บทที่๗...ความจริงถูกไขกระจ่าง (๒)
สองสามีภรรยามาที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เดินเข้าข้างในอย่างองอาจสมฐานะของหุ้นส่วน มีคนมารอรับพวกเขาเพื่อพาเข้าไปในห้องรับรอง ยังไม่ถึงเวลาประชุมจึงพอมีเวลาว่าง ใช้โอกาสนี้หยิบอาหารที่เตรียมมาจากบ้านแล้วยื่นไปตรงหน้าหล่อน
“อาให้แม่บ้านทำซุปมาให้หนูพริมกินรองท้อง ลองชิมดูนะคะว่าอร่อยหรือเปล่า”
ซุปสีครีมพร้อมกลิ่นหอมหน้าตาน่าทาน ดวงหน้าหวานยิ้มกว้างแล้วรีบหยิบช้อนมาตักซุปตรงหน้าเพื่อรับประทาน ไม่วายชมเขาอย่างเอาใจ
“พริมหิวพอดีเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ อาชาน์คิดเผื่อพริมเสมอแบบนี้จะไม่ให้รักได้อย่างไรล่ะคะ...ถ้าเรามีเจ้าตัวเล็ก อาชาน์จะยังแสนดีกับพริมแบบนี้หรือเปล่า”
ตักอาหารเข้าปากเพื่อชิมรสชาติแล้วเม้มปากแน่นเมื่อถามจบ ใคร่ครวญมาอย่างดีแล้วว่าหากเรามีลูกด้วยกันเขาคงจะให้อภัยเธอในเรื่องที่ผิดพลาด
อย่างไรชายหนุ่มคงไม่ใจร้ายกับสายเลือดของตัวเองหรอก...
“อาจะดีมากกว่านี้อีกค่ะ” ตอบเพื่อเอาใจแล้วจ้องมองรอยยิ้มนั้น
เธอไม่ถามอะไรอีกแต่เลือกจะตักอาหารเข้าปากไม่หยุด ลมหายใจคนมองขาดห้วง เขาภาวนาให้เธอแสดงอาการแพ้อาหารออกมาให้เห็น แต่ทุกอย่างก็ยังคงปกติแม้ว่าหญิงสาวจะตักอาหารเข้าปากจนเกือบหมดชาม
ไม่จริง...อรลภัสญาแพ้ถั่วไม่ใช่เหรอ
“อร่อยไหมคะ”
“อร่อยมากค่ะ รสชาติแปลก...แต่อร่อย” เธอยังคงไม่รู้เรื่องและยิ้มกว้างให้เขาเช่นเคย เมื่อชายหนุ่มบอกว่าตั้งใจให้แม่บ้านทำเพื่อหล่อน จึงพยายามกินจนหมด
โดยไม่รู้เลยว่ามันคือซุปถั่วที่ถูกบดละเอียดจนมองไม่ออก!
“ค่ะ”
มือหนากำเข้าหากันแน่น เขาผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ รู้ว่าตัวเองใจร้ายที่ใช้วิธีนี้ลอง หากคนแพ้ขึ้นมาก็อาจถึงชีวิต เขาจึงสั่งหมอให้เตรียมตัวรออยู่ด้านนอก ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงปกติ
เธอไม่มีอาการแพ้เลยสักนิด ทั้งที่เมื่อก่อนเพียงแค่แตะก็หน้าแดงเห่อแล้ว กัดฟันจนเห็นสันกรามคมชัด เขาไม่อาจนั่งนิ่งได้อีกต่อไป
“หนูพริมรออาที่นี่ก่อนนะคะ อาจะเข้าไปประชุม”
พยักหน้าเป็นการรับทราบแล้วกินซุปจนหมด เธอเก็บของทุกอย่างเป็นระเบียบ แล้วอ่านนิตยสารไปพลางระหว่างรอเขา ไม่รู้สักนิดว่าชายหนุ่มได้ออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปบ้านประมุขกรกันต์เพื่อแผนการบางอย่าง
หากจะจับคนโกหกก็ต้องมีหลักฐานที่เพียงพอ เขาจะไม่ยอมปล่อยเธอให้หลุดรอดไปได้อย่างเด็ดขาด!
กลับจากโรงพยาบาลก็แวะส่งภรรยาที่บ้านดำรงฤทธิ์ เขาภาวนาให้หล่อนแสดงถึงอาการแพ้ถั่วแต่ครั้งนี้กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอยังเดินเหินสะดวก ไม่แม้กระทั่งจะบอกว่าคันหรือมีผื่นขึ้นตามร่างกาย ทั้งที่กินเข้าไปในปริมาณมาก มือหนากำแน่นตลอดการเดินทาง ไม่อยากจะหันไปมองคนข้างกายด้วยซ้ำ
“อาชาน์จะเข้าไปในบ้านก่อนไหมคะ”
ถามเหมือนปกติแต่คราวนี้เขาไม่แม้แต่จะหันมามองเธอ ตอบเสียงแข็งจนหญิงสาวรู้สึกได้
“ไม่ล่ะ จะไปที่บริษัท”
“งั้นเย็นนี้พริมจะทำอาหารเย็นไว้รอนะคะ” แย้มยิ้มเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง รอคำตอบรับอย่างที่เคยได้ยินทุกวัน
“ไม่ต้อง”
หล่อนไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยอะไรได้อีกเพราะประตูถูกปิดอย่างรวดเร็ว ทำได้เพียงมองตามรถคันใหญ่ไปจนลับตา หัวใจเต้นรัวราวจะทะลุออกมานอกอก ความผิดปกติน้อยนิดที่เขาแสดงออกทำให้เธอกลัวเหลือเกิน
ตนพลาดอย่างนั้นหรือ...
“หาประวัติของผู้หญิงคนนั้นได้หรือยัง”
ใจเขาร้อนรุ่มไม่เป็นอันทำอะไร อยากรู้เรื่องโดยเร็วที่สุดถึงขั้นเอาผมของภรรยาที่นอนร่วมบ้านไปตรวจเพื่อหาดีเอ็นเอ เข้าบ้านประมุขกรกันต์แล้วแอบเอาเส้นผมของคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายของบ้านมาตรวจ
อาจต้องใช้เวลาแต่เขาทุ่มเงินไม่อั้นจึงไม่ต้องรอนาน คาดว่าผลน่าจะออกในเร็ววัน เพราะตนก็รอไม่ได้เช่นเดียวกัน
“เธอชื่อวิมาลา ขันฤดี อาศัยอยู่กับยายสองคน แล้วก็มีลุงกับป้าที่อยู่ข้างบ้าน ส่วนพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ครับ ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟแล้วก็เด็กปั๊ม เรียนจบมอปลายแล้วก็ต่อมหา’ลัยเปิด ตอนนี้ยังเรียนปริญญาตรีไม่จบ แต่น่าแปลกที่ปีก่อนหลังจากยายของเธอผ่าตัดขาที่โรงพยาบาลเอกชน เธอก็บินไปเรียนต่างประเทศทันที”
หยิบเอกสารมาอ่านอย่างละเอียด ไม่ได้สนใจตัวหนังสือพวกนั้นนัก เลือกจะเปิดหน้ารูปภาพแล้วนัยน์ตากลับเบิกกว้างเมื่อเห็นว่ายายของหล่อนคือคนที่ตนเคยช่วยออกค่าแท็กซี่ไปส่งถึงบ้าน เหตุใดจึงบังเอิญเช่นนี้
“เอาเงินมาจากไหน” เงยหน้าแล้วถามเลขาส่วนตัวที่พ่วงตำแหน่งนักสืบ
“ไม่ทราบครับ ผมยังไม่ได้ข้อมูลส่วนนั้น”
“ขอบใจมาก” เขาเปิดดูรูปที่มีไม่กี่ใบ แต่ก็มีซองเอกสารสีน้ำตาลยื่นมาตรงหน้า จึงรีบรับแล้วเปิดออกดู พบเป็นรูปหลายใบของวิมาลาที่ถ่ายเอาไว้
“นี่รูปที่พอจะหาได้ครับ ส่วนมากเป็นรูปจากเฟซบุ๊กของเพื่อนเธอที่ผมค้นเจอ”
เขาไล่ดูรูปแล้วก็ต้องอึ้งเพราะเธอหน้าคล้ายกับอรลภัสญาจริงๆ แต่ก็ไม่เหมือนทั้งหมด ต่างกันนิดหน่อยหากไปศัลยกรรมเพิ่มก็คงเหมือนราวกับเป็นฝาแฝด
“กลับไปทำงานเถอะ”
“ครับ”
คืนนั้นเขาเลือกจะอยู่บริษัทแล้วคิดไล่เรียงถึงเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมา เริ่มมั่นใจกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ตามที่ได้เห็นข้อมูล
ผู้หญิงที่ตนแต่งงานและนอนด้วยในช่วงระยะเวลาหลายเดือน...อาจจะไม่ใช่อรลภัสญาตัวจริง
ผ่านไปเกือบสามวันที่เขาเคร่งเครียดในการทำงานและยังคิดวกวนเรื่องส่วนตัว ชายหนุ่มยังคงกลับบ้านและทำทุกอย่างเป็นปกติ รอเวลาเพื่อจะกระชากหน้ากากของคนโกหกออกมาก็เท่านั้น สิ่งเดียวที่จะบอกเขาทุกอย่างว่าเรื่องที่ตนคิดเป็นจริงหรือเปล่า
นั่นคือผลดีเอ็นเอ!
“ไม่มีความเกี่ยวข้อง...กันทางสายเลือด”
เพียงแค่เอกสารถูกส่งมาถึงมือ ก็รีบเปิดอ่านด้วยใจหวาดหวั่น ทวนย้ำอีกหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฟาด มือหนากำเข้าหากันแล้วกวาดของทุกอย่างบนโต๊ะทำงานทิ้ง
รีบกลับมาบ้านอย่างรวดเร็วแล้วทิ้งงานทุกอย่าง เขาจะมีกระจิตกระใจทำงานได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันคือเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น!
“อาชาน์กลับมา โอ๊ย” ร่างแบบบางเดินเข้ามาหาเขาด้วยความดีใจ แต่แขนเรียวกลับถูกจูงกึ่งลากขึ้นไปข้างบน ดวงหน้าคมเคร่งขรึมจนไม่กล้าเอ่ยปาก รีบเร่งฝีเท้าเดินกลัวว่าตัวเองจะสะดุดบันได เขาไม่มีความอ่อนโยนให้กันเลยสักนิด
เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วปิดเสียงดังจนร่างแบบบางสะดุ้งตัวโยน เธอลอบกลืนน้ำลายลงคอขณะมองตาเขา ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่กลับน่ากลัวเหมือนว่าอากาศรอบตัวเริ่มหมดไปจนเธอหายใจไม่ออก
เท้าเรียวก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ เมื่อดวงตาคมที่เคยมองหล่อนอย่างอ่อนโยนกลับโชนแสงอย่างน่ากลัว เขาเหมือนนายพรานที่ง้างหน้าไม้มายังหล่อนซึ่งเป็นเพียงเหยื่อไม่มีทางสู้ แผ่นหลังบางชิดผนังไร้ซึ่งหนทางหลบหนี พอจะวิ่งผ่านร่างหนาเพื่อออกจากห้องก็ถูกคว้าเอวบางเอาไว้
ทุ่มเธอลงบนเตียงไม่กลัวว่าคนตัวเล็กจะเจ็บสักนิด กัดฟันแน่นจนเห็นสันกราม โกรธอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่ตนหลับนอนด้วยมาหลายเดือนเป็นแค่ตัวปลอม
ของปลอมไร้ราคา!!
ไม่คู่ควรกับการอยู่ในตำแหน่งคุณผู้หญิงของบ้านดำรงฤทธิ์
ปิญชาน์ ดำรงฤทธิ์ชอบความสมบูรณ์แบบ ชีวิตของเขาต้องเป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ อุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟักว่าที่เจ้าสาวแต่เล็กแต่น้อย ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะปีกกล้าขาแข็งเล่นไม่ซื่อเอาคนอื่นมาสวมรอยแต่งงาน
เพียงแค่คิดก็ร้อนทั่วใบหน้า รู้สึกถึงควันที่พุ่งออกจากหู กำหมัดแน่นแล้วค่อยปลดเนกไทที่รัดจนอึดอัด ขว้างมันทิ้งบนพื้นพลางจ้องร่างบางซึ่งมีใบหน้าเหมือนกับคนรักไม่ผิดเพี้ยน
แต่เธอไม่ใช่!
“อา อาชาน์” เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงสั่น แต่กลับทำให้ร่างสูงโมโหมากกว่าเดิมจนต้องยืนเข่าบนเตียงแล้วคว้าไหล่บางมาจับด้วยสองมือ ก่อนบีบเอาไว้แน่นไม่กลัวว่าหล่อนจะเจ็บหรือเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้าทะนุถนอมเป็นอย่างดี
เสมือนเจ้าหญิงบนหอคอยงาช้างที่เท้าไม่แตะพื้น มีราชรถมาเกยรอรับหน้าบ้าน ประเคนทุกอย่างตามแต่ใจของเธอปรารถนา ไม่นึกว่าวันที่กลัวจะมาถึงเร็วขนาดนี้
ถึงจะอยากเป็นตัวจริงมากแค่ไหน แต่ตัวปลอมก็คือตัวปลอม ไม่อาจมาแทนที่หญิงสาวในดวงใจของปิญชาน์ได้
“เธอไม่มีสิทธิ์เรียกฉันแบบนั้น คนที่เรียกฉันว่าอาชาน์ได้คือหนูพริมคนเดียว!” เขย่าไหล่เล็กจนศีรษะมนสั่นคลอน ก่อนจะผลักเธอล้มลงบนเตียงแล้วลุกยืนกอดอก มองดวงหน้าหวานเปรอะเปื้อนน้ำตาด้วยความเฉยชา
เมื่อเธอไม่ใช่อรลภัสญา ประมุขกรกันต์แล้วทำไมเขาจะต้องสนใจ...
ผู้หญิงที่เกิดจากโคลนตมไม่มีสิ่งใดคู่ควรให้ลงไปเกลือกกลั้ว หัวใจด้านชาถูกเผาไหม้จากความโกรธ จ้องใบหน้าสวยหวานพลางผ่อนลมหายใจหนัก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับคนตรงหน้าถึงจะสาสม
เขากลายเป็นควายให้หล่อนสวมเขาหลายเดือน ความรู้สึกเกือบจะพัฒนาไปแล้วหากไม่สงสัยในบางสิ่งจนให้คนไปสืบถึงรู้ว่าเธอเป็นเพียงหญิงสาวที่เกิดในสลัม
แค่กาที่อยากกลายร่างเป็นหงส์ จนต้องสวมเสื้อผ้าสวยงามเพื่อปกปิดชาติกำเนิดของตัวเอง
วิมาลา ขันฤดี...
คือชื่อจริงของหญิงตรงหน้า!
“พริม พริม..” เธอยังเลือกยืนกรานกระต่ายขาเดียว เรียกตนเองด้วยชื่อที่เฝ้าใฝ่ฝันอยากเป็นหล่อน ผู้หญิงที่แสนเพียบพร้อมทั้งยังมีคนรักล้อมรอบ ไม่ใช่นางสาววิมาลาที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดในแต่ละวัน
มาอยู่ที่นี่นานจนคิดว่าตัวเองจะเข้ากับฝูงหงส์ได้ ลืมไปหมดสิ้นว่ามาจากที่ไหน พยายามอย่างมากที่จะเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมให้เหมาะสมกับปิญชาน์
คนที่ตนเผลอรักหมดหัวใจ...
“จะบอกว่าตัวเองคือหนูพริมเหรอ ทั้งที่เธอไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับคุณปภพ! แล้วเธอจะเป็นหนูพริมได้ยังไง บอกฉันมาสิพริกแกง!” ชื่อของหล่อนถูกเรียกอย่างหมดความอดทน หนุ่มใหญ่โมโหหนักจนใบหน้าแดงก่ำ ขบฟันแน่นเมื่อเห็นท่าทีไม่สลดของคนตรงหน้า
เธอไม่ยอมรับว่าเป็นใคร ทั้งยังปิดปากเงียบเช่นเดิม ถึงจะถูกจับได้แล้วก็ตาม...
“คุณ คุณรู้ รู้เรื่องทุกอย่างแล้วเหรอ”
เปล่งเสียงหัวเราะในลำคอทันทีเมื่อวิมาลาถามกลับเสียงสั่น เธอเม้มปากแน่นไม่กล้าพูดอะไรอีก จ้องใบหน้าคมที่เคร่งขรึมอย่างน่ากลัว เปลี่ยนไปจากอาชาน์ที่ช่างเอาอกเอาใจ หลังรู้ว่าหล่อนไม่ใช่อรลภัสญา
คนฟังไร้เรี่ยวแรงจะลุกยืน เธอนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม กำผ้าปูเอาไว้แน่นขณะฟังคำถากถางและวาจาดูถูกจากร่างสูงที่เคยนอนกอดอยู่ทุกค่ำคืน
หลงคิดไปว่าตนถูกรัก ถึงจะหน้าตาเหมือนกันแต่ก็ต้องมีจุดแตกต่างที่มัดใจปิญชาน์ได้
ทว่ากลับไม่ใช่...
หัวใจของเขายังคงมีแต่หญิงผู้เดียวอยู่เต็มดวง ไม่มีพื้นที่ให้หล่อนสามารถสอดแทรกเข้าไปได้เลย
“ใช่ ฉันรู้หมดแล้วว่าเธอเป็นเด็กกำพร้า อยู่บ้านกับยายแค่สองคนและยายของเธอก็เพิ่งผ่าตัดรักษาขาไปเมื่อต้นปีที่โรงพยาบาลเอกชน...เธอไปเอาเงินนั้นมาจากไหนทั้งที่ทำงานเป็นเด็กปั้ม เด็กเสิร์ฟ” ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเขารู้ประวัติของตนจดหมด
หลังเรียนจบชั้นมัธยมปลายก็เลือกทำงานหลากหลายอาชีพเพื่อหาเงินมารักษาอาการปวดขาของยาย แต่ไม่ว่าจะขยันแค่ไหน เงินที่ได้ก็น้อยนิดไม่พอจุนเจือครอบครัวด้วยซ้ำ ไหนจะต้องเลี้ยงทั้งลุงกับป้าที่ไม่ทำมาหากิน มีแต่จะแบมือขอเงินอย่างเดียว
จนได้เห็นเช็คเงินสดที่อรลภัสญายื่นมาตรงหน้า ไม่ลังเลที่จะตอบตกลงทันที...
พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้คล้ายกับอีกฝ่ายมากที่สุด จนแทบจะกลายเป็นคนเดียวกัน เธอถึงได้ลืมสถานะแท้จริงของตัวเอง
กล้าอาจเอื้อมไปคว้าชายของคนอื่นมาเป็นของตน สุดท้ายความแตกก็ต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า เจียมตัวเองว่าตนเป็นใคร
“หรือไปขายตัวให้พวกเสี่ยตัณหากลับ” คำถามจี้ใจดำจนเธอเลือกจะเงียบไม่โต้ตอบ
เกือบได้ไปขายตัวแล้วเชียวถ้าวันนั้นอรลภัสญาไม่ยื่นมือมาช่วยเหลือ ชีวิตของคนหาเช้ากินค่ำจะมีทางให้เลือกสักกี่ทางกัน เมื่อเข้าตาจนก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อหาเงินทั้งนั้น
กระทั่งขายศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อมาเป็นของเล่นให้ปิญชาน์...
“หึ พูดไม่ออกเหรอ งั้นฉันจะบอกให้ว่าเธอเอาเงินมาจากไหน..หนูพริมว่าจ้างเธอให้ปลอมตัวเข้าแต่งงานแทนใช่ไหม ฉันพูดถูกหรือเปล่า” การวิเคราะห์ของเขาถูกต้องทุกอย่างจนคนที่นั่งนิ่งบนเตียงไม่อาจปฏิเสธได้
เมื่อวานเพิ่งหวานชื่นมื่น ใครจะคิดวันต่อมาจะขมจนกลืนลำบาก ดวงตากลมค่อยหลับลงไม่อยากรับรู้ความเจ็บปวดตรงหน้า ยังต้องการอยู่ในความฝันที่เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้ตนเพียงผู้เดียว
ไม่ใช่ดวงตาที่มีแต่ความเกลียดชัง...เหมือนดังตอนนี้
