศษขยะในบ้านของฉัน” สถานะของหญิงสาวช่างน่าอดสูเหลือเกิน ทำได้เพียงมองเขาตาปริบ อยากอ้อนวอนแต่รู้ว่าชายหนุ่มคงไม่ยอมให้อภัย
ตนทำผิดต่อปิญชาน์ที่เริ่มหลอกลวงตั้งแต่แรก แล้วจะหวังขอความเห็นใจจากอีกฝ่ายได้อย่างไร
“คุณจะทำอะไร” ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อประตูห้องที่เปิดกว้างถูกปิด ทั้งที่หล่อนยังอยู่ในห้องไม่ทันได้ออกไป
ปัง!
“คุณปิญชาน์อย่านะ อย่าขังฉันไว้ที่นี่! ได้โปรด...”
เสียงปิดประตูดังจนรับรู้ถึงแรงสะเทือน ร่างแบบบางรีบเคาะประตูพลางตะโกนขอร้องให้เขาเปิด ทั้งห้องมืดสนิทไม่มีกระทั่งแสงไฟที่ส่องผ่านเข้ามา เพราะมีม่านทึบปิดหน้าต่างเอาไว้ น้ำตาไหลอาบสองแก้มแล้วทุบประตูอย่างไม่คิดชีวิต
“จนกว่าฉันจะหาหนูพริมเจอ เธอต้องอยู่ในห้องนี้!” ประกาศเสียงกร้าวอย่างดุดัน แต่หล่อนก็ส่ายหน้าไม่ยินยอม
ห้องมีแต่กลิ่นเหม็นสาบเธอจะอยู่ได้อย่างไร เพียงแค่ปรายตามองก็หวาดผวาจนส่ายศีรษะหัวสั่นคลอน หล่อนไม่อาจอาศัยอยู่ในห้องนี้ได้ เพียงแค่วันเดียวก็สุดจะทนแล้ว
มีทั้งหนูและแมลงสาปเต็มไปหมด เขาจะขังตนไว้ในนี้ได้อย่างไร!
“แต่ฉันก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำหรอกนะ จะเอาอาหารมาให้เธอกินครบสามมื้อ ฉันไม่ต้องการให้มีคนตายในบ้านแล้วเป็นกลายเป็นผีเร่ร่อนขอส่วนบุญ” คำพูดเหล่านั้นเหมือนมีดคมกรีดแทงใจคนฟัง เธอร้องไห้ปานจะขาดใจแล้วถามเขาเสียงสั่น
“คุณชาน์...หลายเดือนที่ฉันอยู่กับคุณ ไม่ทำให้คุณรักฉันบ้างเลยเหรอ” รอฟังคำตอบใจจดจ่อ เอาหูแนบประตูแต่ก็ต้องใจสลาย
“ไม่สักนิด! คนที่ฉันรักมีแค่หนูพริมคนเดียวเท่านั้น” เสียงฝีเท้าหนักก้าวออกไปไกลเรื่อยๆ เหลือเพียงเธอที่ถูกขังไว้ในห้องเก็บของแห่งนี้ วิมาลาทุบประตูเสียงดังหวังให้เขายอมปล่อยตนออกไป ทั้งทุบทั้งร้องอ้อนวอน
หากแต่ปิญชาน์ก็ไม่ไยดี...
“ปล่อย! ปล่อยฉัน! อย่าขังฉันไว้แบบนี้!...อาชาน์ อาชาน์!” ตะโกนจนสุดเสียงแล้วเหลียวมองรอบห้อง หยากไย่ปกคลุมข้าวของทุกอย่าง ทางเดินก็เต็มไปด้วยดินและฝุ่น แทบไม่มีพื้นที่ให้หล่อนนั่งด้วยซ้ำ หนูตัวเล็กวิ่งผ่านไปมา มีแมลงสาปที่บินไปเกาะตรงนั้นทีตรงนี้ที
แค่เห็นก็ขนลุกจนต้องโก่งคออาเจียน น้ำหูน้ำตาไหลไม่อาจทนอยู่ในห้องนี้ได้ เธอยังคงทุบประตูห้องและร้องเรียกเขาไม่หยุด
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เดินมาหาแม่บ้านที่ยืนชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เพราะทั้งสองคนรักกันหวานแหววสร้างโลกทั้งใบเป็นสีชมพูเพียงสองคน แล้วเหตุใดจึงจับคุณผู้หญิงไปขังในห้องเก็บของที่ภายในห้องไม่ต่างจากบ้านร้างสักนิด
“คุณผู้ชายคะ...” หัวหน้าแม่บ้านเรียกเขาแล้วรับกุญแจมาถือไว้
“ห้ามใครเปิดประตูให้ผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด ใครฝ่าฝืนคำสั่งฉันจะไล่ออก” กวาดสายตามองแม่บ้านทุกคนที่ยืนเรียงหน้ากระดาน ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ คำสั่งของเขาคือประกาศิตที่ต้องทำตามอย่างเดียว แต่หลายคนก็เกิดความสงสัย
ว่าเหตุใดปิญชาน์ต้องจับภรรยาของตนขังในห้องนั้น...
“อย่าลืมเอาอาหารไปให้สามมื้อ ไม่ต้องเอาของดีมากหรอก แค่ประทังชีวิตไม่ให้ตายในบ้านฉันก็พอ” ชายหนุ่มยังพอมีเมตตาให้ข้าวให้น้ำหล่อน แต่แค่เพียงเพราะไม่ต้องการให้บ้านเกิดเรื่องอัปมงคลขึ้นก็เท่านั้น
“แต่คุณพริม...” บอกเสียงเบาแล้วเหลือบมองตามเสียงโหยหวนด้วยความสงสาร ไม่เข้าใจว่าทั้งสองทะเลาะอะไรกันถึงต้องกระทำรุนแรงเอามากักขัง นึกแล้วก็สงสารคุณผู้หญิงของบ้าน ทว่าไม่มีใครกล้าขัดผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างปิญชาน์
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่หนูพริม!” ตะคอกใส่แม่บ้านจนทุกคนก้มหน้าหลบไม่กล้าจะเงยมามองเขา ตัวสั่นสะท้านตกใจกับเสียงแผดก้องของอีกฝ่าย
ก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้าบ้านด้วยความหงุดหงิด กำหมัดพลางกัดฟันแน่นเมื่อคิดว่าตัวเองถูกหลอกมาโดยตลอด ยิ่งเกลียดผู้หญิงคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งอยากตามหาอรลภัสญาให้เจอโดยเร็ว เธอกล้ามากที่เอาคนอื่นมาหลอกเขา
แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดจะยอมหย่า สิ่งที่ทำแค่ต้องเอานกตัวน้อยกลับเข้ามาขังไว้ในกรงอีกครั้ง
“ตกลงมันยังไงกันล่ะป้า ถ้าคุณพริมไม่ใช่คุณพริมแล้วจะเป็นใคร มองอย่างไรก็เป็นคุณพริมไม่ใช่เหรอ ฉันงงไปหมดแล้วนะ” หันมาถามหัวหน้าแม่ครัวที่งุนงงไม่ต่างจากทุกคน ทั้งยังสงสารผู้หญิงที่ร้องครวญครางอย่างหวาดกลัวอยู่ในห้องเก็บของ
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้านายว่ายังไงก็ต้องว่าตามนั้นแหละ แยกย้าย” ไล่ทุกคนให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง อยากรู้มากก็กลัวว่าภัยจะมาถึงตัว เจ้านายว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามกัน แถวที่เรียงยาวจึงได้สลาย
ปล่อยให้คนในห้องเก็บของร้องโหยหวนด้วยความตรอมตรม...
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย ปล่อยฉันออกไปเถอะนะ ฮือ ปล่อยฉัน!”
ร่างแบบบางนั่งชิดประตูแล้วเคาะเรียกขอความช่วยเหลือ เหลือบมองห้องมืดมิดที่มีสัตว์วิ่งเข้าออกเต็มไปหมด ตัวสั่นเงิ่นงกแสดงถึงความกลัว หนูวิ่งผ่านขาของเธออย่างอาจหาญไม่นึกเกรงคนสักนิด คล้ายกับว่าเป็นหล่อนเองที่บุกรุกพื้นที่มัน
“อาชาน์ อาชาน์ขา...” ยังคงร้องเรียกเขาไม่ขาดปาก เธอยังคิดว่าตนคือหนูพริมของเขา
น้ำตาไหลเปื้อนแก้มนวลไม่หยุด จนมันแทบจะเป็นสีเลือดอยู่รอมร่อ แรงที่ใช้ทุบประตูอ่อนลงเพราะเธอเหนื่อยเกินกว่าจะออกแรงได้เหมือนครั้งแรก อยู่ในห้องนี้กี่ชั่วโมงไม่อาจจำได้ ลำคอกลับแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงคอ
“กรี๊ด! ออกไป ออกไปนะ!” แมลงสาปบินมาเกาะที่ศีรษะของหล่อน หนูตัวเล็กก็วิ่งมาคลอเคลียที่ขาจนร่างบางสะดุ้งโหยง ลุกขึ้นมาปัดป้องและใช้เท้ากระทืบพื้นไม่หยุด กรีดร้องเสียงหลงไล่สัตว์พวกนั้นออกไปอย่างหวั่นกลัว
หัวใจตกไปอยู่ตาตุ่มพลางสั่นกายคล้ายรู้สึกว่าเนื้อตัวของตนสกปรกยิ่งนัก แล้วรีบนั่งพิงประตูพลางขดกายให้ตัวเล็กที่สุด สะอื้นไห้จนตัวโยนแล้วใช้มือทั้งสองทุบประตู กลิ่นเหม็นอับคลุ้งจมูกจนไม่กล้าจะสูดลมหายใจเข้า
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย ฮือ ฉันไม่อยากอยู่ในนี้ ปล่อยฉันออกไป ปล่อยฉันออกไป!” กรีดร้องสุดเสียงแต่ก็ไม่มีการตอบรับ เธอยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมเพราะหมดหนทางที่จะออกไปจากห้องเก็บของแห่งนี้
สิ่งที่ทำได้คือต้องรอ...
“อาชาน์ปล่อยพริมออกไป เปิดสิ เปิด!”
ให้ปิญชาน์ยกโทษและมาเปิดประตูให้หล่อน หรือไม่อย่างนั้นก็คงมีคนใจดีเข้ามาให้ความช่วยเหลือ แต่ถ้ายังไม่มี...เธอต้องพึ่งตัวเอง!
