บทที่๖...ตามสืบหาความจริง (๒)
ช่วงกลางวันเธอเลือกจะอยู่บ้านและทำงานเล็กน้อยอย่างการเรียนภาษาหรือฝึกทำขนมกับบรรดาแม่บ้าน ใกล้ค่ำก็มาเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น เพื่อสามีกลับบ้านจะได้ตั้งโต๊ะรับประทานอาหารทันที เขาบอกชอบอาหารฝีมือเธอ
นี่คงเป็นครั้งแรกที่วิมาลารู้สึกว่าตัวเองสำคัญ ในสายตาของชายคนหนึ่ง...
จึงไม่แปลกถ้าหล่อนจะหวงแหนชีวิตที่ไม่ใช่ของตัวเอง เพราะเขาทำให้เธอเป็นคนสำคัญอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดให้ได้มาก่อน
“คุณพริมคะ” ดวงตากลมเหม่อลอย มือถือตะหลิวค้างไว้อย่างนั้นจนได้ยินเสียงเรียก จึงสะดุ้งแล้วให้มามองคนข้างกาย
“คะ ว่ายังไงนะคะ”
“ไข่จะไหม้แล้วค่ะ” ชี้ไปยังไข้ดาวที่ส่งกลิ่นไหม้ เห็นอย่างนั้นจึงรีบตักขึ้นจากกระทะอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยปิดเตาแก๊สโดยมีแม่บ้านคอยยืนอยู่ข้างกายด้วยความเป็นห่วง รู้สึกได้ว่าหลายวันมานี้คุณผู้หญิงดูแปลกไป
ใจลอยคล้ายสติไม่อยู่กับเนื้อตัว พอจะบอกคุณผู้ชายก็ไม่กล้า คิดว่าอย่างไรสองสามีภรรยาก็คงดูแลกันและกัน หน้าที่ของตนมีแค่ดูแลบ้านตามคำสั่ง จึงไม่อาจไปยุ่งเรื่องอื่นได้ หากเจ้านายไม่สั่ง
“อ้อ”
“คุณพริมไม่สบายหรือเปล่าคะ” ถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเธอก็พยักหน้าตามน้ำไม่อยากไปขัดให้ดูมีพิรุธมากกว่าเดิม
ตอนแรกคิดแค่ว่าทำเพื่อได้เงินมารักษายาย แต่นานวันเข้าเริ่มผูกพันกับชายหนุ่ม ทั้งยังหวงแหนชีวิตแสนสุขสบาย กลัวว่าวันหนึ่งหากความจริงเปิดเผยออกมา ทุกอย่างตรงหน้าจะมลายหายไปจนหมด
“ค่ะ น่าจะนอนน้อย พริมขอไปพักก่อนนะคะ” ผละออกจากห้องครัวแล้วมานั่งเล่นที่สวนดอกไม้
บ้านหลังงามที่เหมือนในฝันวันนี้ได้มาอยู่จริงก็ควรจะมีความสุขไม่ใช่หรือ แต่เธอรู้ว่าสักวันหนึ่งมันคงจะจบลง จึงยิ่งไม่สบายใจเพราะอยากยึดชีวิตนี้ไว้กับตัวเองตลอดไป พยายามคิดหาทางเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่หากวันหนึ่งเขารู้ว่าตนคือวิมาลา
แต่ไม่เห็นหนทางเลย...เพราะเชื่อว่าคงถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมาอย่างแน่นอน
“ชีวิตที่ไม่ใช่ของตัวเอง...มันทุกข์แบบนี้เองเหรอ ทำไมเธอถึงไม่เกิดเป็นพริม ทำไมต้องเป็นแค่พริกแกงด้วยล่ะ” เริ่มโทษโชคชะตาของตัวเอง ก่อนยกมือขึ้นกุมที่หน้าท้องแบนราบ พลันตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นเอง
“ถ้าท้อง...เขาก็ต้องรัก”
การมีลูกน่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุด บางทีถ้าคลอดลูกให้เขา ชายหนุ่มอาจจะไม่ถือโทษก็เป็นได้...
ท่านประธานถึงจะงานเยอะแค่ไหนก็ต้องกลับมารับประทานอาหารที่บ้าน ทุกคนต่างบอกว่าเขากลัวเมียแต่ความจริงไม่มีใครรู้ว่าเขาก็แค่รักและอยากใช้เวลากับภรรยา เขารู้ซึ้งของคำว่าจากลาโดยไม่ทันได้ล่ำลาแล้วว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน
การสูญเสียคนที่รักสุดดวงใจ แม้ถวิลหาเท่าไหร่ก็ไม่อาจได้พบเจอ...
ปิญชาน์รู้ซึ้งถึงข้อนั้นดี เขาจึงหวงแหนชีวิตยามได้อยู่กับอรลภัสญาและจะไม่มีทางให้ซ้ำรอยเดิมอย่างเด็ดขาด อยากขังหล่อนเอาไว้ในบ้านนี้อย่างเดียว เพื่อให้มั่นใจว่าเธอจะอยู่กับเขาตลอดไป
“อาชาน์คะ ครบสามเดือนที่เราคุยกันไว้แล้ว...” ระหว่างรับประทานอาหารร่างบางก็เกริ่นเรื่องสำคัญ จนเขาชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก ผินหน้ามองภรรยาที่คล้ายกับจะทำหน้าลำบากใจ
“หนูพริมอยากไปทำงานที่บริษัทแล้วเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ พริมแค่อยากรู้ว่าอาชาน์คิดยังไงถ้าพริมจะขอเป็นแม่บ้านเต็มตัว หรือพริมอาจจะไปเป็นผู้ช่วยของอาชาน์วันที่ว่าง” เธอเรียนไม่เก่งและจบแค่ชั้นมัธยมศึกษาเท่านั้น หากไปทำงานในบริษัทกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำตัวน่าสงสัย จึงไม่อยากไปทำงานและขอหมกตัวอยู่ภายในบ้านดำรงฤทธิ์อย่างเดียว ซึ่งชายหนุ่มก็ดีใจมากที่หล่อนคิดเช่นนั้น
“ดีค่ะ กลับมาบ้านอาจะได้เจอหนูพริม” ยิ้มกว้างยามได้ฟังความต้องการของคนตรงหน้า เขาคิดจะจัดการทุกอย่างตามที่ควรเป็น
นึกอยากให้อรลภัสญาเป็นแม่บ้านเต็มตัว คอยเขาอยู่บ้านและทำงานจิปาถะ ส่วนเรื่องหาเงินเป็นหน้าที่ตนแต่เพียงผู้เดียว
“ไม่ต้องไปทำงานก็ดีเหมือนกัน ยังไงอาก็มีเงินเลี้ยงหนูพริมได้ทั้งชีวิต” คำพูดไม่ได้โอ้อวดแต่อย่างใด แล้วเธอก็เชื่อเช่นนั้นจึงเอื้อมไปจับมือเขาไว้ คล้ายต้องการคำมั่นสัญญาที่ชัดเจนจากคนตรงหน้า อยากได้ยินว่าเขาจะไม่ทิ้งตน
“อาชาน์สัญญาแล้วนะคะว่าจะเลี้ยงพริมทั้งชีวิต ห้ามผิดสัญญา”
“คนอย่างอาพูดคำไหนคำนั้นค่ะ อาบอกว่าจะเลี้ยงหนูพริมก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีวันผิดสัญญาแน่นอน หนูพริมเชื่อใจอาได้”
วางมือไว้บนหลังมือหล่อนพร้อมสายตาแน่วแน่ เธอคงเชื่อหมดหัวใจหากตัวเองคืออรลภัสญา
แต่เพราะความจริงหล่อนชื่อวิมาลา...
“พริมเชื่ออาชาน์ค่ะ”
คำว่าเชื่อที่พูดออกไปจึงไม่เต็มร้อย และยังหวั่นว่าหากวันหนึ่งความจริงปรากฏ ตนอาจจะไม่ได้เจอปิญชาน์อีก
การอยู่บ้านก็ไม่ได้น่าเบื่อซะทีเดียว ทำงานจิปาถะเท่าที่อยากทำ ได้เรียนและได้หาความรู้ใหม่ๆ โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องเงิน เขามอบบัตรไม่จำกัดวงเงินให้หล่อนใช้ได้ตามใจชอบ เพียงแค่วิมาลาเลือกจะเก็บไว้ รู้ดีว่าตนไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง
วันว่างก็ได้ออกงานสังคมพร้อมสามี เริ่มชินกับการเป็นอรลภัสญาและยืนหลังตรงเดินสง่า เคียงข้างด้วยสามีที่เป็นถึงประธานบริษัท แวดวงที่เธออยู่ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าการเดินของตนเท้าแทบไม่ได้แตะพื้น ราวกับว่ามีพรมปูให้เดินตลอดเวลา
ชีวิตที่นึกถวิลหามาตลอด วันนี้ได้ครอบครองแล้ว
“เรา เรามาที่นี่ทำไมคะ” แต่เหมือนว่าความจริงจะพุ่งเข้าชนเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
เช้าวันเสาร์ที่ควรได้ใช้เวลากับสามีอยู่ที่บ้าน เขากลับพาเธอมาเดินในพื้นที่ชุมชนแออัดที่อยู่ติดกับห้างสรรพสินค้าใหญ่ หล่อนคงไม่ตื่นตระหนกหากพื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่ทางเข้าบ้านของตัวเอง ดวงหน้าหวานซีดเผือดแล้วพยายามทำตัวลีบเล็กนั่งอยู่บนรถตู้คันงาม
ถามปิญชาน์เสียงสั่นพลางเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกว่าปากของตัวเองกำลังสั่น มือชื้นเหงื่อจนต้องกำกระโปรงยาวเอาไว้
“อาจะซื้อที่แล้วสร้างเป็นคอนโด อามีที่แถวนี้ประมาณห้าไร่แต่อาอยากได้เพิ่ม...เราผ่านทางนี้พอดีอาไม่อยากให้เสียเที่ยว” ไม่รู้มาก่อนว่าเขามีที่ตรงนี้ แต่หากอีกฝ่ายอยากได้พื้นที่เพื่อสร้างคอนโด แล้วคนที่นี่จะไปอยู่ไหนล่ะ
หญิงสาวนึกกังวลแต่ก็ไม่ได้ถามให้เป็นพิรุธ เธอเลือกจะเอนกายพิงเบาะแล้วบอกเสียงสั่น คล้ายว่าตนเองไม่สบาย
“ถ้า ถ้างั้นพริมขอรอบนรถนะคะ เหมือนจะไม่ค่อยสบาย”
“เป็นอะไรมากไหมคะ ไปหาหมอดีไหม” รีบเอามืออังหน้าผากมน แสดงความห่วงใยจนเธอต้องรีบส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ พริมแค่เวียนหัวนิดหน่อยพักไม่นานก็หาย อาชาน์ไปทำงานเถอะค่ะ พริมอยู่คนเดียวได้ไม่ต้องห่วง” รีบไล่เขาออกไปทันที เผื่อดูเสร็จเขาจะได้รีบกลับ หล่อนไม่อยากอยู่ที่นี่นานกว่าเหตุ เกรงว่าจะมีคนผ่านมาเห็นแล้วทักด้วยชื่อจริง
ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาต้องสงสัยแน่...
“อาจะรีบกลับ”
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงร่างสูงก็กลับมาที่รถ วิมาลาเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มกว้างด้วยความโล่งใจ อาการคล้ายจะอาเจียนก็หายไปในทันควัน มองรถที่หันเหไปทางอื่นแล้วผินหน้ากลับไปมองทางเข้าบ้านของตนที่เดินเข้าออกนับยี่สิบปี
หล่อนไม่ได้อยากทิ้งอดีต แต่ก็จำเป็นต้องทิ้งเพื่อชีวิตที่ดีกว่า อีกไม่นานจะกลับมาหายายเพื่อทดแทนบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่
“เราแวะกินข้าวแถวนี้ก่อนแล้วกัน อาดูไว้สองสามร้าน...คิดว่าหนูพริมน่าจะชอบ” คิดว่าจะรอดแต่ขับไปไม่นานเขาก็ชวนรับประทานอาหาร หล่อนรีบหันขวับกลับมามองสามี ร้านอาหารแถวนี้ตนเคยมาทำงาน จนกังวลว่าจะมีเพื่อนที่คุ้นหน้าเธอจนเอ่ยทักเหมือนที่เคยเกิดขึ้น
“กลับไปกินที่บ้านก็ได้นี่คะ”
“แต่ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้วนะคะ กลับไปกินบ้านกลัวว่าจะเลยเวลา อาอยากให้หนูพริมกินข้าวตรงเวลา” อยากปฏิเสธแต่พอเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยก็ไม่กล้าขัด จำต้องพยักหน้ารับ
“ค่ะ ก็ได้ค่ะ”
เลือกเข้ามานั่งในร้านอาหารไทยที่ค่อนข้างมั่นใจในความสะอาด มองราคาก็แพงกว่าที่อื่น แต่สิ่งที่ทำให้หล่อนกังวลคือพนักงานที่มารับเมนู คือเพื่อนที่เคยเป็นเด็กเสิร์ฟด้วยกัน แต่หญิงสาวก็ฝืนทำหน้านิ่งแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก
สั่งแค่สองอย่างแล้วนั่งเฉย ระหว่างนั้นก็คุยกับปิญชาน์ไปพลางกระทั่งอาหารมาเสิร์ฟ พวกเขาจึงเริ่มลงมือรับประทาน แต่ลิ้นของวิมาลาแทบไม่รับรู้รส เห็นพนักงานสองสามคนหันมามองตนบ่อยครั้ง จึงพยายามก้มหน้า
“หนูพริมเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมเหงื่อออกเยอะขนาดนี้ล่ะ” เหงื่อออกตามไรผมจนคนที่นั่งตรงข้ามสังเกตเห็นถึงได้ทัก
“เปล่าค่ะ อาจจะเพราะต้มยำกุ้งเผ็ดมั้งคะ” ข้ออ้างที่พอจะคิดออกถูกเอ่ยโดยที่ปิญชาน์เชื่อในทันที
“งั้นอาให้คน...”
“ไม่ต้องค่ะ พริมชอบ...เผ็ดหน่อยแต่อร่อยดี”
รีบห้ามเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเรียกพนักงานมาสั่ง เธอไม่ต้องการให้คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้ อยากรีบกินรีบเสร็จมากกว่าจะได้กลับบ้าน คราวหน้าถ้าเขาชวนมาที่นี่คงไม่มาด้วยแล้ว
“อาขอไปรับโทรศัพท์แป๊บนึงนะคะ” เสียงเรียกเข้าทำให้ร่างสูงต้องลุกไปรับโทรศัพท์ที่ค่อนข้างสำคัญ เธอพยักหน้าแล้วนั่งรับประทานอาหารรอ
“ค่ะ”
ใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการคุยธุระ เรื่องไหนไม่สำคัญเขาก็ปัดให้ไปพูดในที่ประชุม พอคุยเสร็จก็เดินไปเข้าห้องน้ำแล้วล้างไม้ล้างมือ ระหว่างเดินออกมาผ่านพนักงานที่จับกลุ่มคุยกัน เขาคงเดินผ่านแล้วหากไม่ได้ยินชื่อที่คุ้นหู
“ผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนพริกแกงมากเลยนะ หรือว่ายัยพริกแกงได้ผัวรวยเลยไม่อยากลดตัวมาเสวนากับเรา”
พริกแกง...เหมือนเขาจำได้ว่าเคยมีคนเรียกอรลภัสญาด้วยชื่อนี้
“หน้าเหมือนจริง แต่จมูกกับปาก...เปลี่ยนนิดหน่อยนะ ผิวก็ดูขาวใส”
“แกรู้จักศัลยกรรมไหม มีผัวรวยก็ไปทำหน้าให้สวยขึ้นไง แปลกตรงไหน ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นคือยัยพริกแกง”
“แต่เขาเรียกกันว่าพริม...” คิ้วหนายิ่งขมวดเข้าหากัน รู้ทันทีว่าบุคคลที่ถูกพูดถึงคือภรรยาของตัวเอง แต่หล่อนหน้าเหมือนคนชื่อพริกแกงมากขนาดนั้นเลยหรือ ทุกคนถึงได้พูดเป็นเสียงเดียวกัน นำมาสู่ความสงสัยแก่เขา
“เปลี่ยนชื่อไง อยู่สลัมเป็นพริกแกง พอไปอยู่หรูหน่อยเลยชื่อพริม...เห็นแล้วหมั่นไส้” เขาไม่อาจทนไหวอีกต่อไป ความอยากรู้ทำให้ร่างสูงเข้าไปพูดกับคนกลุ่มนั้น ใช้น้ำเสียงสุภาพจนทุกคนที่หันมามองถึงกับหน้าเหวอ
“ขอโทษนะครับ”
“เอ่อ”
“ผมขอดูรูปของผู้หญิงที่ชื่อพริกแกงได้หรือเปล่า” อยากรู้เหลือเกินภรรยาของตนกับผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนกันมากเพียงใด ทั้งที่มั่นใจมาตลอดว่าอรลภัสญาไม่มีฝาแฝด แล้วจะมีคนไม่รู้จักที่ไหนหน้าคล้ายกันจนถูกพูดถึงไม่หยุด
“สัก สักครู่นะคะ”
“นี่ค่ะ...พริกแกงที่พวกเรารู้จัก” รับโทรศัพท์มาดูภาพที่จอสี่เหลี่ยม เขาถึงกับอึ้งเมื่อเห็นความเหมือนของคนทั้งสอง
“พริกแกง...”
แตกต่างเล็กน้อยแต่ถ้าใช้การศัลยกรรมมาช่วย...แทบจะกลายเป็นคนเดียวกัน!
