บทที่๗...ความจริงถูกไขกระจ่าง (๑)
๗
ความจริงถูกไขกระจ่าง
ขึ้นมานั่งบนรถด้วยกันแต่บรรยากาศแตกต่างจากตอนก่อนหน้าเป็นอย่างยิ่ง ดวงหน้าคมเคร่งขรึมไม่เปล่งวาจาใดออกมา เขาเก็บไม้เก็บมือไม่แม้กระทั่งจะเอื้อมมาจับมือหล่อนไว้เหมือนทุกคราว สร้างความแปลกใจแก่วิมาลาเป็นอย่างมาก
หล่อนค่อยเหลียวมองสามีด้วยความฉงน ลึกในใจก็เกิดความกังวลว่าอีกฝ่ายจะไปได้ยินอะไรมาหรือเปล่า พยายามปลอบใจไม่คิดอะไรมากให้ตัวเองเศร้า แค่ทุกวันนี้ก็คิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว จึงตัดสินใจว่าหากเรื่องมันยังไม่เกิด
ก็อย่าไปคิดแทนอนาคต...ทำทุกวันให้ดีที่สุดดีกว่า
“อาชาน์คิดอะไรอยู่เหรอคะ เห็นเงียบมาตั้งแต่ออกจากร้านอาหาร...เรื่องงานเหรอคะ” พอเธอถามเขาจึงผินหน้ามามองภรรยา เลือกจะจับมือบางมากุมเอาไว้ แล้วเอื้อมมาประคองใบหน้าหวาน จดจ้องไม่วางตาแล้วค่อยยกยิ้มมุมปาก
“ค่ะ งานไม่ค่อยราบรื่น อาลงแรงไปเยอะกับงานนี้แต่ดูเหมือนว่ามันจะล่ม” พรูลมหายใจเสียงเบาเมื่อรู้ว่าเรื่องที่ทำให้เขาเครียดคืองาน หญิงสาวจึงใช้มือข้างที่ว่างมาประกบหลังมือเขาซึ่งประคองหน้าของตน ยิ้มให้กำลังใจคนที่ไม่เคยเครียดเรื่องงานให้เห็นเลยสักครั้ง
สงสัยคราวนี้คงหนักมากจึงแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน โดยที่หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเรื่องที่ทำให้ปิญชาน์เครียด...ไม่ใช่เรื่องงาน
แต่เป็นเรื่องของหล่อนต่างหาก
“มีอะไรให้พริมช่วยไหมคะ” ถามด้วยความเป็นห่วง ทว่าเขาก็ส่ายหน้าค่อยปล่อยมือทั้งสองข้างของหล่อน ตัดสินใจว่าเมื่ออยากรู้ก็ต้องหาคำตอบให้จงได้ ไม่ควรให้มันเป็นแค่คำถามที่ไม่ได้คำตอบ เพราะคนอย่างเขาอยากรู้อะไรก็ต้องได้รู้
คนตรงหน้าต้องเป็นอรลภัสญาอย่างแน่นอน ผู้หญิงที่ชื่อพริกแกงก็อาจจะเป็นแค่คนหน้าคล้ายเท่านั้นเอง
บนโลกนี้มีคนหน้าเหมือนกันถมเถ...ภรรยาของเขาก็หน้าคล้ายแฟนเก่าผู้ล่วงลับไปแล้ว
ไม่อย่างนั้นตนก็คงไม่เลือกหล่อนมาเป็นคู่ชีวิตหรอก เพราะเขาต้องการตัวแทนให้เป็นผู้หญิงที่ครอบครองหัวใจตนทั้งดวง ไม่ว่าเธอจะจากไปในสถานที่ไกลแสนไกลไม่อาจได้พบเจอกันอีกก็ตาม
อย่างน้อยได้มองอรลภัสญาที่หน้าคล้ายรมย์นลินก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ของเรา ทุกครั้งที่บอกรักเธอก็เหมือนได้บอกรักคนห่างไกล
นั่นคือสิ่งที่ปิญชาน์คิดมาตลอด...
“ไม่เป็นไรค่ะ อาจัดการเอง...หนูพริมรออาอยู่ที่บ้านดีกว่า เดี๋ยวเย็นนี้อาจะกลับมากินข้าวเย็นด้วย รับรองว่าจะไม่เลทเหมือนเมื่อวาน” ช่วงบ่ายเลือกจะไปทำงานโดยที่ไม่ได้บอกอะไรหล่อนมากกว่านั้น
วิมาลาไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเขาคงไปทำงานจริง แม้ว่าปกติวันหยุดชายหนุ่มจะอยู่กับตนทั้งวันก็ตาม แต่พอเห็นดวงหน้าคมเครียดก็ไม่อยากซักถามมากมายนัก เธอเชื่อเขาหมดหัวใจไม่ได้สงสัยหรือหวาดระแวง
“พริมจะรอนะคะ”
เขาไม่ได้ตอบกลับเธอเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น ปกติชายหนุ่มสวมหน้ากากแสดงสีหน้าเก่ง แต่ตอนนี้ไม่อาจปกปิดความเครียดเอาไว้ได้ ตลอดเส้นทางจึงนิ่งเงียบแล้วปิดเปลือกตาเพื่อแสร้งว่ากำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา
บอกลากับภรรยาที่หน้าบ้าน ให้คนขับรถไปส่งที่บริษัทของตัวเอง เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องทำงาน เลขานุการคนสนิทก็ค้อมศีรษะเป็นการทำความเคารพเจ้านาย ปิญชาน์ไม่เคยร้อนใจเช่นนี้มาก่อน ไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยไม่สืบหาความจริง
ร่างหนานั่งลงที่เก้าอี้นุ่มตัวใหญ่ หยิบโทรศัพท์แล้วเปิดรูปภาพที่ถ่ายจากเครื่องของพนักงานเสิร์ฟ ก่อนยื่นให้คนตรงหน้าดู
“คุณธีรพล ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยหน่อย”
“ครับ”
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อพริกแกง ลองไปถามชื่อจริงของเธอจากพนักงานที่ร้าน...เผื่อจะได้สืบง่ายขึ้น ผมต้องการประวัติทั้งหมดของเธอภายในวันพรุ่งนี้ ถ้าประวัติทั้งหมดหาไม่ได้ ขอแค่ที่อยู่ปัจจุบันหรือประวัติตามทะเบียนบ้านก็พอ งานนี้ด่วนที่สุดเข้าใจใช่ไหม”
สั่งงานภายในเวลาไม่กี่วินาที หากเป็นแค่ครั้งแรกที่ได้ยินคนเรียกผิดเขาคงไม่นึกสงสัย แต่นี่มีคนที่สองสามและสี่ตามมา อีกทั้งเมื่อได้เห็นภาพของผู้หญิงที่ชื่นพริกแกงก็คล้ายกับอรลภัสญาเหลือเกิน จึงต้องสืบทราบให้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
และตอนนี้อยู่ที่ไหน...หากเจอตัวจริงได้ก็จะดี
“รับทราบครับ” รับงานเรียบร้อยก็เริ่มทำการสืบทันที รู้ดีว่าปิญชาน์เป็นคนไม่ชอบรอ ข้อมูลทุกอย่างต้องได้โดยเร็วที่สุด ถึงจะพูดว่าพรุ่งนี้แต่หากได้ภายในเย็นนี้ก็จะดีมาก
“มันต้องไม่ใช่อย่างที่คิดสิ” ร่างสูงยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางพึมพำกับตัวเอง นึกกลัวในเรื่องที่ไม่ควรกลัว เขาเผลอคิดไปว่าหากภรรยาที่อยู่ด้วยกันมากว่าสามเดือน ไม่ใช่ตัวจริงอย่างที่เคยเข้าใจ แต่เป็นใครอีกคนล่ะ
ตนจะรับได้หรือเปล่า...
คำตอบแน่ชัดทันทีว่าไม่ได้ ผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขามีเพียงอรลภัสญาเท่านั้น!
ฟ้ามืดพอดีกับนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตอนนี้สิบแปดนาฬิกายี่สิบสามนาที คุณผู้หญิงของบ้านผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นอันทำอะไรเพราะรอสามี เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ทั้งยังไม่ส่งข้อความมาบอกเหมือนทุกวัน จนหล่อนนึกกังวลว่าชายหนุ่มจะเป็นอะไรหรือเปล่า
แต่เพียงไม่นานรถตู้คันคุ้นตาก็แล่นมาจอดหน้ามุข เธอจึงรีบเดินออกไปรอด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนเดิม พร้อมชุดเดรสที่เขาเลือกให้ทุกเช้า
ไม่รู้ว่าเป็นความใส่ใจหรือการบังคับกันแน่ ร่างสูงมักจะเลือกชุดเพื่อให้ภรรยาได้ใส่ในแต่ละวัน เป็นสไตล์ที่เขาคิดว่าเหมาะกับเธอ โดยไม่ถามความชอบของหญิงสาวก่อนสักครั้ง แต่วิมาลาก็ไม่ได้พูดท้วงหรือคัดค้านแต่อย่างใด
เขาชอบสิ่งไหน...เธอก็ชอบสิ่งนั้น
“อาชาน์กลับมาแล้ว”
โผเข้ากอดร่างหนาอย่างรวดเร็ว เขาเองก็โอบเธอเอาไว้แต่ไม่ได้กอดตอบ หัวใจของชายหนุ่มไม่เหมือนเดิมจนกว่าจะได้รับการยืนยันที่แน่นอน ก้มลงมองดวงหน้าหวานที่สวยจนละสายตาไม่ได้
ทำเพียงยิ้มมุมปากไม่ให้ผิดสังเกต แล้วเหลือบมองแม่บ้านที่ถือถาดแก้วน้ำเดินตามหลัง ร่างบางจึงผละจากสามีแล้วหยิบแก้วน้ำก่อนยื่นให้เขา
“เหนื่อยไหมคะ พริมเตรียมน้ำเย็นชื่นใจไว้ให้ รับรองว่าดื่มแล้วสดชื่นหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ” รีบมาดื่มแล้วพากันเดินเข้าบ้าน หล่อนกอดแขนเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เข้ามานั่งที่ห้องรับแขกแล้ววางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเล็ก
ปิญชาน์เพิ่งสังเกตถึงความแปลกที่ตนมองข้ามมาโดยตลอด ทุกอย่างในตัวของอรลภัสญาตั้งแต่กลับจากต่างประเทศ...
เปลี่ยนไปราวคนละคน
คิดว่าหล่อนจะทำทุกทางเพื่อขอเลื่อนงานแต่งเสียอีก แต่กลับง่ายดายเพียงแค่เขาเอ่ยปาก หญิงสาวผู้ดื้อรั้นกลายเป็นเชื่อฟังง่ายดาย ตนหลงนึกว่าเพราะเธอเติบโตขึ้นจึงคิดได้ว่าสิ่งใดเหมาะสมกับตัวเอง
แต่เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น เขากลัวเหลือเกินว่าภรรยาที่อยู่กินกันมาสามเดือนจะไม่ใช่คนที่ตนใฝ่ปอง
“น่าแปลกนะคะ” จดจ้องเธอด้วยสายตาค้นคว้า ช่วงที่อรลภัสญาไปเรียนต่างประเทศเขาไม่ค่อยได้ไปหาเธอเพราะยุ่งกับงาน ไม่รู้ว่าหญิงสาวเปลี่ยนแปลงแค่ไหนบ้าง มาเจอกันอีกทีตอนไปรับอยู่สนามบิน แต่ก็ไม่ได้สังเกตมากนัก
เพราะใจของเขาเห็นเพียงว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเดิม ส่วนนิสัยถึงจะแปลกไปหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก
“คะ”
“เมื่อก่อน...อาไม่คิดว่าหนูพริมจะรักอาขนาดนี้ด้วยซ้ำ แววตาของหนูพริมแทบไม่มีอาอยู่ในนั้นเลย แต่เดี๋ยวนี้กลับรู้สึกเป็นคนสำคัญ” ไม่ใช่ว่าไม่รู้ถึงความในใจของหล่อน แต่เพราะตนก็ใช้เธอเพื่อเป็นตัวแทนของใครอีกคนเหมือนกัน จึงไม่ได้คิดมากหากอรลภัสญาจะไม่ได้รัก
ทว่าช่วงหลังแต่งงานรู้สึกถึงความสำคัญของตน ในดวงตากลมโตมีเขาอยู่ในนั้น แสดงถึงความรักใคร่จนสุขล้นอก ราวกับรมย์นลินมาอยู่ตรงหน้า
ต่างจากตอนนี้ที่รู้ว่ามีใครอีกคนที่หน้าเหมือนภรรยา...เขาจึงเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล
“เราแต่งงานกันแล้วนี่คะ” ยิ้มกว้างแล้วอ้อนเขาด้วยการกอดแขนหนา ชายหนุ่มก็ซึมซับความน่ารักนั้น
“ค่ะ อาดีใจที่ได้แต่งงานกับหนูพริม” ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่น้ำเสียงกลับเย็นชา
“พริมก็ดีใจค่ะ”
เธอหลับตาลงแล้วกอดแขนเขาไม่ยอมปล่อย กระทั่งเวลาล่วงเลยโดยไม่มีใครพูดอะไรสักคำ หญิงสาวค่อยลืมตาแล้วถอยออกห่างร่างสูงเล็กน้อย สังเกตได้ถึงดวงตาที่มองตามไม่คลาดเคลื่อน จึงสงสัยว่าเหตุใดจึงถูกจ้องไม่เลิก
“อาชาน์มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมมองพริมแบบนั้น” ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วชวนเธอเหมือนพูดเรื่องปกติ
“พรุ่งนี้ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนอาหน่อยได้ไหม”
“อาชาน์ไม่สบายตรงไหนคะ เป็นอะไรมากหรือเปล่า” รีบเข้ามาอังมือที่หน้าผากเขา พลางจดจ้องทั่วร่างกายสูงเพื่อหาความผิดปกติ กลัวว่าเขาไม่สบายจนกระทั่งปิญชาน์ส่ายหน้าแล้วบอกถึงธุระที่ต้องการให้หล่อนไปด้วยกัน
“หือ...เปล่าค่ะ อาจะไปประชุม หนูพริมลืมแล้วเหรอว่าอามีหุ้นที่โรงพยาบาล...”
“อ่า จริงด้วย” พยักหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความโล่งใจ
“ไปกับอาได้ไหมคะ” ย้ำอีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายตกปากรับคำ เขามีเรื่องสำคัญต้องทำเพราะไม่อาจรอประวัติของหญิงสาวอีกคนอย่างเดียวได้ สิ่งที่นึกสงสัยพอจะมีวิธีหาคำตอบอยู่บ้าง แต่อาจจะเสี่ยงหน่อยจึงต้องชวนหล่อนไปโรงพยาบาล
“ได้ค่ะ”
ตกปากรับคำโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เธอยิ้มกว้างแล้วชวนเขาไปห้องรับประทานอาหาร มื้อเย็นที่ทำเตรียมไว้เพื่อสามี แต่คล้ายว่าเขาจะกินอย่างไม่รู้รส ใจมัวแต่กังวลถึงเรื่องพรุ่งนี้ และคิดว่าควรทำตามแผนดีหรือไม่
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เลือกจะทำตามแผนที่ตัวเองวางเอาไว้
